ตอนที่ 153 ยับยั้งลมหายใจ
เหลิงเทียนสิงจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง “นี่ยังไม่นับในครั้งเมื่อพวกเราไปเลือกรายการทดสอบร้อยบุปผาอีกนะ สุดท้ายแล้วการที่เจ้าได้กลายมาเป็นศิษย์ของนักปราชญ์ ก็ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้จากมารแมงมุมอยู่ดี”
กู่ฉิงซานหัวเราะและกล่าว “ดูท่าว่าเจ้าจะจดจำมันได้อย่างชัดเจนเลยนะ”
“ฮ่าๆๆ เรื่องราวดีๆ นั้นควรค่าแก่การจดจำ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ข้าจะติดต่อเจ้าผ่านยันต์สื่อสารอีกครั้ง” เหลิงเทียนสิงกล่าวอย่างเรียบง่าย
“เข้าใจแล้ว จงระมัดระวังตัวด้วย”
“ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธระดับแก่นทองคำ ภารกิจนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหา ที่ข้ากังวลน่ะมันทางฝั่งเจ้าต่างหาก”
เหลิงเทียนสิงกล่าวอย่างลังเล “เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธระดับก่อตั้งขั้นต้น แต่กลับต้องอยู่ลำพังในป่ารกร้างเช่นนี้ มันจะดีจริงๆ รึ?”
“วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าวยืนยันคำตอบ
“ก็ได้ ข้าขอตัวก่อน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วจะรีบติดต่อเจ้าทันที”
ระหว่างกล่าว ร่างของเขาก็พลันวูบไหว กลายเป็นเส้นแสงลากยาวไปในจุดที่ไกลออกไป มุ่งหน้าจากไปอย่างไม่ลังเล
กู่ฉิงซานรอจนกระทั่งอีกฝ่ายจากไป เขาจึงตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบยันต์สื่อสารออกมา
เขาเอ่ยปากกล่าวอย่างช้าๆ ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาล้วนพิจารณาอย่างรอบคอบ ใช้เวลาสักพักจึงส่งยันต์สื่อสารลอยจากไป
ณ อาณาจักรร้อยบุปผา
วังร้อยบุปผา
นางเซียนไป่ฮั่วนั่งอยู่บนบัลลังก์หมื่นบุปผาจากมุมสูง จ้องสองคนสองคนที่อยู่เบื้องล่าง
“มันร้ายแรงถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” เธอถาม
“นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับค่ายทหารแทบทุกพื้นที่” น้อมสวรรค์ซวนหยวนกล่าว
“ข้าจดจำได้ว่าเจ้าวิชาค้นวิญญาณของเจ้าก็ไม่เลวเลยนี่” นางเซียนไป่ฮั่วเอ่ย
“ข้าได้ลอบสังเกตการณ์ผู้คนที่น่าสงสัยอย่างลับๆ และทำการค้นวิญญาณพวกเขาแล้ว ทว่าทั้งหมดกลับเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์” ซวนหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“นักพรต นิกายพุทธะของเจ้าครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถตระหนักถึงจิตใจของผู้คนนี้ เจ้ามิได้ดิ้นรนมีส่วนร่วมเลยหรือ?” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
“อามิตตาพุทธ เราภิกษุได้ทำอย่างที่เจ้าว่ากับผู้คนจำนวนมากแล้ว ทว่ากลับไม่ค้นพบเบาะแสอะไรเลย”
นักพรตเป่ยหยวนถอนหายใจ “เราภิกษุคิดว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าแนวหน้าคงจะจบสิ้นลงแล้ว”
“ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องไปยังแนวหน้าเพื่อสั่งการเป็นการส่วนตัว เสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ทุกคนในกองทัพ” ซวนหยวนกล่าว
นางเซียนไป่ฮั่วขบคิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ยปาก “เกรงว่าพวกเราคงต้องทำเช่นนั้น”
เมื่อทั้งสองเห็นว่าเธอตกลงที่จะไปด้วย สีหน้าท่าทีก็ผ่อนคลายลง เผยถึงความสุข
หากนางเซียนไป่ฮั่วเป็นคนที่หากได้ตัดสินใจแล้ว นางจะไม่ลังเลใดๆ อีก
นางลุกขึ้นจากบัลลังก์ ปากเอ่ยกล่าว “เช่นนั้นพวกเราจะเริ่มไปกันทันที”
อีกสองปราชญ์พยักหน้า
สามปราชญ์กำลังจะจากไป ทว่าทันใดนั้นเอง พลันปรากฏเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ลอยเข้ามาในวังร้อยบุปผา ก่อนจะมาหยุดอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์หมื่นบุปผาอย่างเงียบๆ
นางเซียนไป่ขยับแขน สองนิ้วเรียวเล็กเหยียดไปคว้าจับเปลวเพลิง
เธอรับมันมาและใช้จิตเทวะค้นข้อความภายใน
เมื่อได้รับรู้ถึงข้อความที่ส่งมานี้ นางเซียนไป่ฮั่วพลันชะงักงัน ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
ผ่านไปนาน ใบหน้าของเธอก็เผยถึงท่าทีไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวลงบนบัลลังก์ร้อยบุปผา
“เกิดกระไรขึ้นงั้นหรือ?” น้อมสวรรค์ซวนหยวนเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ
ทว่านางเซียนไป่กลับมิได้เอ่ยตอบ ดูท่านางยังคงขบคิดถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่
ซวนหยวนกับเป่ยหยวนหันมามองหน้ากันวูบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ
นางเซียนไป่ฮั่วเป็นถึงหนึ่งในผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังที่สุดในมนุษยชาติบนโลกใบนี้ แม้กระทั่งการได้ยินว่าแนวหน้ากำลังจะล่มสลายลงในไม่ช้า นางก็ยังมิได้แสดงออกเช่นนี้เลย
เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?
บัดนี้ เห็นแค่เพียงนางเซียนไป่ที่กำลังเหยียดเท้าเปล่าลงบนกลีบดอกไม้ที่สลักจากหยกวิญญาณ หัวโยกเยกไปมาบนบัลลังก์หมื่นบุปผา ทั้งสองก็เผยท่าทีแปลกๆ ออกมา ‘ไม่อยากจะเชื่อเลย ท่าทีของนางตอนนี้ดูราวเด็กสาวผู้ที่ไร้ซึ่งประสบการณ์ทางโลก ที่พึ่งได้ยินได้ฟังถึงเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจมา’
“ข้าคงไม่ว่างที่จะออกไปเสียแล้ว พวกเจ้าช่วยรออีกครู่ได้หรือไม่” เธอกล่าว
รออีกครู่?
บัดนี้นับว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก หากมิเร่งไป เกรงว่าบางตำแหน่งสำคัญๆ ของมนุษยชาติอาจจะถึงขั้นล่มสลายลงเลยก็เป็นได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
การสู้รบขั้นแตกหักครั้งสุดท้ายก็ใกล้เข้ามาแล้ว หากแก้ปัญหาได้ในคืนนี้ก็นับว่าโชคดี ทว่าดูทีท่าแล้ว ปัจจุบันการรบขั้นแตกหักคงจะถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนด
ซวนหยวนกับเป่ยหยวนมองหน้ากัน เตรียมจะเอ่ยปากกล่าว
ทว่านางเซียนไป่ฮั่วกลับเอ่ยขัดและปลดปล่อยแรงกดดันจางๆ ออกมาเสียก่อน
“เชื่อข้าสิ ข้ามีเหตุผลบางอย่าง เจ้ามิจำเป็นต้องไปที่นั่น เพียงรอที่นี่ด้วยกันกับข้าสักครู่หนึ่งก็พอแล้ว” เธอกล่าว
“เอ่ยเช่นนี้ อย่าบอกนะว่ายันต์สื่อสารนั่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวหน้าอย่างนั้นหรือ?” ซวนหยวนเอ่ยถาม
“ใช่”
“บอกกล่าวถึงเรื่องของสายลับคนทรยศหรือไม่?” นักพรตเป่ยหยวนเอ่ยถาม
“ถูกต้อง”
สีหน้าของทั้งสองแปรเปลี่ยนกลับกลาย
นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวช้าๆ “ข้อมูลนี้สำคัญมาก ดังนั้นพวกเราจึงต้องรอกันก่อน”
ขณะกล่าว ใบหน้าของเธอก็เผยรอยยิ้มคิกคัก
ดูจากท่าทีของเธอแล้ว ดูเหมือนว่าจะกำลังรู้สึกประหลาดใจอยู่ ทว่าขณะเดียวกันก็ภูมิใจเช่นกัน
...
เดินไปสักพัก กู่ฉิงซานก็ค้นพบถึงสถานที่หลบซ่อนตัว สองมือกอดถุงอสูรวิญญาณทั้งสองอย่างใกล้ชิด และเริ่มจัดวางชั้นค่ายกลไว้รอบๆ ตัว
เขาขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะคว้าจับเม็ดยาฟื้นฟูวิญญาณออกมาโยนเข้าปาก สองขานั่งไขว้สลับกัน ทำการควบคุมลมหายใจ เร่งฟื้นฟูพลังวิญญาณในตันเถียนอย่างเต็มที่
ระหว่างกระบวนการฟื้นฟู มีเผ่ามารจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นและผ่านพ้นไปโดยที่เขาไม่ถูกพบเจอตัว เนื่องเพราะตำแหน่งซ่อนตัวที่ดีเยี่ยม และค่ายกลปกปิดที่ฉินเซี่ยวโหลวบรรจงเลือกมาให้เขาอย่างรอบคอบ ดังนั้นเขาจึงมิต้องพบเจอกับอันตรายใดๆ และรอดพ้นจากการค้นหาของกองทัพมาร
เขาจึงสามารถนั่งขาซ้ายทับขาขวา ทำสมาธิเพื่อควบคุมลมหายใจโดยมิต้องเบนสมาธิไปกังวลเรื่องกองทัพมาร
จากระดับก่อตั้งขั้นต้น จวบจนกระทั่งถึงระดับขั้นปลาย สำหรับกู่ฉิงซานที่ได้ทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ส่งผลให้พลังวิญญาณในร่างกายจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จนทำให้ร่างกายหนักอึ้ง รู้สึกอึดอัดอย่างฉับพลัน
ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่ได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง จะส่งผลให้ร่างกายที่หนักอึ้งของเขาเบาลง อาการอื่นๆ ก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานพอใจมากกับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ เนื่องเพราะยามนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายได้บ่งบอกว่า ตัวเขากำลังสามารถปรับตัวให้เข้ากับขอบเขตขอบเขตใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
ท่ามกลางความเงียบงัน กู่ถึงซานจึงตระหนักได้ว่า เทคนิคยับยั้งลมหายใจของฉินเซี่ยวโหลวช่างน่าทึ่งอย่างแท้จริง เพราะขณะนี้ ความผันผวนทางพลังวิญญาณบนตัวเขาก็ยังคงอยู่ขอบเขตก่อตั้งขั้นต้นไม่มีเปลี่ยนแปลง
แม้กระทั่งตัวตนเช่นเหลิงเทียนสิง ก็ยังถูกตบตา
กล่าวได้เลยว่า แม้พื้นฐานวรยุทธของฉินเซี่ยวโหลวจะไม่ดีนัก ทว่าตราบใดที่มิใช่เรื่องเกี่ยวข้องกับเรื่องการต่อสู้ เขาก็ยังคงเป็นมือหนึ่งไม่มีสอง
กู่ฉิงซานรับรู้ได้ถึงสภาวะร่างกายตนเอง และพบว่ามันได้กลับมาหายดีโดยสมบูรณ์แล้ว
เขายื่นกำปั้นออกไปเบื้องหน้า และทุบ! ทุบลงบนหน้าอกตนเอง
ด้วยกำปั้นที่ทุบมาเต็มแรงนี้ ทำให้ปอดและหัวใจของกู่ฉิงซานได้รับบาดเจ็บ
“พรวด!”
เขากระอักเลือดมาออกมา ชุดเกราะรบของตนจนมันถูกห่อหุ้มไว้ด้วยสีแดง
หากมีใครมาเห็นฉากนี้ เขาคงถูกคนอื่นๆ ตำหนิว่าเป็นบ้าอย่างแน่นอน
สถานการณ์ในตอนนี้ก็อันตรายมากพออยู่แล้ว แต่เขากลับหันมาทำร้ายตัวเองซ้ำสอง เช่นนี้มิเรียกว่าบ้าหรอกหรือ?
กู่ฉิงซานมิคิดไยดีที่จะเช็ดเลือด เขาจีบมือใช้ออกด้วยวิชาลับยับยั้งลมหายใจ ลดหลั่นความผันผวนทางพลังวิญญาณแปรเปลี่ยนมันให้อยู่ในสภาพอ่อนแอ
หลังจากเสร็จสิ้นทุกกระบวนการดังกล่าวนี้ กู่ฉิงซานก็หยิบถุงอสูรวิญญาณออกมา
มันคือถุงอสูรวิญญาณของเหลิงเทียนสิง
ในมือของเขากระตุ้นพลังวิญญาณและเปิดถุงอสูรวิญญาณออก
มอนสเตอร์ผีเสื้อยักษ์ที่ทั้งร่างปลดปล่อยชั้นน้ำแข็งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซานในทันที
“แล้วเหลิงเทียนสิงเล่า?” ผีเสื้อยักษ์เอ่ยปากถาม
“เขาออกไปทำภารกิจให้เสร็จสิ้น ส่วนข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจึงทิ้งเจ้าไว้ที่นี่เพื่อคอยให้ดูแลข้า” กู่ฉิงซานเอ่ย
“เจ้าบาดเจ็บหนักกระนั้นหรือ?” ผีเสื้อยักษ์กวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าใส่กู่ฉิงซาน
และมันก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าหนุ่มเบื้องหน้ามันตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณในร่างกาย บัดนี้ราวกับเทียนไขน้อยๆ ที่อยู่ท่ามกลางสายลมกรรโชก พร้อมที่จะมอดดับลงได้ตลอดเวลา
“เช่นนั้น เมื่อใดกันที่เหลิงเทียนสิงจะกลับมา?” ผีเสื้อยักษ์เอ่ยถาม
“คงอีกสักราวๆ สองวันหลังจากนี้” กู่ฉิงซานเอ่ย
“เช่นนั้นก็จงรักษาตัวเถิด ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
“ยอดเยี่ยม คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
การควบคุมแขนขาที่กำลังสั่นเทาของเขาในยามนี้ช่างยากลำบากยิ่ง จำต้องใช้เวลาอยู่นานจึงจะสามารถยื่นเม็ดยารักษาเข้าปากได้
สองตาของกู่ฉิงซานเริ่มปิดลง เร่งพักผ่อนควบคุมลมหายใจ
ผีเสื้อยักษ์คอยปกป้องอยู่ข้างๆ สายตาของมันจ้องมองมายังเขาอย่างเงียบๆ
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
ลมหายใจของกู่ฉิงซานค่อยๆ สงบลง มันกลับมาคงที่ ทั้งคนทั้งร่างจมลงสภาวะเงียบงัน
นี่คือการทำสมาธิ
การทำสมาธิคือสภาวะการฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง ทั้งคนทั้งร่างจะอยู่ในสภาวะไม่รู้ความ มุ่งเน้นไปยังการรับรู้ถึงกฎฟ้าดิน และจะสามารถใช้พลังฟ้าดินกระตุ้นเพิ่มศักยภาพในการรักษาร่างกายฟื้นฟูได้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ การตัดสินใจทำเช่นนี้ จะไม่อาจรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอก
มิรู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด จู่ๆ ภายในค่ายกลก็พลันเย็นยะเยือก
ปีกคู่หนึ่งของผีเสื้อยักษ์ สยายออก เริ่มทำการควบแน่นน้ำค้างแข็ง หล่อหลอมเป็นใบมีดยาวอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเอง มันก็พลันสยายคู่ปีกยักษ์อย่างดุดัน ส่งสองใบมีดน้ำค้างแข็งที่สาดประกายเย็นยะเยือกและแหลม คว้านอากาศมุ่งตรงไปยังกู่ฉิงซาน
ขณะที่ในเวลานี้ กู่ฉิงซานยังคงอยู่ในสภาวะทำสมาธิ
วินาทีนั้น สีหน้าของผีเสื้อยักษ์พลันเผยถึงความสะใจ ปากขยับอ้าส่งเสียงครวญแห่งความสุขออกมาเบาๆ
ราวกับว่ามันกำลังจะได้เห็นคนตรงหน้ากลายเป็นแอ่งเลือด
เพียงเท่านี้ภารกิจของมันก็นับว่าเสร็จสมบูรณ์ลงในที่สุด!
ใบมีดน้ำค้างแข็งค้าง จ้วงเข้าใส่กู่ฉิงซานด้วยเจตนาร้าย ทว่าตามร่างกายของเขากลับมิปรากฏเลือดสาดกระเซ็นออกมา
เนื่องเพราะร่างที่ใบมีดจ้วงใส่นั้น…เป็นเพียงภาพติดตา!
แบบนี้ไม่ดีแล้ว!
ผีเสื้อยักษ์ไม่มีเวลาจะทันได้ตอบสนอง ตั้งสติได้อีกที มันก็พลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงตามร่างกายเสียแล้ว
ดาบยาวจ้วงแทงลึกเข้ามาจากเบื้องหลัง เจาะทะลุโผล่ออกมาทางหน้าอกของมัน
‘เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ก็ก่อนหน้านี้เขายังนั่งอยู่ที่นั่นอย่างชัดเจน แล้วเขาจะหายตัวไปอย่างกะทันหันได้เยี่ยงไร?’
เมื่อครู่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างชัดเจน และเกือบที่จะไม่อาจรักษาขอบเขตก่อตั้งให้เสถียรลงได้ ทว่าในขณะนี้ ความผันผวนทางพลังวิญญาณของอีกฝ่ายกลับคล้ายคลึงกับตัวของมันเอง?
ผีเสื้อยักษ์งง
แต่เพียงครู่มันก็กระจ่างแจ้งแก่ใจ
เนื่องเพราะดาบเล่มนี้ยังมิทันจะถูกกระชากออก เสียงของคนที่อยู่ด้านหลังก็เปล่งออกมา
“ที่แท้ เจ้าเป็นคนเปิดเผยที่อยู่ของพวกเราสินะ”
วินาทีต่อมาภายในค่ายกลก็ปรากฏเสียงดังเปรี้ยงปร้างของสายฟ้าฟาด และหากตั้งใจฟังดีๆ จะได้ยินเสียงขาดใจตายของมารผีเสื้อยักษ์ปะปนอยู่
ไม่นานนัก
กู่ฉิงซานก็เก็บดาบกลับคืน บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวให้ขบคิดอย่างลึกซึ้ง
เขาตบลงในถุงสัมภาระ และดิสก์ค่ายกลมากมายที่เก็บมา ทั้งหมดก็ถูกโยนทิ้งลงไปโดยสมบูรณ์
ตั้งแต่ที่ได้ค้นพบกับวิธีตรวจหาความจริงที่ดีกว่าแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็มิจำเป็นอีกต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องใช้สมองให้เสียเปล่าไปกับสิ่งที่เสียหายไปแล้วพวกนี้
กู่ฉิงซานเก็บรวบรวมค่ายกลที่จัดวางไว้ทีละอัน ทีละอัน ก่อนจะรีบจากไป
กระทั่งวิ่งมาได้ซักครึ่งชั่วยาม กู่ฉิงซานก็หยุดฝีเท้าลง
เขาทำการจัดวางค่ายกลอีกครั้ง และเริ่มตั้งค่ายเล็กๆ
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดนี้ กู่ฉิงซานก็หยิบถุงอสูรวิญญาณที่ยังเหลืออยู่ออกมา
นี่คือถุงอสูรวิญญาณของเขา
ทันทีที่พลังวิญญาณถูกกระตุ้น ถุงอสูรวิญญาณก็เปิดออก
กระเรียนเมฆาเพลิงปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
“เอ๋? แล้วสหายของเจ้าเล่า?” กระเรียนเอ่ยถาม สายตาสาดส่องไปมองรอบๆ
“เขามีภารกิจอื่นที่จะต้องไปทำอยู่” กู่ฉิงซานแสร้งแสดงท่าทีอ่อนแอออกมา
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาได้ใช้วิชายับยั้งลมหายใจออกไปก่อนแล้วอีกครั้ง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” กระเรียนเมฆาเพลิงรับรู้ถึงความผิดปกติ มันจ้องมองมายังกู่ฉิงซานอย่างระมัดระวัง
เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่มีลมหายใจรวยริน ตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ ร่างกายอาบไปด้วยเลือด ความผันผวนทางพลังวิญญาณภายนอกกระจัดกระจายผิดปกติ
“ข้าได้รับบาดเจ็บมา เกรงว่ามันคงจะยากเกินไปที่จะขยับกายเคลื่อนไหว” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงทุ้ม
เขาหยิบดิสก์ค่ายกลออกมาอย่างรวดเร็ว และทำการติดตั้งค่ายกลแจ้งเตือน
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ค่ายกลพรายกระซิบก็ถูกจัดวางเสร็จสมบูรณ์
“เจ้าสามารถสร้างค่ายกลได้ด้วยกระนั้นหรือ?” กระเรียนเมฆาเพลิงจดจ้องเขา เอ่ยปากกล่าวถาม
“ถูกต้อง ข้าเองก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลเช่นกัน สามารถจัดตั้งได้หลายสิบชนิด ทว่าน่าเสียดาย ยามนี้ข้าบาดเจ็บหนักเกินไป จนมันส่งผลพวงให้ไม่อาจจัดตั้งค่ายกลอื่นๆ ได้” กู่ฉิงซายถอนหายใจ เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
“เช่นนั้น ที่เจ้าเรียกข้าออกมา ก็เพราะต้องการให้ข้าปกป้องเจ้าใช่หรือไม่” กระเรียนเมฆาเพลิงเอ่ยถาม
“ถูกต้อง คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยคุ้มกันข้าเสียแล้ว”
กู่ฉิงซานตอบ ขณะเดียวกันวางดาบยาวไว้เบื้องหน้าเขา แขนขาสั่นสะท้าน บ่งบอกว่ามิอาจฝืนยกมันได้ไหวอีกต่อไป
กระเรียนเมฆาเพลิงจ้องมองดาบที่วางอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้นมันก็เอ่ยปาก “เจ้าได้รับบาดเจ็บหนัก อยู่ในสถานที่เช่นนี้คงไม่สมควร มันจะดีกว่าไหมหากให้ข้านำตัวเจ้ากลับไปส่งที่ค่ายทหาร?”
........................................