...
หลังจากที่ก้อย ( สะใภ้คนใหม่ ) ได้เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เธอก็พยายามทำตัวเป็นคนดีทั้งต่อหน้าสามี และคนในครอบครัว โดยเฉพาะกับสุพัทรา ( แม่ของทับทิม ) เธอจะพยายามเข้าหาและชวนพูดคุยอยู่เสมอ แต่ด้วยสุพัทราเป็นคนที่มองคนออก เธอจึงไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษนัก และเธอคงยังทำตัวเหมือนปรกติแต่ก็ไม่ยอมสนิทสนมด้วย
เวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือน พัชรีก็เริ่มตั้งท้อง แต่เธอก็ยังคงทำงานที่โรงงานไปจนกระทั่งถึงวันคลอด พัชรีได้คลอดลูกสาวตัวน้อยของเธอ ตอนนั้น อาเล็ก ( ลูกสาวบุญธรรมของสร้อย ) อายุจริง 2 ขวบ ส่วนทับทิมก็จะ 1 ขวบและ ตอนนี้ที่บ้านมีเด็กหญิงถึง 3 คน สร้อย ( ย่าของทับทิม ) ในตอนนี้เธอต้องดูแลเด็กๆถึง 3 คนกันเลยทีเดียว แต่ด้วยเธอมีประสบการณ์ในการเลี้ยงดูลูกของเธอมา จึงทำให้ไม่ครณากับเด็กหญิงทั้งสามคนเลย มันง่ายมากสำหรับเธอ คนเล็กสุดเอาใส่เปล เกว่งๆไปให้หลับส่วนคนที่โตหน่อยหัดเดินก็ปล่อยให้เดินและเล่นกันไป ส่วนเรื่องนมและอาหารเสริมของพวกเด็กๆ เธอก็ไม่ละเลย และให้กินเป็นเวลาโดยที่เด็กๆนั้นก็ให้ความร่วมมือ เหมือนจะรู้ตัวดีว่าไม่ควรอ้อนแม่และยายของพวกเธอโดยเด็ดขาด!! ว่านอนสอนง่าย กินแล้วก็นอนเลี้ยงง่ายเลี้ยงดายเป็นที่สุด.. และสร้อยเองก็ไม่ลืมที่จะเสริมสร้างความปลอดภัยให้แก่ลูกและหลานอีกด้วย เพราะเธอจะมีคอกกั้นประตูขวางทางออกไว้และกั้นตรงบันไดกันเด็กๆปีนป่าย ส่วนตัวของสร้อยนั้นยังคงรับงานมาทำที่บ้านอีก ในตอนนั้นคืองานทำพรมเช็ดเท้า เพราะเธอจะสามารถเลี้ยงดูเด็กๆไปด้วยได้ และก็ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยในยามที่เด็กๆหลับไป..
พัชราหลังจากแยกตัวไปอยู่หอก็เริ่มทำงานและเก็บเงิน พักหลังเธอมีแฟนหนุ่มที่รักกันมาก แฟนของเธอยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย อายุเลยใกล้เคียงกัน ตัวเขานั้นฐานะก็ปานกลางแต่ที่บ้านอยู่ต่างจังหวัด จึงทำให้ไม่สามารถดูแลพัชราได้เต็มที่ พวกเขามีเวลาให้กันแค่สัปดาห์ละครั้งในตอนวันหยุด เธอจึงพาไปพบครอบครัวเพื่อที่จะแนะนำให้ทางครอบครัวของเธอรู้จัก และมาพักที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราว สร้อยและวัลลพทั้งสองคนเข้าใจในตัวลูกๆของพวกเขา และปล่อยให้ทั้งคู่คบกันแต่ต้องอยู่ภายในสายตา ทั้งสองคนคบกันแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ลูกสาวตัวน้อยของพัชรี ชื่อ น้องมิ้ว เป็นเด็กเลี้ยงง่ายกินอิ่มแล้วก็นอนหลับปุ๋ยไปเลย ส่วนทับทิมซนมากชอบเล่นไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนแต่ก็ไม่ได้อ้อนอะไร ส่วนอาเล็กนั้นกินเก่งมากไป อ้วนตุ้ยนุ้ยแก้มยุ้ยน่าหยิกเป็นที่สุด เด็กหญิงทั้ง 3 คนโตวันโตคืน ในตอนนี้ อาเล็ก 3 ขวบ ( อายุจริง ) และ ทับทิม 2 ขวบ ส่วนน้องมิ้ว 1 ขวบ
...
พ่อของน้องมิ้ว เขาเป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานที่กรุงเทพนานแล้ว เขาเป็นคนจิตใจดีไม่เจ้าชู้ และยังเป็นคนใจบุญชอบทำการกุศลช่วยเหลือในยามที่ตนเองนั้นว่าง บริจาคเลือดจนได้เหรียญ และต่อมาก็ได้โล่ วางอยู่เต็มห้องไปหมด ส่วนตัวเขายังคงแข็งแรงดีมากอยู่.. เขาทำงานเป็นช่างไฟฟ้า ( ในสมัยนั้น ) แบบรับเหมาเป็นทีมงาน ทำอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ต่อมาเขาต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เขาคิดถึงลูกและพัชรีภรรยาของเขามาก เขาต้องเดินทางไปทำงานนานถึง 1 ปี เขายังต้องส่งเงินมาให้พัชรีใช้จ่ายอยู่ตลอดในทุกๆเดือน การต้องไปทำงานต่างถิ่นมันทรมารต่อความคิดถึงมากที่สุด แต่เขาจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาอยากมีเงินทอง และอยากสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัว จึงจำเป็นต้องอดทนทำงานนี้ให้สำเร็จต่อไป...
" กริ๊งงงงง...!! กริ๊งงงงง...!! " เสียงโทรศัพท์ ( โทรศัพท์บ้านในสมัยนั้น ) ดังขึ้นในค่ำวันเสาร์
พัชรารับโทรศัพท์ และพูดคุย สักพักเธอมีอาการตกใจ และเสียงสั่น ก่อนจะถามปลายสายว่า
" โรงพยาบาลอะไรนะคะ ? "
" ใคร ? เป็นอะไรหรอพี่รา "
" ฮือ ๆ แฟนพี่...ฮือ...เค้าประสบอุบัติเหตุรถชน.. เสียชีวิตแล้ว ฮืออออ.. " เธอระร่ำระรัก สะอึกสะอื้นร่ำให้ ปานประหนึ่งจะขาดใจตาย
" จริงหรอพี่!?.. " พัชรัตน์สงสารพี่สาวของเธออย่างเหลือเกิน ทั้งสองพี่น้องกอดกัน เธอไม่รู้จะปลอบพี่สาวเธออย่างไรดี ได้แต่กอดคอกันร้องให้…
...….
หลังจากเสร็จสิ้นงานฌาปนกิจ พัชราก็เปลี่ยนไปเป็นคนเงียบขรึมขึ้น พูดน้อยกว่าเดิมมาก ไปทำงานปรกติแต่ไม่รับทำโอทีเหมือนดั่งแต่ก่อน วันหยุดเธอก็ไม่ยอมอยู่ที่บ้าน ออกไปเที่ยวเสมอๆ อาจเป็นเพราะเธอเสียใจที่คนรักของเธอได้จากไปแบบไม่ทันตั้งตัว เธอต้องการลืมเลยต้องหาอะไรใหม่ๆทำกระมัง ?!
" เลิกเที่ยว!! เลิกตะลอนได้แล้ว เป็นลูกผู้หญิงอย่าทำตัวแบบนี้ คิดหรือว่าคนที่ตายไปแล้วน่ะ!! จะฟื้นขึ้นมาดีใจ ที่แกทำตัวแบบนี้ ห๊า!! "
" หนูรู้แล้วน่ะแม่.. ขอแค่หนูลืมเขาได้ก็พอ "
" แล้วเมื่อไหร่ล่ะ!? แกไม่ได้เสียใจคนเดียวนะ.. แกทำตัวแบบนี้.. แม่ก็เสียใจด้วยนะ ในเมื่อเขาบุญน้อย จากแกไปเสียก่อน แกก็คิดเสียว่าพวกแกทำบุญด้วยกันมาแค่นี้ อีกหน่อยแกก็จะเจอคนที่ดีกว่า.. แล้วเวลา..จะช่วยเยียวยาตัวของแกเอง เสียใจได้ลูก.. แต่อย่าทำตัวไม่ดีเสียคนไปเลยนะลูกนะ แล้วอีกหน่อยมันจะค่อยๆดีขึ้นเอง เชื่อแม่เถอะ "
พัชรากอดแม่ของเธอ ตอนนี้เธอรู้และเข้าใจแล้ว ว่าแม่รักเธอแค่ไหน และทำไมเธอต้องทำให้แม่ของเธอต้องทุกข์ใจเพราะเรื่องของเธอด้วยเล่า เธอจะเข้มแข็งขึ้นและจะทำตัวใหม่ให้แม่ของเธอคลายความกังวล….
....
หลังจากนั้น 1 ปี พ่อของมิ้วกลับมาจากทำงานที่ต่างประเทศ เขามีรายได้จากการทำงานมากโขอยู่ จึงทำให้พัชรีดูล่ำซำมากขึ้น เธอซื้อข้าวของเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าห้องของเธอใหม่หมด แถมยังซื้อเตียงนอนพร้อมที่นอนอันใหญ่ด้วยจากที่ในตอนแรกนอนแบบปูที่นอนบนพื้น เธอดูมีความสุขมาก ในตอนนี้น้องมิ้ว อายุ 2 ปีแล้ว ทับทิม 3 ปี อาเล็ก 4 ปี ( อายุจริง ) วันเวลาผ่านไปเร็วมากเลย พวกเด็กๆยังคงน่ารักและเติบโต คราวนี้ถึงคราว..
ก้อยตั้งท้องขึ้นมาอีกแล้ว.. อันที่จริงเธอก็ไม่ได้อยากท้องสักเท่าไรนัก แต่ด้วยความเผลอเรอของตัวเธอเอง จึงทำให้เธอลืมกินยาคุมกำเนิด อีกเพราะเธอไม่ค่อยชอบยาคุมด้วยล่ะมั้ง เพราะในการกินยาคุมกำเนิดของเธอในแต่ละครั้งเธอจะมีอาการเวียนหัว และเหม็นยามากๆ บางครั้งอาเจียนเลยก็มี คงเป็นเพราะเธอแพ้ยาคุมกำเนิดนั่นเอง แต่ในทางตรงข้ามกัน อนันต์กลับดีใจมาก และตื่นเต้นที่เขาจะได้มีลูกคนแรกของเขาเสียที หลังจากที่รักและเอ็นดูพวกหลานๆ ( ยกเว้นอาเล็ก ) มาเนิ่นนาน
ในช่วงเวลานี้ พัชรัตน์ก็ได้เริ่มมีแฟนอยู่ที่ทำงานเดียวกันกับเธอ หน้าตาหล่อเหลาเอาการ ฐานะทางบ้านก็ดีพอควร เธอจึงได้พาแฟนของเธอมาแนะนำที่บ้าน เพื่อทำความรู้จักกับครอบครัว และอีกนัยนึงเพื่อที่จะมาให้แม่กับพ่อของเธอดูตัวว่าผ่านหรือไม่ พัชรัตน์เธอจะเป็นคนติดแม่ของเธอมาก เพราะเธอเป็นลูกคนเล็กของครอบครัว ( ในเมื่อก่อน ) เธอจึงต้องการความคิดเห็นของมารดาว่า คนๆนี้เป็นว่าที่ลูกเขยได้หรือไม่ เพราะถ้าไม่ได้หรือแม่ไม่ชอบ เธอจะสลัดตัดทิ้งไปเสีย ( ถ้าทำได้นะ ) แต่นั่นก็เป็นสิ่งดีที่แม่กับพ่อของเธอเห็นชอบด้วย เธอจึงโล่งอกไป
" หน้าตาก็หล่อดีนี่.. "
" ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรอกนะ มีตังด้วย.. ฮ่าๆ "
" เออ.. ก็ดีไป แต่ไม่รู้จะนิสัยดีรึเปล่าเนี้ยสิ "
" ดีสิ ถ้าไม่งั้นฉันไม่ยอมคุยด้วยหรอก คนที่ทำงานของฉันมีคนหล่อๆ เยอะจะตายไป ที่จริงแล้วน่ะฉันเนื้อหอมนะพี่ หนุ่มๆรุมจีบอ่า.. ไม่อยากจะคุย ฮิ ฮิ " พัชรัตน์หัวเราะคิกคักด้วยความพอใจ
" โอ้ย..!! เบื่อพวกขี้โม้จริงๆ หึ หึ " พัชรีแกล้งแซวน้องสาวคนเล็กของเธอ
เย็นวันนั้นจึงเป็นเย็นวันบันเทิงของคนในครอบครัว ทุกคนร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ดูมีความสุขซะจริงๆเลย พ่อของน้องมิ้วชักชวนพ่อของทับทิมดื่มเบียร์เพื่อสังสรรค์ พวกผู้ชายเลยตั้งวงดื่มเบียร์กันพร้อมเปิดเพลงเพื่อความสนุกและเพลิดเพลิน เป็นครั้งแรกเลยที่ครอบครัวนี้ดื่มน้ำเมากัน และอีกต่อไปคงหาเรื่องดื่มกันอีกเป็นแน่ เพราะต้องฉลองนั่น ฉลองนี่ งานวันเกิด งานแต่ง และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย เฮ้อ...
....
ก้อยคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชาย อนันต์ตั้งชื่อให้ลูกชายของเขาคือ น้องโอม ในตอนนี้มีเด็กเล็กๆที่บ้านหลังนี้ถึง 4 คนแล้ว บ้านหลังนี้เนี้ยไม่เคยเงียบซะเลยจริงๆ น้องมิ้ว 3 ขวบแล้วพูดเก่งมาก ส่วนทับทิมก็ 4 ขวบไปและ อาเล็กด้วย ( 5 ขวบอายุจริง ) ต้อง 4 ขวบเท่ากับทับทิมเลย แหะ แหะ คราวนี้แหละ!! ที่เด็กหญิงทับทิมกับอาเล็กต้องเข้าโรงเรียน เพราะว่าเด็กหญิงทั้งสองคนนั้นอายุเท่ากัน ( ซะเมื่อไหร่ล่ะ ) สุพัทรา ( แม่ของทับทิม ) จึงพาลูกสาวของเธอไปสมัครเรียนที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีรถรับส่งนักเรียนถึงหน้าบ้านและมีชุดนักเรียนน่ารักซึ่งเหมาะกับลูกสาวของเธอนัก..
ส่วนสร้อยกับวัลลพก็อยากจะพา อาเล็กไปเรียนที่เดียวกับทับทิมด้วยล่ะนะ แต่ติดที่ว่า ค่าเทอมที่นั่นมันแพงไปสำหรับพวกเขา สร้อย ( ย่าของทับทิม ) จึงพาอาเล็กไปสมัครเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลใกล้ๆบ้าน ซึ่งชุดนักเรียนก็เหมือนๆชุดนักเรียนโดยทั่วไป แต่เด็กๆทั้งสองคนนั้นยังคงตื่นเต้นที่จะได้ไปโรงเรียน เธอทั้งสองคนใส่ชุดนักเรียนทั้งวันตั้งแต่ซื้อมา พอกลับถึงบ้านก็ใส่เลยด้วยความตื่นเต้นของเด็ก พวกเธอเห่อชุดใหม่กันมากใส่นอนหลับกันไปเลยยันเช้า จนพวกแม่ๆของเธอบ่นกัน
" ถอดออกเถอะลูก แม่จะเอาไปซัก เดี๋ยวชุดนักเรียนจะเก่าก่อนได้ไปโรงเรียนจริงๆนะ "
" จริงหรือจ๊ะแม่ ? งั้นหนูถอดก็ได้ " หนูน้อยทับทิมยอมเชื่อฟังแม่ของเธอ
" จริงสิจ๊ะ ลูกสาวของแม่ เพราะชุดนักเรียนเค้าเอาไว้ใส่ไปโรงเรียนเท่านั้นนะลูก "
" จ่ะแม่ " เด็กน้อยยิ้มหวานกับแม่ของเธอ
" แม่จ๋า ทำไม ? อาเล็กถึงมีชุดไม่เหมือนของหนูล่ะ "
" อาเล็กเค้าเรียนโรงเรียนคนละที่กับลูกจ่ะ ชุดเลยไม่เหมือนกันน้า.. "
" แล้วทำไมอาเล็กไม่เรียนที่โรงเรียนเดียวกับหนูล่ะคะแม่ จะได้ใส่ชุดเหมือนกัน "
" เอ่อ…. ย่าเค้าพาไปสมัครแล้วนี่จ๊ะ ไม่เป็นไรนะลูก ตอนเย็นเลิกเรียนกลับมาก็มาเล่นกันที่บ้านได้นี่จ๊ะ "
" แต่หนูอยากไปเรียนที่เดียวกับอาเล็กนี่นา "
" ทับทิมจ๊ะ เดี๋ยวพอลูกได้ไปเรียนที่โรงเรียนนะ ลูกจะมีเพื่อนๆเยอะแยะเลย เป็นเพื่อนใหม่ๆ ทั้งนั้น หนูไม่อยากมีเพื่อนใหม่หรือจ๊ะ ? "
" เพื่อนใหม่ ? " เด็กน้อยทำหน้าคิดนิดนึง " อยากมีค่ะแม่ หนูอยากมีเพื่อนใหม่ เอาเยอะๆเลยนะ "
" จ้า.. " สุพัทราหอมแก้มลูกสาวตัวน้อยของเธอ
....
ก้อยเลี้ยงลูกไม่ค่อยเป็นและเธออยากโยนภาระการเลี้ยงเด็กไปให้แม่สามีของเธอ แต่อนันต์ไม่อยากให้แม่ของเขาเหนื่อยจนเกินไป เพราะจากการที่เขาเห็นว่าแม่ต้องเลี้ยงหลานมาหลายคน และอีกอย่างทับทิมกับอาเล็กโตพอที่จะไปโรงเรียนแล้ว ส่วนมิ้วก็ 3 ขวบแล้วด้วย เขาเลยอยากให้แม่ของเขาได้พักบ้าง
" ฉันลาคลอดได้แค่ 3 เดือนนะ ต้องไปทำงานที่โรงงานต่ออีก "
" รู้แล้วล่ะน่า.. ทำไมเธอไม่ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกเลยล่ะ ? จะได้ไม่เปลืองเงินค่านม ให้ลูกของเรากินนมแม่ไปเถอะนะ "
" นี่!! กะจะให้อดตายกันรึไง "
" จะไปอดตายได้ยังไง ฉันเลี้ยงเธอกับลูกไหวน่า "
" ไม่เอาหรอก แบบนั้น!? ทีหลานๆคนอื่นแม่เธอยังเลี้ยงให้ได้เลย เราต้องช่วยกันทำงานสิ นะพี่นะ... ฉันไม่อยากอยู่บ้านและเลี้ยงลูกเฉยๆน่ะ "
" จะเอาแบบนั้นหรอ ก็ได้ ฉันตามใจเธอแล้วนะก้อย "
ก้อยยิ้มอย่างพอใจ
' เรื่องอะไรจะให้ฉันมาอยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยๆนะ ฉันอุตส่าห์อดทน อยู่อย่างสงบเสงี่ยมมานานแล้ว จะให้มานั่งเลี้ยงเด็กอยู่บ้านเฉยๆไม่มีทางซะล่ะ '
ก้อยอยากออกไปข้างนอกเพื่อระบายความเครียด ไปพบเจอเพื่อนๆหรือไปชอปปิ้งบ้าง
' นี่อะไร!? ที่บ้านนี้มันจะประหยัดอะไรกันนักกันหนา นึกว่าจะได้มาอยู่ฟรีๆมีผัวเลี้ยง แหม.. แม่ผัวกับบรรดาน้องๆของผัวเรามันยังเขี้ยว!! แผนสูง..บอกให้เราช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่ากับข้าว จุกจิกแม้กระทั่งเรื่องห้องน้ำ แถมเรายังต้องทำงานต่อ แถมตอนนี้ยังมีลูกเพิ่มขึ้นมาอีก ชักจะทนไม่ไหวล่ะนะ '
ก้อยเริ่มเบื่อความเป็นอยู่ที่บ้านเอาซะดื้อๆ อันที่จริง แม่สร้อยก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ก้อยคิดหรอกนะ เธอแค่ขอความร่วมมือเพราะอยู่กันเป็นส่วนรวม ไม่รู้ว่าก้อยไปเอาความคิดเลวร้ายนั้นมาจากไหน ส่วนเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าวนั้น มันเป็นเรื่องที่ต้องสมควรจะจ่ายไม่ใช่หรือ ? แม่สร้อยนั้นเธอยุติธรรมมาก เธอให้ลูกๆทุกคนติดมาตรไฟฟ้าหน้าห้องของแต่ละคน โดยช่างไฟในบ้านเป็นคนดำเนินการเองนั่นคือพ่อของน้องมิ้วนั่นเองแหละ เพราะฉนั้น บ้านใครใช้ไฟฟ้ามากก็ต้องจ่ายมากเป็นธรรมดาไม่แปลกเลยสักนิด ส่วนค่าน้ำแม่สร้อยก็ให้หารตามจำนวนคน ( เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น ) จากราคาบิล และค่ากับข้าว ถ้าไม่กินข้าวก็ไม่ต้องจ่าย ง่ายจะตายไป...
เฮ้อ.. หรือนี่คือจุดเริ่มของรอยดำกันนะ...