เรือนรับรองของจวนแม่ทัพ สถานที่จัดพิธีสมรสราชทาน
ทุกคนที่ถูกสายตาเคียดแค้นของฟ่งหลันหลั่นจับจ้องต่างพากันนิ่งเงียบ เพราะพวกเขาต่างก็มีความลับและมีชะงักติดหลังที่ไม่อยากให้ผู้คนในห้องนี้รับรู้
การปรากฏตัวของสาวใช้แม่ทัพหนุ่ม ภายใต้ชุดเจ้าสาวแสนสวยได้สร้างความประหลาดใจและก่อเกิดคำถามหลั่งไหล่ขึ้นในใจใครหลายคน ณ ที่นี้ไม่จบสิ้น
ฮ่องเต้แห่งแคว้นโหย่วทรงนั่งรับฟังอย่างสงบเงียบและเฝ้ามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างมีสติ พระองค์ใช้วิจารณญาณในการเปิดตาและเปิดใจมองอย่างเที่ยงธรรมและทรงไม่ได้ตรัสแทรกผู้ใด
ในขณะที่คนผู้นั้นกำลังพูดทั้งนั้น
และที่สำคัญ พระองค์ทรงมีความไว้วางพระทัยต่อแม่ทัพหนุ่ม ว่าเขาจะสามารถควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้อย่างแน่นอน
พอฟ่งหลันหลั่นได้ประกาศกร้าวกับบุคคลที่นางหมายหัวจบ สตรีน้อยก็ได้หันหน้าไปทางเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ และทำการถอนสายบัวเพื่อแสดงความเคารพและจงรักภักดีอย่างนอบน้อมอ่อนช้อยงดงาม ราวกับว่านางได้รับการฝึกสอนเรื่องมารยาทมาจากรั้วของวังหลังเป็นอย่างดีเยี่ยม
"ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันฟ่งหลันหลั่น ขอพระองค์ทรง พระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกถูกชะตากับเจ้าสาวตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก แม้บรรยากาศโดยรอบภายในห้องโถงเรือนรับรองจะกำลังคุกรุ่น ให้ความรู้สึกอึดอัด ลมหายใจชวนติดขัด แต่พระองค์ก็ได้ทรงพระสรวลออกมาและทรงตรัสกับนางด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน
"ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นมาเถิด จะได้พูดคุยกัน"
"ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท" สตรีน้อยขานรับอย่างนอบน้อมตามรับสั่ง
"ในที่สุดเราก็ได้พบกับเจ้าเสียที ฟ่งหลันหลั่น! สาวใช้คนโปรดของแม่ทัพหลงผู้เก่งกาจ แต่ดูเหมือนว่าการพบเจอกันครั้งแรกนี้ เจ้าช่างสร้างความประหลาดใจให้เราจริง ๆ"
ฮ่องเต้ทรงตรัสกับสตรีน้อยด้วยพระสุรเสียงปกติ แต่ทว่าสายพระเนตรที่จ้องมา ล้วนเต็มไปด้วยความคำถามที่ซ่อนอยู่ในประโยคนั้น
"พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยในความไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ที่ตัวเองบังอาจสวมรอยเป็นเจ้าสาวและทำลายงานสมรสพระทานจากพระองค์...หากแต่ทุกเรื่องบนโลกนี้ย่อมมีต้นเหตุ ถึงจะปรากฏผลออกมาได้"
เมื่อฮ่องเต้ทรงได้ฟังคำกล่าวของนาง ก็เกิดมีดำริขึ้นในพระทัยอย่างสงสัยในตัวตนของสตรีน้อยผู้นี้
'น้ำเสียงหนักแน่น ถ้อยคำฉะฉานชัดเจน แววตานิ่ง การวางตัวดุจดั่งหงส์ นางผู้นี้เห็นทีคงจะไม่ใช่สาวใช้ทั่วไปเสียแล้วกระมัง'
"ผล...ย่อมเกิดจากเหตุกระนั้นรึ!"
ฮ่องเต้ทรงตรัสย้ำคำกล่าวช่วงท้ายประโยคของสตรีน้อย
"เพคะฝ่าบาท"
ฟ่งหลันหลั่นขานรับ วินาทีต่อมานางก็ก้มหน้าลงและล้วงมือเข้าไปด้านในตัวเสื้อซับในของชุดเจ้าสาวที่ตนกำลังสวมใส่อยู่ จากนั้นก็ได้หยิบบางอย่างออกมาพร้อมกับชูขึ้น
"พระอาญามิพ้นเกล้า ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเคยทอดพระเนตรหรือทรงรู้จักป้ายหยกมรกตชิ้นนี้หรือไม่เพคะ"
สตรีน้อยทูลถามฮ่องเต้กับสิ่งของที่ตนถืออยู่ในมือ และแววตาของนางเปลี่ยนไปจากเดิม
ฮ่องเต้องค์นี้เป็นองค์ชายที่ถูกพาตัวเข้ามาในวังหลวงเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ โดยทรงเสด็จเข้ามาหลังจากที่องค์ชายรัชทายาทองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไปพร้อมกับธิดา
หลังจากเหตุการณ์ร้ายนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสองพระตำหนักก็ได้ถูกลบไปด้วยทั้งสิ้น และตำหนักของธิดาในองค์ชายรัชทายาทถูกสั่งห้ามมิให้คนย่างกรายเข้าและเรียกว่าพระตำหนักต้องห้าม ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงเคยทอดพระเนตรของสิ่งนี้มาก่อน
"เราไม่เคยเห็นของสิ่งนั้นมาก่อน แต่ดูแล้วคงจะมีความสำคัญต่อเจ้ามิใช่น้อย ถึงได้พกติดตัวตลอดเวลาเฉกเช่นนี้"
จริง ๆ แล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงได้ฟังเรื่องราวของฟ่งหลันหลั่นมาจากเฉากงกงมาบ้างแล้วหลายเรื่อง แต่พระองค์ก็ยังทรงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอันใด
ฟ่งหลันหลั่นไม่เชื่อว่าฮ่องเต้จะทรงไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับตัวนาง โดยเฉพาะป้ายหยกมรกตชิ้นนี้ เพราะเฉากงกงเป็นขันทีเฒ่าที่ใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงวังหลวงมานานหลายสิบปี และคอยปรนนิบัติรับใช้ใต้พระบาทของฮ่องเต้และเหล่าเชื้อพระวงศ์มาหลายรุ่น จึงไม่มีทางที่ขันทีเฒ่าเห็นของสิ่งนี้แล้วเขาจะจำไม่ได้ และไม่มีทางที่เขาจะไม่เอาไปกราบทูลถวายรายงานต่อฮ่องเต้องค์นี้ให้ทรงทราบเช่นกัน
"ขอพระราชอภัยเพคะ หากหม่อมฉันจะบังอาจอาจเสียมารยาททูลถามพระองค์ว่าทรงได้เคยรับฟังเรื่องราวขององค์ชายรัชทายาทรุ่นก่อนและพระธิดาหรือไม่...ว่าทั้งสองคนมีนามว่าเยี่ยงไร และมีสัญลักษณ์ประจำตัวแบบไหน"
ฮ่องเต้ทรงสังเกตได้ว่าสตรีน้อยผู้นี้รู้จักใช้ถ้อยคำวาจาอย่างชาญฉลาดในการสนทนา
แม้ในใจของนางจะกำลังคุกรุ่นไปด้วยไฟโทสะแห่งความแค้นที่มันอึดอัดในอกและอย่างยากเกินจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทว่านางยังคงควบคุมสติและการแสดงออกทุกอย่างออกมาด้วยการผ่านกระบวนการกลั่นกรองและไตร่ตรองทางความคิดมาแล้วเป็นอย่างดี
ฟ่งหลันหลั่นได้ยื่นป้ายหยกมรกตของนางให้กับหลงอี้หลิง และพยักหน้าให้กับเขา
แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าตอบรับ เหมือนทั้งสองคนจะเข้าใจในความหมายและเจตนาของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา
จากนั้นหลงอี้หลิงก็เดินถือป้ายหยกมรกตของสาวใช้ตนไปถวายแด่องค์ฮ่องเต้
"นี่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
ฮ่องเต้ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมารับป้ายหยกมรกตนั้นและยกขึ้นทอดพระเนตรใกล้ ๆ และนาทีต่อมาพระองค์ก็ได้ยื่นให้กับเฉากงกง ซึ่งเขายังคงนั่งก้มหน้าและคุกเข่าอยู่ที่พื้นตรงข้างเบื้องพระบาท ให้ช่วยตรวจสอบอีกที
"เฉงกงกง เจ้าน่าจะรู้จักองค์ชายรัชทายาทองค์ก่อนกับธิดาเป็นอย่างดี จงตรวจสอบดูหน่อยสิว่าตราสัญลักษณ์และอักษรที่สลักอยู่บนป้ายหยกนั้น ใช่ของจริงหรือไม่" แม้องค์ฮ่องเต้จะยังทรงกริ้วในตัวของเฉากงกงอยู่ แต่พระองค์ก็แยกแยะอารมณ์ส่วนตัวกับเรื่องราชกิจบ้านเมืองรวมไปถึงทุกข์สุขของไพร่ฟ้าออกจากกันอย่างชัดเจน
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
เฉากงกงชูมือเหนือศีรษะของเขา เพื่อรองรับสิ่งนั้นจากพระหัตถ์ของฮ่องเต้ และพอพระองค์ได้วางป้ายหยกมรกตลงบนมือของขันทีเฒ่า เขาก็รีบทำการตรวจสอบด้วยตาและสัมผัสด้วยมืออย่างไม่รีรอ
ด้วยประสบการณ์ชีวิตและการรับตำแหน่งในฐานะขันทีมาตั้งแต่หนุ่มยันแก่ เลยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับการแยกแยะเครื่องประดับที่เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ระหว่างของจริงกับของปลอมของกษัตริย์และเหล่าพระราชวงศ์
ขันทีเฒ่าตรวจสอบด้วยสายตาและการสัมผัสด้วยมือของตนอย่างพิจารณาและไตร่ตรอง ท่ามกลางสายตาของทุกคนในเรือนรับรองนั้นที่กำลังตั้งใจฟังกันอย่างเงียบกริบ
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป เขาก็ทูลถวายคำตอบต่อฮ่องเต้ ด้วยน้ำเสียงชัดเจนและหนักแน่น
"พระอาญามิพ้นเกล้า เป็นของจริงพ่ะย่ะค่ะ ของสิ่งนี้เป็นป้ายหยกมรกตประจำพระองค์ขององค์หญิงอวี้หลันน้อยในองค์ชายรัชทายาทองค์ก่อน ซึ่งอันที่จริงจะต้องอยู่ในสุสานหลวงเคียงข้างพระวรกายของผู้เป็นเจ้าของพ่ะย่ะค่ะ"
เฉากงกงไม่กล้าพูดเรื่องทั้งหมดที่เขากำลังคิดออกมา เพราะตนยังมีชะงักติดหลังอยู่นั่นเอง
ฮ่องเต้ได้รับคำตอบจากขันทีเฒ่าคนสนิทเยี่ยงนั้น ก็ทรงหันพระพักตร์ ทอดสายพระเนตรไปยังฟ่งหลันหลั่น และถามนางด้วยคำถามปลายเปิด เพื่อให้เจ้าตัวได้เอ่ยความจริงทุกอย่างด้วยตัวเอง
"พูดมา! เหตุใดป้ายหยกที่เป็นของส่วนตัวของบุคคลสำคัญเช่นนั้น มาอยู่ในมือของเจ้าได้กัน และหากเจ้าบังอาจกล่าวคำเท็จออกมาแม่แต่คำเดียว ข้าจะสั่งลงโทษเจ้าทันที"
พระสุรเสียงแกมขู่ของฮ่องเต้ ทรงรับสั่งกับฟ่งหลันหลั่นอย่างขึงขัง เพราะพระองค์ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่ามีตนความเอนเอียงไม่ยุติธรรม
ฟ่งหลันหลั่นยังคงวางตัวนิ่ง และมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา นางไม่รอช้าตอบสวนกลับไปอย่างฉะฉานเด็ดเดี่ยวไร้ความกลัวหรือกังวลในคำขู่นั้นแม้แต่น้อย
"พระอาญามิพ้นเกล้า เรื่องนั้นมันซับซ้อนยิ่งนักเพคะ หม่อมฉันจึงมิสามารถทูลถวายคำอธิบายให้พระองค์ได้ทรงทราบในตอนนี้ เพราะสถานการณ์ตรงหน้าคับขันยิ่งนัก"
"หากเจ้าไม่อธิบายความจริงออกมา เราจะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์ตนเองได้เยี่ยงไรกัน และหากเรายังปล่อยให้เจ้าทำอะไรตามใจอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ผู้คนในเรือนรับรองแห่งนี้คงได้ตราหน้าว่าเราไม่เที่ยงธรรมเป็นแน่"
ฮ่องเต้ปกครองบ้านเมืองด้วยความเที่ยงธรรมมาตลอด จึงมิอาจที่จะเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ และหลงอี้หลิงก็เข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ฟ่งหลันหลั่นยังคงยืนกรานในความคิดของตน จึงได้ตอบกลับไปอย่างฉะฉาน แววตาเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมลดละความตั้งใจเดิมของตน
"ศัตรูของหม่อมฉันยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว อีกทั้งมันอาจจะเป็นเพียงโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายที่จะจัดการกับคนเลวพวกนี้ให้จบในคราวเดียวกัน หม่อมฉันขอบังอาจล่วงเกินต่อเบื้องพระพักตร์ และหลังจากจบเรื่องนี้ลง หม่อมฉันยินดียอมรับโทษประหารชีวิตเพคะ"
คำตอบอันเต็มไปด้วยความมั่นใจ ผนวกกับความถือดี ทระนงในตนเอง ที่กล้าท้าทายในอำนาจของกษัตริย์ด้วยการโต้ตอบวาจาสวนกลับไปมาอย่างไม่ยอมรามือในเรื่องที่กำลังทำ
แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงออกตัวและอยากให้นางยอมถอยจากเรื่องนี้ และใช้กฎหมายบ้านเมืองจัดการกับคนทำผิด แต่ดูเหมือนจะไร้ผล
ปัง!
ฮ่องเต้ทรงเกิดความกริ้วขึ้น พระหัตถ์หนาได้ฟาดลงบนที่รองพระหัตถ์อย่างแรง จนทุกคนในเรือนนั้นสะดุ้งตกใจและหวาดกลัวจนตัวสั่นไปตาม ๆ กัน
ตามมาด้วยพระสุรเสียงเข้มและแข็งกร้าวขององค์ฮ่องเต้ได้ตวาดเสียงดังใส่สตรีน้อย
"บังอาจ! เจ้าเห็นเราเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีความเที่ยงธรรมเช่นนั้นรึ เจ้าถึงกล้าอวดดีและต้องการจะก่ออาชญากรรมขึ้นตรงเบื้องหน้าเราเช่นนี้"
พระสุรเสียงของพระองค์ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งเรือนรับรอง ทุกคนต่างเงียบกริบไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมาสักแอะ เพราะกลัวว่าหัวของตนจะหลุดจากบ่า หากเผลอเข้าไปแทรกแซงการสนทนานี้
หลงอี้หลิงเห็นเช่นนั้น เขาก็รีบขุกเข่าทั้งสองข้างลงต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ทันที
"พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยแทนนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ และขอโปรดทรงถวายพระราชาอนุญาตให้นางได้ทำตามที่ตั้งใจไว้ด้วยเถิด หลังจากเรื่องในวันนี้จบลง หม่อมฉันยินยอมรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างจากการกระทำทั้งหมดของนางไว้แต่เพียงผู้เดียว แม้จะทรงรับสั่งมอบโทษประหารชีวิตให้ หม่อมฉันก็จะไม่ขัดพระราชประสงค์"
น้ำเสียงอันหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวของหลงอี้หลิงได้สร้างความกังวลใจ และหนักใจต่อองค์ฮ่องเต้ยิ่งนัก
ด้านหลงฮูหยินและยายเมิ่งได้ฟังแม่ทัพหนุ่มกล่าวอย่างหนักแน่น และออกตัวปกป้องสตรีน้อยอย่างกล้าหาญไม่กลัวตาย พวกนางก็เข้าใจในความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งพวกนางเองก็ยังติดหนี้บุญคุณชีวิตไว้กับฟ่งหลันหลั่น จึงไม่คิดสงสัยในตัวนางว่าจะเป็นคนไม่ดีแต่อย่างใด
หญิงชราสูงศักดิ์พร้อมกับสาวใช้ของนาง ได้ทรุดเข่านั่งลงตรงเบื้องพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ และทูลวิงวอนขอร้อง ให้สตรีน้อยด้วยเช่นกัน
"ฝ่าบาทโปรดพระราชทานราชาอนุญาตให้กับนางด้วยเถิดเพคะ หลังจากจบเรื่องวันนี้ หม่อมฉันและคนสกุลหลงทุกคนยินดียอมรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างด้วยเช่นกัน"
หลังจากที่นายหญิงใหญ่กล่าวจบ เหล่าบ่าวไพร่และคนของจวนแม่ทัพ รวมทั้งจางเก่อและเข่อลั่ว ต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นและทูลขอความเมตตาจากฮ่องเต้แทนสตรีน้อยอย่างพร้อมเพรียง
ซึ่งการกระทำของพวกเขาได้สร้างความลำบากใจให้กับองค์ฮ่องเต้ยิ่งนัก
เยี่ยอ๋องและหยวนจูวเย่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตนมาก จึงไม่คิดว่าองค์ฮ่องเต้เองก็จะทรงกล้าเอาบัลลังก์มาเสี่ยงกับเด็กสาวที่ไม่รู้ตัวตนชัดเจนนาง
ฮ่องเต้ทรงประทับนิ่งคิดไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่อยู่นานพักใหญ่ และในที่สุด พระองค์ก็ได้มอบคำตอบให้กับพวกเขา
"ได้! เราจะให้โอกาสนั้นกับเจ้าสักครั้ง แต่มีข้อแม้ว่าวันนี้จะไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อของผู้ใดภายใต้จวนแม่ทัพหลังนี้เด็ดขาด"
ทุกคนได้เรือนรับรองนี้ต่างรู้สึกได้ถึงความเที่ยงธรรมในพระสุรเสียงอันหนักแน่นและเด็ดขาดของฮ่องเต้ผู้นี้ จึงไม่มีผู้ใดก็ทัดทานการตัดสินพระทัยของพระองค์
"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี ด้วยเกียรติของข้าและวงศ์ตระกูล ข้ารับปากว่าวันนี้จะไม่มีใครต้องเสียเลือดเสียเนื้ออย่างแน่นอน"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
หลงอี้หลิงและทุกคนที่คุกเข่าก่อนหน้านี้ก็ได้ส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน
"พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้นเถิด"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท"
เมื่อฟ่งหลันหลั่นได้รับพระบรมราชาอนุญาตจากองค์ฮ่องเต้ เวลาแห่งการรอคอยอันแสนยาวนานมาสิบปี จะได้รับการสะสางนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป
เหมือนว่าทุกอย่างได้ถูกวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะทันทีที่ฟ่งหลันหลั่นได้รับพระราชานุญาต นางก็ได้หันไปส่งสัญญาณให้กับบ่าวของจวนแม่ทัพ และไม่นาน โต๊ะทรงกลมขนาดกลางตัวหนึ่งได้ถูกนำมาวางตั้งไว้ตรงกลางห้องโถง และมีจำนวนเก้าอี้วางล้อมอยู่จำนวน 5 ตัว
"ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะทูลขอพระบรมราชาอนุญาตอีกหนึ่งเรื่องเพคะ หม่อมฉันต้องการท้าดวลดื่มสุรากับพวกเขาทั้งสี่ได้หรือไม่"
ฟ่งหลันหลั่นทูลถามฮ่องเต้ จากนั้นนางก็ผายมือออกไปและเอ่ยชื่อพวกเขาทั้งสี่คนออกมา
เซียงไค 盛開