ตอนที่ 396 ทำก่อนค่อยพูดทีหลัง
นี่คือสิ่งที่โลกกำลังจะเป็นไป
แต่ตรงกันข้าม เมื่อเห็นถึงฉากนี้ กู่ฉิงซานกลับสงบลงแทน
เขาเอ่ยต่อว่า “แล้วพวกเผ่ามารกำลังทำอะไรกันอยู่?”
ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “พวกมันได้ทำการปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดที่สามารถเข้าสู่โลกปรภพ ปิดกั้นเส้นทางเข้าสู่โลก”
“ในเมื่อทุกอย่างพร้อมถึงขนาดนี้แล้ว เหตุใดพวกมันจึงยังระแวดระวังตัวถึงเพียงนี้อยู่อีกเล่า?”
“เพราะพวกเราเหล่าจิตอาร์ติแฟคจากปรภพบางส่วน กำลังพยายามหาวิธีสื่อสารกับหอกหลากสีอยู่ ขณะที่อีกส่วนแยกตัวออกไปขัดขวางไม่ให้ราชาภูตถือกำเนิดขึ้นน่ะสิ”
แล้วภาพก็เปลี่ยนไป
ณ ยอดของภูเขาล้อมเหล็ก
หอกหลากสีวางอยู่บนยอดเขา
ขณะเดียวกันก็มีห้าถึงหกกระแสแสงบินวนรอบตัวหอก และเปล่งเสียงออกมาอยู่บ่อยครั้ง
นั่นคืออาวุธโบราณของปรภพ
พวกเขากำลังพยายามที่จะสื่อสารกับหอกหลากสีอยู่
แล้วภาพก็สลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ในนรก เหล่าคนตายที่ทรงพลังกำลังเข่นฆ่าห้ำหั่นกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
แล้วในท้ายที่สุด คนตายคนอื่นๆ ก็ถูกสังหารไปจนหมด หลงเหลืออยู่แค่เพียงสองตนเท่านั้น
ขณะนี้ ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยรอยบาดแผล
พวกเขาพยายามโจมตีอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง เพื่อคว้าชัยชนะในก้าวสุดท้ายนี้
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีกระบี่ยาวผุดออกมา ซึ่งไม่มีใครรู้เหมือนกันว่ามันมาจากที่ใด ทว่ามันได้ฉวยโอกาสนั้น พุ่งวาบ! เฉือนผ่านร่างของคนตายทั้งสองไป
แล้วกระบี่ยาวกะพริบไหว หายไปในอากาศ
คนตายทั้งสองสิ้นใจลง แล้วจมลงสู่การหลับใหลอีกครั้ง
การแข่งขันในครั้งนี้จบลง และยังไม่อาจถือกำเนิดคนตายที่แกร่งที่สุดได้
เมื่อคนตายทุกคนตื่นขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องทำการต่อสู้กันอีกครั้ง!
หากมองในแง่ของเวลาแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่อย่างน้อยสิ่งที่เหล่าอาวุธโบราณทำ ก็ช่วยให้การถือกำเนิดของราชาภูตก็จะล่าช้าออกไปพอสมควรเลย
กู่ฉิงซานจ้องมองฉากนี้อย่างครุ่นคิด
นรกหลายขุมได้ปรากฏตัวขึ้นแล้วบนโลก ทว่าพวกมันกลับยังไม่ยอมทำการกวาดล้างโลกจริงๆ สักที
เขาเกรงว่าสาเหตุคงจะเป็นเพราะเหล่าคนตายทรงพลังที่เป็นผู้คุมนรกขุมต่างๆ กำลังวุ่นอยู่กับการยื้อยุดกันและกัน ทุ่มเทกับการแข่งขันเพื่อคว้าตำแหน่งราชาภูตที่ว่านี่อยู่เป็นแน่
“ข้าเป็นร่างจิตวิญญาณ แต่ข้าพอจะสามารถเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อคว้าตำแหน่งราชาภูตได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามในทันใด
“มิได้ แม้เจ้าจะเป็นเหมือนคนตาย แต่ว่าไม่ได้ตายจริงๆ”
“นี่…”
ตะขอเกี่ยววิญญาณตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน “อ๊ะ บ้าจริง!”
“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม
“การแข่งขันเมื่อครู่จบลง นรกแต่ละแห่งจึงเริ่มคัดเลือกคนตายที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นไปต่อสู้กันอีกแล้ว! เวลานี้มีนรกสิบห้าขุม ที่คัดเลือกตัวแทนของพวกมันคนใหม่เรียบร้อยแล้ว!”
“เมื่อนรกทั้งสิบแปดขุมทำการเลือกคนตายที่แกร่งที่สุด การต่อสู้เพื่อคว้าตำแหน่งราชาภูตก็จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง”
“ตอนนี้ปรภพไร้ซึ่งเทพวิญญาณ ดังนั้นวาจาของราชาภูตจะเป็นดั่งประกาศิต ชี้นิ้วสั่งทุกผู้คนได้ และนั่นคือสิ่งที่เราจะต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น!”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วเผ่ามารเล่า พวกมันอยู่ที่ไหน?”
“พวกมันกระจายกำลังไปทั่วทั้งปรภพ แต่ไม่สามารถเข้าสู่นรกได้”
“แต่เมื่อไหร่ที่ราชาภูตทำลายโลกมนุษย์ลงอย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นอุปสรรคที่คอยขวางกั้นทั้งหกโลกก็จะหายไป ยามเมื่อช่วงเวลาดังกล่าวมาถึง เผ่ามารก็จะกรีธาทัพ บุกเข้าสู่ทุกอาณาจักรได้อย่างง่ายดาย!”
“เช่นนั้น เรามิอาจหยุดเรื่องนี้ได้เลยหรือ?”
“ใช่”
ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวด้วยความหดหู่ ทิ้งตัวลงบนพื้น นอนนิ่งไม่ไหวติง
กู่ฉิงซานจ้องมองมันอย่างว่างเปล่า ในสมองเขาอื้ออึงไปหมด
นี่ตนอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงปรภพ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับต้องพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่ามันจะปรากฏขึ้นมาก่อน
เผ่ามารเริ่มเปิดฉากโจมตีโลกปรภพ จากนั้นก็กรีธาทัพไปทั้งหกโลก หมายจะยึดครองทั้งหมดเป็นของตนเอง
เรื่องราวเช่นนี้ ตัวเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยในชีวิตก่อนหน้า
และนอกจากนี้ ยังมีเรื่องของอาวุธที่โคตรทรงพลานุภาพอย่างหอกหลากสีอีก หอกที่สามารถสังหารทั้งเทพและอสุรกายได้อย่างง่ายดาย
เผ่ามารนี่ช่างเป็นมะเร็งร้ายที่คอยกัดกินความสงบสุขโดยแท้!
“มันไม่มีทางที่จะแก้ไขได้เลยหรือ…” เขาบ่นงึมงำ
ทันใดนั้นเอง ตะขอเกี่ยววิญญาณก็ผุดลุกขึ้นทันใด ร้องตะโกนออกมา “ดูนั่นเร็วเข้า!”
กู่ฉิงซานคว้าจับมันทันทีอีกครั้ง และแช่จิตสัมผัสเทวะลงไป
เห็นแค่เพียงบนยอดเขาล้อมเหล็ก บังเกิดแสงและเงาบินหลุดออกมาจากหอกหลากสี
ด้ามจับหอกถูกล้อมรอบไปด้วยแสงและเงานี้
ทันใดนั้นเอง เหล่าอาวุธแห่งปรภพที่เวียนว่ายคอยส่งเสียงก่อกวนอยู่รอบกายมัน ทั้งหมดก็ถูกสับเป็นชิ้นๆ!
อาวุธเหล่านี้ ทุกชิ้นล้วนเป็นอาวุธจากยุคโบราณที่เปี่ยมไปด้วยกฎเกณฑ์แห่งปรภพ ทว่าพวกมันกลับมิอาจต้านทานการโจมตีจากหอกหลากสีได้เลย!
อีกด้านหนึ่ง ยืดยาวไกลออกไปสุดปลายเขา
เผ่ามารนับไม่ถ้วนที่กำลังเฝ้ามองดูฉากนี้ ต่างเปล่งเสียงเย้ยหยันหัวเราะก๊ากด้วยความสมเพชออกมา
กระทั่งอสุรกายหลายตนที่มีรูปร่างใหญ่โตมืดฟ้ามัวดิน ก็ยังอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมา
ตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าพวกมันย่อมเห็นอาวุธโบราณเหล่านั้นอยู่แล้ว ทว่าเผ่ามารก็ทำแค่เพียงเลือกที่จะหลบซ่อนตัวเองห่างออกไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขา และเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
พวกมันรับรู้ถึงอำนาจของหอกหลากสีดี และกำลังเฝ้ารอให้ฉากนี้ปรากฏขึ้น
“จบแล้ว มันจบแล้ว…” กระแสเสียงของตะขอเกี่ยววิญญาณเต็มไปด้วยความเศร้าสลด
“ยังหรอก เฝ้าดูต่อไปเถอะ” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
ในขณะนั้นเอง หลากหลายสิบจุดแสงที่พร่างพราวดั่งดาราก็กะพริบไหว พุ่งฉีกอากาศลอยไปบนท้องฟ้าเหนือภูเขาล้อมเหล็ก
พวกมันทะยานสูงขึ้นไปในอากาศเบื้องบน แล้วจึงค่อยๆ หมุนวนโคจรอย่างช้าๆ
“นั่นมันอาวุธโบราณอีกสามสิบหกชิ้นนี่!” ตะขอเกี่ยววิญญาณร่ำร้องออกมา
“พวกเขากำลังจัดตั้งมหาค่ายกลผนึกมารจากยุคโบราณ!”
เสียงของตะขอเกี่ยววิญญาณเริ่มจะสั่นไหว
“ค่ายกลนี่มันทรงพลังมากเชียวหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ตามตำนานในสมัยโบราณกล่าวเอาไว้ว่า สุดยอดอสุรกายที่แสนน่าสะพรึงได้ปรากฏตัวขึ้น และเทพวิญญาณทั้งแปดองค์มิอาจต่อกรกับมันได้ ในตอนท้ายพวกเขาจึงทำได้เพียงล่อมันเข้าไปติดกับดักของมหาค่ายกลผนึกมาร แล้วจากนั้นก็จับมันโยนเข้าไปในรอยแยกมิติ ส่งมันเข้าไปในมิติอันเชี่ยวกรากให้หายไปตลอดกาล” ตะขอเกี่ยววิญญาณอธิบาย
“เจ้ากำลังหมายความว่า อาวุธเหล่านั้นต้องการจะทำเช่นเดียวกันใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว ทว่านี่เป็นค่ายกลที่จัดวางได้ยากยิ่ง มิเช่นนั้นมันจะถูกเรียกว่าตำนานได้อย่างไร? ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทำสำเร็จไหม”
กู่ฉิงซานจดจ้องไปยังทิศทางยอดเขาล้อมเหล็ก
หอกหลากสียังคงอิงผนังอยู่อย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันยันต์สีทองก็ยังคงปิดผนึกมันอยู่
มันมิได้ลงมือจู่โจมออกมา คาดว่าคงเป็นเพราะเกี่ยวพันกับยันต์ที่ว่านี่
กู่ฉิงซานมองไปที่หอก แล้วเอ่ยถามขึ้นทันใด “ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดหอกนี้ได้จริงๆ หรือ?”
“ใช่”
“กระทั่งสหายเจ้าที่สามารถสำแดงพลังของภูเขาล้อมเหล็กได้ก็ไม่ไหวหรือ?”
ตะขอเกี่ยววิญญาณถอนหายใจและกล่าว “การดำรงอยู่ของอาวุธที่สามารถสำแดงพลังของภูเขาล้อมเหล็กได้ คือหนึ่งในสามสิ่งประดิษฐ์เทวะของปรภพ แต่ในช่วงเวลานั้นมันทำได้เพียงปัดป้องหอกหลากสีเท่านั้น”
“เพราะอย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก หมายถึงก่อนหน้าที่จะเกิดการปะทะ มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว”
“แล้วหลังจากที่สงครามเริ่มขึ้นได้ไม่นาน มันก็เข้าปัดป้องการโจมตีจากหอกหลากสีอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายก็ถูกพัดปลิวหายไป”
“แล้วสิ่งที่สามารถทำได้เพียงปัดป้องหอกหลากสีมันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน? ตอนนี้ทวยเทพได้ตกตายลงกันหมดแล้ว ต่อให้มันสามารถฟื้นฟูความเสียหายกลับมาเป็นปกติได้โดยสมบูรณ์อีกครั้ง มันก็ไม่สามารถป้องกันการถือกำเนิดของราชาภูตได้อยู่ดี!”
“สถานการณ์ได้มาถึงจุดนี้แล้ว มันและข้าก็ล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะ แต่กลับไม่สามารถหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย”
ตะขอเกี่ยววิญญาณพร่ำบ่นด้วยห้วงอารมณ์ที่ดิ่งลึก
กู่ฉิงซานกุมขมับ เขาอดไม่ได้ที่จะสิ้นหวัง
เวลานี้สามสิบหกอาวุธจากยุคโบราณกำลังจัดเรียงมหาค่ายกลผนึกมารอย่างช้าๆ
‘สถานการณ์สิ้นหวังนี้มันจะไม่อาจแก้ไขใดๆ ได้เลยหรือ...’
กู่ฉิงซานครุ่นคิด
เขาหันไปมองกระบี่ภูตตัดกระดูกและตะขอเกี่ยววิญญาณว่า “ขอเวลาให้ข้าได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับมันสักเล็กน้อย”
ว่าแล้วเขาเดินปลีกตัวไกลออกมา ก่อนจะยกสองแขนขึ้นกอดอกอย่างเงียบๆ
“นั่นเขากำลังทำอะไรอยู่น่ะ นี่มันเป็นเรื่องเร่งด่วนนะ” วิหคขาวบ่น
มันกำลังจะโผบินออกไปหา
ฟึบ!
แต่แล้วดาบเล่มหนึ่งก็ผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า และขวางวิหคขาวเอาไว้
“อย่าไป” ดาบพิภพกล่าวเสียงกระซิบ
“อะไร? นี่เจ้าเป็นอาวุธของเขาหรือ? เช่นนั้นก็บอกเขา” วิหคขาวกำลังกล่าว
“ชู่ว…อย่าได้ส่งเสียงดังไป เวลานี้เขาต้องการพื้นที่ที่จะอยู่คนเดียว” ดาบพิภพกล่าว
“กระบี่ภูต กลับมาเถอะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณเรียก “บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาได้รับรู้ถึงความจริงมากเกินไป ห้วงอารมณ์ของเขาจึงสิ้นหวัง เลยจำต้องใช้เวลาค่อยๆ สยบข่มมันอย่างช้าๆ น่ะ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” วิหคขาวกล่าว
ดาบพิภพเอ่ยสวนทันควัน “มิใช่เช่นนั้น เขาเพียงแค่จำเป็นต้องขบคิดไตร่ตรอง ดังนั้นโปรดเงียบลงสักครู่”
ขณะนี้ดาบเช่าหยินก็ผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าเช่นกัน มันเปล่งเสียงกล่าวอะไรบางอย่างออกมา
แล้วอาวุธที่เหลืออีกสามก็จมลงสู่ความเงียบ
ใต้สายธารแห่งการหลงเลือนกลับคืนสู่ความสงบ
กระแสน้ำเชี่ยวเหลือคณา เวียนว่ายอย่างไร้ที่สิ้นสุดแล่นผ่านหัวกู่ฉิงซานไป
กู่ฉิงซานยังคงนิ่งงัน ไม่ขยับไหว
มีหนทางใดหรือไม่?
หากนี่คือสงคราม เช่นนั้นสมควรกระทำสิ่งใด?
หลังจากนั้นไม่นาน แววตาของเขาก็ค่อยๆ เปล่งประกายขึ้น
ทว่ากู่ฉิงซานยังคงขบคิดต่อไป ในขณะที่เดียวกันก็เดินกลับมา
“เป็นอย่างไร เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ บ้าง?” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานกล่าว “เวลามีไม่มากนัก แม้ปัญหานี้มันจะค่อนข้างยุ่งยาก แต่มันก็มิได้สิ้นหวังโดยสมบูรณ์”
“อะไร? ยังไม่สิ้นหวังโดยสมบูรณ์? เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเรายังมีหวังอยู่กระนั้นหรือ?” วิหคขาวเริ่มตื่นเต้น
“สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ในหมู่มนุษย์เรามีคำสอนเก่าแก่ที่ตรงกับมันอยู่”
“คำสอนใด?”
“อย่ามัวแต่คิด! ลงมือทำซะ! ค่อยว่ากันทีหลัง!”
…………………………………………….