เรือนสกุลหลง
หลายวันต่อมา หลงอี้หลิงก็ได้มาเยี่ยมท่านย่าของเราที่เรือนสกุลหลง และแจ้งถึงเรื่องการเตรียมงานแต่งงานของเขาให้กับทุกคนได้รับรู้ทั่วกัน
ณ ห้องโถงภายในเรือนรับรองแขกของสกุลหลง นายหญิงใหญ่ของเรือนกำลังนั่งสนทนาอยู่กับหลงอี้หลิง หลานชายสุดที่รักของนาง และมียายเมิ่งสาวใช้คนสนิท ยืนร่วมฟังอยู่ข้าง ๆ นายหญิงของตน
"ยายเมิ่ง นี่ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม เมื่อครู่หลิงเอ๋อร์บอกว่าเขาจะเข้าพิธีแต่งงานกับคุณหนูเยี่ย จอมนิสัยเสียผู้นั้น"
นายหญิงใหญ่ของเรือนเอ่ยถามสาวใช้ของตนด้วยน้ำเสียงตกใจ โดยที่สายตาของนางยังคงจ้องมองดูหลายชายที่กำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ด้านข้าง ด้วยสีหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินยิ่งนัก
"เจ้าค่ะนายหญิง ข้าเองก็ได้ยินเช่นนั้น"
ยายเมิ่งตอบอย่างชัดเจน เพื่อตอกย้ำในคำถามของผู้เป็นนายหญิง และนางเองก็มองหลงอี้หลิงด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย
หญิงชราทั้งสองมองหน้าแม่ทัพหนุ่มและเฝ้ารอฟังเขากล่าวบางอย่างอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่พึ่งได้รับสารมา
หลงอี้หลิงมองหน้าทั้งสองคนด้วยแววตานิ่งสงบ เขายามมือออกมาวางทับมือของผู้เป็นย่าและกุมมือนั้นเบา ๆ และกล่าวกับทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"ข้ารู้ดีว่าในใจท่านย่าและยายเมิ่งหวังให้ข้าออกเรือนกับผู้ใด แต่ข้าอยากให้ทั้งสองคนไว้ใจและเชื่อใจในตัวข้า การแต่งงานครั้งนี้สำคัญยิ่งนักต่อบ้านเมือง ดังนั้นได้โปรดช่วยจัดเตรียมงานทุกอย่างให้สมฐานะต่อทั้งสองฝ่ายด้วยเถิด"
หญิงชราสูงศักดิ์วางมืออีกข้างทาบทับลงบนหลังมือของหลานชายและตบลงเบา ๆ สองสามทีพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับคำขอของหลานชายไปอย่างจำยอม
"เอาเถอะ ไม่ว่าครั้งนี้เจ้าจะตัดสินใจด้วยเหตุผลอันใด ย่าและคนสกุลหลงทุกคนรู้ดีว่าตัวเจ้านั้นเป็นคนเช่นไร ย่าจะจัดเตรียมงานทุกอย่าง ไม่ให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องอย่างแน่นอน ว่าแต่เจ้าได้คุยเรื่องนี้กับหลั่นเอ๋อร์หรือยัง"
ผู้เป็นย่าไม่ลืมที่จะเอ่ยถามถึงสาวใช้ส่วนตัวของหลานชายอย่างกังวล
"ตอนนี้นางเดินทางกลับไปเยี่ยมแม่นางมู่ที่เมืองจิ่ว ข้าเลยยังไม่มีเวลาได้คุยกับนางในเรื่องนี้"
หลงอี้หลิงตอบกลับอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงมากนัก เหมือนเขากำลังมีบางอย่างปกปิดย่าของเขาอยู่ ซึ่งมีหรือจะรอดพ้นสายตาของยายแก่คนนี้ไปได้
"เรื่องนี้สำคัญนัก ยังไงเจ้าก็รีบคุยและอธิบายให้นางเข้าใจซะ ไม่งั้น ตัวเจ้าเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจ หากต้องสูญเสียคนดี ๆ อย่าง หลั่นเอ๋อร์ไป"
"เรื่องนั้นข้ารู้ดี ถึงท่านย่าไม่ย้ำเตือน ข้าก็รู้ดีว่าชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อาจอยู่ได้ หากไม่มีนางผู้นั้นร่วมทาง"
น้ำเสียงและแววตาของหลงอี้หลิงที่แสดงออกมาสื่อให้หญิงชราทั้งสองได้รับรู้ว่าเขารู้สึกลึกซึ้งมากมายเพียงใดต่อสตรีที่เขากำลังกล่าวถึง
หลังจากที่แม่ทัพหนุ่มได้แจ้งข่าวให้กับย่าของเขาเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินทางกลับมายังเรือนหลงหลิง
เรือนหลิงหลิง
ยามเซิน[1]แม่ทัพหนุ่มกำลังนั่งตรวจงานและเอกสารต่าง ๆ อยู่ในห้องหนังสือของเขา โดยมีจางเก่อนั่งถัดไปทางด้านหน้าของเขา
[1] ยามเซิน (申:shēn) คือ 15.00 - 16.59 น.
จางเก่อผู้ที่มักจะเชื่อฟังและทำตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัดและ ไม่เคยยุ่งเรื่องของเจ้านาย ครั้งนี้เขาก็ไม่สามารถที่จะทนเงียบเฉยและปล่อยผ่านไปได้ เขาวางมือจากงานที่ทำอยู่และลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตน เดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของผู้เป็นนาย
"นายน้อย ข้ามีบางเรื่องที่ยังไม่เข้าใจขอรับ"
น้ำเสียงของจางเก่อเผยให้รู้สึกถึงความกังวลใจที่เขามีอยู่ในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะปกติเขาจะเป็นคนที่กล่าวด้วยถ้อยคำหนักแน่นฉะฉาน แต่ครั้งนี้เขาพูดไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าใดนัก เหมือนกำลังลังเลกับคำถามนั้นของตน
หลงอี้หลิงได้ฟังเช่นนั้น เขาก็ละมือจากงานที่กำลังทำอยู่เช่นกัน และเงยหน้าขึ้น มองหน้าลูกน้องคนสนิท ดวงตาฉายประกายคมปลาบ
"เจ้าคงสงสัยเรื่องที่ว่าเหตุใดข้าถึงตอบตกลงยินยอมแต่งงานกับเยี่ยชิงเซียวตามที่เยี่ยอ๋องผู้นั้นต้องการใช่หรือไม่"
"ขอรับ"
จางเก่อขานรับสั้น ๆ และรอฟังรายละเอียดที่เหลืออย่างตั้งใจ
จากนั้นหลงอี้หลิงก็ได้นึกถึงวันที่เข้าได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ และภาพความทรงจำของเหตุการณ์วันนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว
เมื่อหลายวันก่อน ณ พระตำหนักขององค์ฮ่องเต้
'หลิงเอ๋อร์ เจ้ามั่นใจหรือว่าต้องการให้เราทำเช่นนั้นจริง ๆ'
องค์ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่บนพระที่นั่งส่วนพระองค์ และตรัสถามย้ำกับแม่ทัพหนุ่มของเขาอย่างประหลาดใจ โดยมีขันทีคนสนิทยืนอยู่ข้างกาย
หลงอี้หลิงซึ่งยืนอยู่ตรงกลางห้อง หันหน้าเข้าหาองค์ฮ่องเต้ ยังคงอยู่ในท่ายืนถวายบังคมฮ่องเต้อยู่ ได้ให้กล่าวย้ำคำขอของเขาอย่างหนักแน่น
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท พวกเราจำเป็นต้องคล้อยตามเยี่ยอ๋องไปก่อน เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะหาหลักฐานทั้งหมดเพื่อเอาผิดพวกเขาได้"
ฮ่องเต้ได้ฟังเช่นนั้น พระองค์ก็ยังทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยอยู่ดี เพราะแม้ว่าบ้านเมืองจะสำคัญมากเมืองใด แต่พระองค์ก็ทรงรักหลงอี้หลิงประดุจหนึ่งเป็นโอรสของพระองค์
"หลิงเอ๋อร์ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเรารักเจ้าเสมือนเป็นบุตรชายแท้ ๆ ของเรา แถมเรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต เราไม่อยากให้ปัญหาของบ้านเมืองต้องมาทำลายชีวิตที่เหลือของเจ้าเยี่ยงนี้ ไม่มีหนทางอื่นแล้วจริง ๆ งั้นหรือ"
"หม่อมฉันเป็นทหารของพระองค์ มีหน้าที่คอยปกป้องพระองค์และบัลลังก์นี้ รวมไปถึงต้องดูแลทุกอย่างของแคว้นนี้ให้รอดพ้นจากอันตรายทุกอย่างของศัตรูทั่วทุกที่ ดังนั้นบ้านเมืองและความสงบสุขของผู้คน ย่อมมาก่อนความสุขส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ"
แม่ทัพหนุ่มกล่าวด้วยถ้วยคำหนักแน่น น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว และแม้ว่าเขาจะยังก้มหน้าอยู่ แต่ฮ่องเต้ก็รับรู้ได้ถึงแววตามั่นคงและเด็ดเดี่ยวของนายทหารผู้นี้ของพระองค์
และรู้ดีว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้มีความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและต่อกษัตริย์มากเพียงใด
เฮ้อ...ฮ่องเต้ถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกกังวลพระทัยในการตัดสินใจครั้งนี้ของแม่ทัพหนุ่ม
"เอาเป็นว่า เราจะอนุญาตให้ตามที่เจ้าต้องการ หวังว่าแผนการในครั้งนี้ของเจ้าจะไม่เสียเปล่านะ"
เมื่อฮ่องเต้ตรัสเสร็จ พระองค์ก็ทรงลงลายพระอักษรลงบนผ้าสีแดงตรงหน้า พร้อมกับประทับตราลัญจกรตรงท้ายประโยคด้านล่างสุด จากนั้นก็ส่งยื่นผ้าผืนนั้นให้กับเฉากงกง ขันทีคนสนิท ซึ่งกำลังรออยู่
เฉากงกงรับผ้าผืนนั้นมาจากพระหัตถ์องค์ฮ่องเต้ และม้วนเข้าหากัน จบด้วยด้ายสีทองรัดรอบม้วนผ้านั้นอีกที จากนั้นก็เดินตรงมาหาหาแม่ทัพหนุ่มและมอบม้วนผ้านั้นใส่มือให้กับหลงอี้หลิง
แม่ทัพหนุ่มรับราชโองการมาจากมือของเฉากงกง จากนั้นเขาก็ได้กล่าวกับองค์ฮ่องเต้อีกครั้ง
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ขอให้ฝ่าบาททรงมีพระชนม์มายุยั่งยืน หมื่นปี หมื่น หมื่นปี"
"ว่าแต่เราได้ยินเรื่องสำคัญจากเฉากงกงมาเรื่องหนึ่ง....ป้ายหยกมรกต!..."
องค์ฮ่องเต้ตรัสขึ้นจากนั้นก็ทรงเงียบไปครู่หนึ่ง และจ้องพระเนตรพุ่งตรงไปยังแม่ทัพหนุ่มเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา
แม่ทัพหนุ่มได้ฟังเช่นนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ทันที แต่ยังไม่ทันทีเขาจะได้กล่าวอันใด ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสถามต่อ
"...ความจริงมันน่าจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลกนี้ และควรจะอยู่ที่สุสานหลวงข้างพระวรกายขององค์หญิงอวี้หลัน พระราชธิดาของรัชทายาทองค์ก่อนมิใช่หรือ แต่เหตุใดถึงได้ไปปรากฏที่อยู่สาวใช้นางนั้นของเจ้าได้กันเล่า"
พระสุรเสียงของฮ่องเต้ทรงดูเคร่งเครียดและจริงจังในคำถามนี้มาก
แม่ทัพหนุ่มรับนั่งคุกเข่าลงกับพื้นทันที และกล่าวขอพระราชทานอภัยต่อองค์ฮ่องเต้
"พระอาญามิพ้นเกล้า เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งนัก หม่อมฉันยังไม่มั่นใจว่า เท็จจริงแค่ไหน เลยยังมิอาจจะกราบทูลรายงานต่อพระองค์ให้ทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ"
....
เซียงไค 盛開