วันต่อมา เหตุการณ์ตายอย่างสยดสยองของซ่งเฉาเกาก็ถูกโจษจันลือสะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเหล่าขุนนาง ขันทีและสนมนางในทั้งหลายในวังหลวงก็ยังได้ยินข่าวนี้
หลายคนต่างก็พากันสมน้ำหน้าต่อการตายของอดีตขุนนางขั้นสามผู้นี้ เพราะคนเหล่านั้นต่างคิดว่ามันสาสมแล้วในความเลวของเขาที่ได้กระทำไว้กับผู้อื่น
ทว่าเมื่อฮ่องเต้ทรงได้รับรายงานของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พระองค์ก็ได้เกิดความกังขาถึงสาเหตุการตายอย่างน่าประหลาดนั้นของอดีตขุนนางขั้นสามผู้นี้ จึงได้ทรงเรียกให้แม่ทัพหนุ่มเข้าเฝ้าเป็นการด่วน
ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทรงกำลังนั่งอ่านรายงานที่เหล่าขุนนางส่งเข้ามา ซึ่งวางล้นอยู่บนโต๊ะทรงงานของพระองค์
ขันทีคนสนิทได้เดินตรงปรี่เข้าไปยืนอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ และกล่าวขึ้น
"ทูลฝ่าบาท ท่านแม่ทัพหลงมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้ทรงได้ยินเช่นนั้นก็ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นและตรัสกับอย่างรวดเร็ว
"ถ้ามาถึงแล้ว ก็บอกให้เขารีบเข้ามาได้เลย"
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" ขันทีคนสนิทรับคำ จากนั้นก็เดินกลับออกไป
ส่วนฮ่องเต้ ก็ทรงวางพระหัตถ์จากสิ่งที่กำลังทำอยู่ พระองค์ลุกขึ้นจากอาสนะและเสด็จไปยืนประทับรอคนอยู่ตรงกลางห้องทรงพระอักษรทันที
หลงอี้หลิงได้เดินเข้ามาตรงกลางห้องทรงพระอักษรด้วยท่าทีนิ่งสุขุม ตรงกันข้างกับฮ่องเต้ ซึ่งในเวลานี้พระองค์แทบประทับยืนกับที่ไม่ติดแล้ว
แม่ทัพหนุ่มนั่งคุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่งตรงเบื้องพระพักตร์ พร้อมกับกล่าวถวายความเคารพอย่างนอบน้อมและความจงรักภักดี
"ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
ฮ่องเต้ผายมือออกไปให้กับแม่ทัพหนุ่มและตรัสอย่างเป็นกันเอง
"ตอนนี้ในห้องก็มีแค่เราสองคน เจ้าลุกขึ้นและทำตัวตามสบายเถิด"
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"
หลงอี้หลิงลุกขึ้นยืนและวางตัวตามปกติ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวถามสิ่งใด ฮ่องเต้ก็ทรงชิงตรัสขึ้นมาก่อน
"เจ้าจงรีบเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในศาลยุติธรรมให้เราฟังอีกครั้ง เร็วเข้า เราอยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้เยี่ยงไรกัน ก่อนที่จะส่งตัวเขาไปศาล เราได้รับรายงานจากหมอหลวงที่ไปตรวจอาการบาดเจ็บให้เขายัง คุกหลวง ตัวเขามีเพียงอาการเจ็บปวดเล็กน้อยจากบาดแผลที่ถูกแทง ส่วนปัญหาสุขภาพด้านอื่นก็แทบไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ยิ่งคิดเรายิ่งแปลกใจว่าทำเขาถึงได้ตายอย่างแปลกประหลาดเช่นนั้นกัน"
พระสุรเสียงดูร้อนพระทัยของฮ่องเต้ ได้สร้างความหนักใจต่อหลงอี้หลิงเป็นอย่างมาก เพราะจนถึงตอนนี้ แม้แต่ตัวเขาผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้น ก็ยังไม่อาจจะคาดเดาได้ว่ามันเกิดจากสาเหตุใดกันแน่
"กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็ยังไม่รู้คำตอบที่แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ และเนื่องด้วยร่างกายของเขาระเบิดจนแหลกละเอียดไม่เป็นชิ้นดี คงต้องรอให้คนของสำนักหมอหลวงนำเศษชิ้นเนื้อและอวัยวะบางส่วนที่ยังเก็บคืนมาได้ไปตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการตายอย่างแน่ชัดเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ"
แม่ทัพหนุ่มกล่าวอย่างช้า ๆ และสุขุม แต่แววตาของเขาเหมือนมีบางอย่างซ่อนไว้ในใจ
ฮ่องเต้ทรงได้ฟังคำชี้แจงของแม่ทัพหนุ่ม พระองค์ก็ถึงกลับถอนหายใจแรงออกมา
เฮ้อ....
"เรื่องนั้น...เราเพิ่งได้รับรายงานจากสำนักหมอหลวงเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนี้แล้ว แต่พวกเขาบอกว่าไม่สามารถตรวจหาสาเหตุการตายนั้นได้ เพราะอวัยวะสำคัญอย่างเช่น หัวใจ ได้แหลกเหลวจนไม่เหลือชิ้นดี"
ฮ่องเต้ทรงตรัสจบภาพในดำริก็จินตนาการถึงสิ่งที่กำลังกล่าวถึง นาทีต่อมาพระองค์ก็ทรงแสดงอาการไม่สู้ดี สีพระพักตร์ซีดขาว
แม่ทัพหนุ่มสังเกตเห็นอาการผิดปกติของฮ่องเต้ เขาจึงเข้าไปประคองพระวรกายพระองค์ไว้
"ฝ่าบาททรงรู้สึกประชวรตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ ให้หม่อมฉันพาพระองค์ไปประทับลงที่พระอาสนะก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์มาจับตรงท่อนแขนอันแข็งแรงของแม่ทัพหนุ่ม และตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงบางเบา
"เราไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก สงสัยคงจะนอนน้อยไป อีกอย่างพอพูดถึงเรื่องพวกนั้น หัวสมองมันก็จินตนาการภาพตาม เลยรู้สึกว่าท้องไส้มันเริ่มปั่นป่วน พะอืดพะอมคล้ายอยากจะอาเจียนขึ้นมาซะงั้น"
"ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันเรียกท่านกงกงให้ไปตามหมอหลวงมาตรวจดูพระวรกายให้นะพ่ะย่ะค่ะ" แม่ทัพกล่าวขึ้นอย่างกังวล
"ไม่ต้องตามหมอหลวงให้มันยุ่งยากไป เราไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย ปล่อยไว้ประเดี๋ยวให้เรานั่งพักสักครู่ก็คงจะดีขึ้นเองแหละ เจ้าแค่บอกให้กงกงชงน้ำชาถ้วยใหม่มาให้เราก็พอ"
แม่ทัพหนุ่มไม่อาจจะขัดรับสั่งของฮ่องเต้ได้ เขาจึงขานรับอย่างว่าง่าย
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
ฮ่องเต้ทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ทรงกล่าวขึ้นต่อ
"เห็นทีว่าการพิจารณาโทษทัณฑ์ในคดีของเยี่ยอ๋องและคดีของหยวนจูวเย่ เราคงจะต้องเป็นคนจัดการเองเสียแล้ว เพราะไม่งั้นหากเกิดเหตุการณ์แย่ ๆ ขึ้นเหมือนกรณีของซ่งเฉาเกาอีกครั้ง คงยากที่จะหาคำตอบอธิบายให้กับผู้คนได้เข้าใจ และไม่ว่าผู้ใดเป็นคนอยู่เบื้องหลังของการตายปริศนานี้ คนผู้นี้ได้กระทำการอย่างรอบคอบและวางแผนมาอย่างรัดกุมยิ่งนัก เขาฉลาดพอตัวเลยทีเดียวละ"
แม่ทัพหนุ่มนั่งนิ่งฟังฮ่องเต้ตรัสจบประโยค แต่เขากลับไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดกลับไป ยิ่งช่วงท้ายประโยคของพระองค์คำพูดเหล่านั้นมันสะกิดใจของเขาเป็นยิ่งนัก
ฮ่องเต้เองก็ทรงสังเกตเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มมีความกังวลใจบางอย่างที่ซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาอันเรียบตึงนี้ แม้พระองค์จะไม่รู้ว่าเขากังวลสิ่งใดอยู่ และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงถามออกไปเช่นกัน
"เอาละ วันนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เข้าวังมานานแล้วป่านนี้เด็กนั่นคงชะเง้อคอยาวอยู่ตรงหน้าประตูเรือน รอเจ้ากลับบ้านแล้วกระมัง"
ฮ่องเต้ทรงกล่าวกับแม่ทัพหนุ่ม และทรงพระสรวลออกมา เมื่อได้เห็นสีหน้าของแม่ทัพหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในตอนที่พระองค์ตรัสถึงคนอีกคน
"ขอฝ่าบาททรงโปรดรักษาพระวรกายด้วย หม่อมฉันทูลลาพ่ะย่ะค่ะ"
หลังจากที่แม่ทัพหนุ่มเดินก้าวพ้นออกจากประตูห้องทรงพระอักษรออกไป ฮ่องเต้ก็ทรงทิ้งพระวรกายเอนหลังพิงไปยังพนักพิงของอาสนะที่ทรงประทับอยู่ และทอดถอนหายใจอย่างกังวลพระทัย
"เราจะทำเช่นไรดีนะ...ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้ รวมทั้งความสูญเสียที่อีกฝ่ายได้รับมันก็หนักหนาสาหัสจริง ๆ ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่กลับเลือกใช้วิธีการที่ผิด"
ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นมาลอย ๆ จากนั้นทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สายพระเนตรทอดมองไปยังกองเอกสารเหล่านั้นล้วนแต่เป็นฎีกาที่เหล่าขุนนางยื่นเข้ามาร้องเรียนและเรียกร้องให้พระองค์ตรวจสอบเรื่องการตายของซ่งเฉาเกา
"องค์หญิงอวี้หลันเอ๋ย เราคงจะช่วยเจ้าได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น แต่หากครั้งหน้าเจ้ายังคิดทำผิดอีก เราคงไม่อาจจะหลับตาข้างเดียวช่วยเจ้าได้อีกต่อไป เพราะไม่ว่ายังไง กฎหมายบ้านเมืองก็มีไว้เพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตาม จะไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งสามารถทำตัวแตกแยกจากคนอื่น หรือเข่นฆ่าใครได้ตามอำเภอใจ ในผืนแผ่นดินแคว้นโหย่ว แห่งนี้"
เรือนหลงหลิง
หลงอี้หลิงกลับมาถึงเรือน เขาก็ได้เรียกหาฟ่งหลันหลั่นจากเหล่าบ่าวไพร่แต่ก็ไม่มีพบใดพบเห็น จึงได้เรียกนายกองคนสนิททั้งสองของเขามาสอบถาม
ห้องหนังสือ
จางเก่อเดินเข้ามาในห้องหนังสือพร้อมกับเข่อลั่ว ทั้งสองมองเข้าไปตรงโต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้อง ก็เห็นว่าเจ้านายของตนกำลังนั่งอ่านเอกสารในมือด้วยใบหน้าเรียบตึง ดูเหมือนมันจะสร้างความเคร่งเครียดให้กับเขาพอสมควร
นายกองทั้งสองเดินมาหยุดยืนตรงกลางห้อง ห่างจากหน้าโต๊ะทำงานเพียงไม่กี่ก้าว และก็หันมองกันและกัน ต่างฝ่ายก็ใช้สายตาและซุบซิบกันเกี่ยงงอนอีกฝ่ายให้เป็นผู้ที่เอ่ยถามกับเจ้านายของตน
การกระทำของทั้งคู่นั้น ตกอยู่ภายใต้สายตาของแม่ทัพหนุ่ม ตั้งแต่พวกเขาย่างก้าวขาเข้ามาในห้องหนังสือแห่งนี้แล้ว
เขาสังเกตและรออยู่พักใหญ่จึงได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม ในขณะที่มือและสายตายังคงค้างอยู่ที่เดิม
"พวกเจ้าไม่ต้องเกี่ยงกัน เพราะหากไม่รีบพูดมาเสียตอนนี้ แผ่นหลังของพวกเจ้าก็คงต้องไปรับไม้โบยพร้อมกันอย่างแน่นอน"
นายกองทั้งสองได้ฟังคำขู่ของเจ้านายเช่นนั้นก็เกิดความเกรงกลัวขึ้นในใจทันที แต่ก็ยังมีความลังเลและเกี่ยงกันต่อเนื่องอีกเล็กน้อย ดูเหมือนพวกเขาจะลำบากใจที่จะตอบในสิ่งที่เจ้านายต้องการอยากรู้
"ข้ากลับมาจากวังหลวงตั้งนานแล้ว และเรียกถามบ่าวไพร่ของเรือนก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นนาง...รีบบอกข้ามาก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูด ตอนนี้แม่นางฟ่งของพวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน!"
ผู้เป็นนายยังคงพยายามข่มใจและถามลูกน้องทั้งสองด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
แต่บรรยากาศในห้องนั้นกลับชวนให้นายกองทั้งสองรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกยิ่งนัก ทั้ง ๆที่ประตูและหน้าต่างทุกบานก็เปิดโล่งโจ้งรับลมอยู่แท้ ๆ
จางเก่อยืนนิ่งเงียบ ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วเขามีอะไรก็จะรายงานเจ้านายไปตามตรงเสมอมา แต่ครั้งกลับดูผิดปกติอย่างชัดเจน
ส่วนเข่อลั่วยืนทำตัวลุกลี้ลุกลนมือไม้ไม่อยู่นิ่ง และมีท่าทางกระอักกระอ่วนใจในการตอบคำถามนั้น
"อะ เอ่อ...คือ คือว่า...แม่ แม่นางฟ่ง..."
พอเห็นท่าทีอ้ำอึ้งของนายกองทั้งสองที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน พวกเขากำลังมีความลับปิดบังเขาอยู่ แม่ทัพหนุ่มหมดความอดทน เขามองตาเขียวมายังลูกน้องทั้งสองทันที พร้อมกับใช้เอกสารในมือฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง
ปัง!
นายกองทั้งสองสะดุ้งตัวโหยงพร้อมกัน และยังคงยืนนิ่งต่ออย่างประหม่า
แม่ทัพหนุ่มได้แสดงความฉุนเฉียวใส่นายกองทั้งสองอย่างไร้เหตุผล ตามมาด้วยคำพูดที่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งผสมรวมอยู่ในถ้อยคำนั้น
"พูดมา! ตอนนี้ฟ่งหลันหลั่นอยู่ที่ไหน"
จางเก่อเห็นท่าทีของเจ้านาย ซึ่งตอนนี้เขาโกรธจนไม่สามารถระงับอารมณ์ได้แล้ว เขาคิดว่าอาจคงเป็นเพราะเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในศาลยุติธรรม ทำให้เจ้านายของเขามีปัญหาและมีเรื่องให้ขบคิดมาก จึงมีความกดดันและมาระบายใส่พวกเขาเช่นนี้
ในฐานะที่เป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ จางเก่อจึงตัดสินใจจะบอกผู้เป็นนายออกไปตามตรง
"เรียนนาย..."
แต่ในขณะที่เขาเอ่ยขึ้นได้เพียงแค่สองคำ เข่อลั่ว สหายสนิทข้างกายดูจะร้อนใจมากกว่า จึงได้ชิงพูดสวนขึ้นตัดหน้าเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรนและกังวลใจ
"มะ แม่นางฟ่งไปเยี่ยมคุณชายหยวนยังคุกหลวงขอรับ"
คำตอบของเข่อลั่ว ดูเหมือนว่ามันได้ทำให้ความอดทนของแม่ทัพหนุ่ม ผู้นี้ขาดผึงลง เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างตึงตังทันทีทันใดจนมันล้มตึงคว่ำตะแคงอยู่บนพื้น
ตึง!
"พวกเจ้า! รีบไปพาตัวนางกลับมาภายในครึ่งชั่วยามนี้ แต่หลังจากนั้นหากข้ายังไม่ได้รับรายงานว่าคนได้อยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว เจ้าทั้งสองคนเตรียมตัวรับโทษตามกฎของเรือนได้เลย"
หลงอี้หลิงกล่าวจบเขาก็เดินออกไปจากห้องหนังสือด้วยใบหน้าบึ้งตึงทันที
ในจังหวะที่นายน้อยเดินผ่านไป นายกองทั้งสองยกมือขึ้นมาลูบลำแขนของตัวเอง ทั้งคู่รู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบและรู้สึกหนาวเย็นยะเยือกไปถึงขั้วกระดูกดำของตน
"เข่อลั่ว เจ้ารีบไปตามแม่นางฟ่งกลับเรือนเร็วเข้า"
จางเก่อหันไปบอกเข่อลั่วด้วยน้ำเสียงกังวลใจอย่างที่สุด
เข่อลั่วถามด้วยน้ำเสียงสูงสวนกลับอย่างสงสัยทันที
"พูดแบบนี้ เจ้าจะให้ข้าไปตามแม่นางฟ่งคนเดียวงั้นรึ!"
"เจ้ามองไม่ออกหรือ ตอนนี้อารมณ์ของนายน้อยเป็นเช่นไรกัน อย่ามัวชักช้าเจ้ารีบไปตามแม่นางฟ่งเร็วเข้า ส่วนข้าจะอยู่รับหน้านายน้อยทางนี้เพื่อถ่วงเวลารอพวกเจ้ากลับมา รึว่าเจ้าอยากจะทำหน้าที่นี้เอง"
จางเก่อตอบด้วยสีหน้าจริงจังและย้อนถามเข่อลั่ว ทั้งๆ ที่เขาก็รู้คำตอบในใจว่าสหายจะพูดอะไร
เข่อลั่วส่ายหน้าและตอบสวนทันควันอย่างไม่คิด
"ฮื้อ ไม่เอา! เจ้าอยู่รับหน้านายน้อยแหละดีแล้ว ส่วนข้าจะไปตามแม่นางฟ่งกลับมาเอง"
"งั้นก็รีบไปเร็วเข้า อย่ามามัวโอ้เอ้ให้เสียเวลามากไปกว่านี้ ไม่งั้นขืนชักช้า วันนี้ทั้งเจ้าและข้าได้หลังขาดกันแน่"
คราวนี้น้ำเสียงและสีหน้าของจางเก่อจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
"อื้ม!"
เข่อลั่วรับคำสั้น ๆ จากนั้นนายกองทั้งสองก็แยกย้ายรีบไปทำหน้าที่ของตนตามที่ได้ตกลงกันไว้ทันที
ห้องโถงของเรือนสกุลหลง
ผู้เป็นย่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ในตำแหน่งของเจ้าบ้าน โดยมีหลานชายสุดที่รักนั่งอยู่เก้าอี้อีกตัวข้างกัน และเขากำลังยกถ้วยชาในมือขึ้นดื่มอย่างช้า ๆ
นางจึงเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
"หลิงเอ๋อร์ เจ้าพูดจริงงั้นหรือ เจ้าคงไม่ได้โป้ปดยายแก่คนนี้ เพื่อหลอกให้ย่าดีใจเก้อหรอกใช่ไหม"
ส่วนสาวใช้ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายก็มีอาการไม่ต่างกัน
หลงอี้หลิงวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น และเงยหน้าขึ้น เขาจ้องมองผู้เป็นย่าด้วยแววตามุ่งมั่น พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงเข้มสุขุม จริงจัง
"ท่านย่าไม่ได้ฟังอะไรผิดไปหรอก ข้ากล่าวสิ่งใดไปก็หมายความตามสิ่งนั้น รบกวนท่านย่าและยายเมิ่งเป็นธุระจัดการเตรียมทุกอย่างไว้รอได้เลย หลังจากฝ่าบาททรงพิจารณาไต่สวนตัดสินคดีของเยี่ยอ๋องและหยวนจูวเย่ ผู้นั้นเสร็จเมื่อไร ข้าจะจัดการเรื่องนั้นให้ถูกต้องเสียทีไม่เช่นนั้นชีวิตข้าคงไม่สามารถวางใจให้สงบลงได้"
พอยายแก่ทั้งสองได้ยินแม่ทัพหนุ่มกล่าวย้ำชัดเจนเช่นนั้น พวกเขาก็เผยรอยยิ้มปลื้มปริ่มขึ้นบนใบหน้าและหันไปมองกันและกัน
นาทีต่อพลางหันกลับมามองทางบุรุษผู้หล่อเหล่าข้างกายอีกครั้ง
นาทีต่อมาหญิงชราทั้งสองได้นึกถึงคำพูดช่วงท้ายประโยค พลันกลั้นขำไม่อยู่จึงได้เผยเสียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ เหมือนจะเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
"สตรีงดงามใต้หล้านี้มีตั้งมากมาย และไหนจะธิดาอ๋องจากสกุลเยี่ยผู้นั้นอีกแต่เจ้ากลับไม่สนใจไยดี หึ! ใครใช้ให้เจ้าดันมาเลือกบุปผางามช่อเดียวที่โผล่ขึ้นมาในดงผีเสื้อกันเล่า มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องถูกจับจ้องหมายปองแย่งชิงกัน แถมอวี้หลันงามช่อนี้ดันมีนิสัยไม่ต่างจากม้าหนุ่มพยศ หากไม่ปราบและปรามกันให้อยู่หมัด เห็นทีคราวนี้เจ้าคงได้ปวดหัวไม่จนแก่เฒ่าเป็นแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า..."
ยายเมิ่งยืนฟังอยู่ก็หัวเราะคิกคักชอบใจขึ้นเบา ๆ ตามเจ้านายของตนและกล่าวเสริม
"จริงด้วยเจ้าค่ะนายหญิง แต่ท่านน่าจะดีใจนะเจ้าคะ เพราะหลังจากนี้นายน้อยคงจะมีเหลนมาให้ท่านอุ้มและพาเที่ยวเล่นทุกวันจนเหนื่อยลมจับเป็นแน่เลยเจ้าค่ะ"
หลงฮูหยินได้ยินสาวใช้กล่าวเช่นนั้นนางก็ทำตาโตเผยสีหน้าดีใจหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม
"ไม่ได้การละ ยายเมิง! พวกเรารีบกลับไปห้องพักของข้าและตรวจสอบดูเงินทองที่ข้าเก็บไว้กันเถอะ ข้าจะดูว่ามันเพียงพอในการเลี้ยงดูเหลน ๆ ของข้าให้สุขสบายไปจนโตไหม" พูดจบหญิงชราทั้งสองก็ลุกขึ้นและเดินพยุงกันออกไปจากห้องโถงนั้น พวกนางก้าวขาฉับ ๆ อย่างกระฉับกระเฉงราวกับเป็นสาวแรกรุ่น โดยไม่สนใจบอกลาแม่ทัพหนุ่มเลยสักคน
หลงอี้หลิงมองตามหลังหญิงชราทั้งสอง พร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย
"ข้าแค่แวะมาบอกให้พวกท่านช่วยจัดเตรียมความพร้อมไว้รอเวลาอันเหมาะสม แต่พวกท่านกลับจินตนาการเลยเถิดไปไกลถึงไหนต่อไหนซะได้แล้ว"
จากนั้นเขาก็นิ่งเงียบไปเฉย ๆ พร้อมกับออกแรงบีบไปที่มือของตน จนผิวน้ำของชาในถ้วยที่ถืออยู่กระเพื่อมขึ้นจนกระฉอกออกมาเปื้อนอาภรณ์ของเขา ราวกับว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในห้องนั้น
สายตาคมกริบของหลงอี้หลิงทอดมองออกไปยังตรงประตูที่เปิดโล่งโจ้งตรงเบื้องหน้า
"ยัยตัวดี! กลับมาถึงเรือนเมื่อไร เห็นทีข้าคงจะต้องสั่งลงโทษเจ้าให้หลาบจำสักครั้ง มิเช่นนั้นเจ้าคงได้เที่ยวแจ้นวิ่งไปหาหยวนจูวเย่ผู้นั้นให้เขามาหัวเราะเยาะข้าได้ในภายหลัง"
หลังจากนั้นราวเกือบสองชั่วยามผ่านไป ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงยามซวี[1] เข่อลั่วก็ได้พาฟ่งหลันหลั่นกลับมาถึงเรือนหลงหลิง
ฟ่งหลันหลั่นตรงดิ่งไปหาแม่ทัพหนุ่มยังห้องหนังสือของเขาตามที่เข่อลั่วแนะนำ แต่ว่าผู้เป็นเจ้าของห้องกลับไม่ยอมให้นางเข้าพบ และยังได้ตะโกนสั่งให้นายกองทั้งสองพาตัวสตรีน้อยไปขังไว้ในห้องพักของนางและสั่งลงโทษด้วยการกักบริเวณทันที และรอจนกว่าเขาจะอนุญาตให้ปล่อยตัว
ฟ่งหลันหลั่นยังไม่รู้ว่าตัวเองทำสิ่งใดผิดไป ขนาดที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มโกรธจัดถึงขนาดสั่งกักบริเวณของนางเอาไว้เช่นนี้ แต่ก็ต้องจำใจยอมเดินคอตกกลับห้องพักของตนอย่างไม่มีทางเลี่ยง
'เขาโกรธอะไรของเขานักหนานะ ถึงขนาดสั่งกักบริเวณเราเช่นนี้ ว่าแต่ออกไปไหนไม่ได้แบบนี้ แล้วจะไปร่วมฟังการพิจารณาไต่สวนตัดสินคดีของสองคนนั้นยังไงกัน'
[1] ยามซวี (戌:xū) คือ 19.00 - 20.59 น.
...
เซียงไค 盛開