ตอนที่ 59 ห่านขาว
“แก้ปริศนาได้ไม่เลวนี่ หายากจริงๆ ที่จะพบเจอกับคนที่คิดแก้มันโดยการกระทำเช่นนี้…เอาเถอะไว้จะคอยดูในปริศนาถัดไปก็แล้วกัน”
เจ้าหมูขยุกขยิบปากพลางเอ่ยวิจารณ์ ก่อนจะหันหลังกลับ และเดินตรงเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกบริเวณข้างทางเดิน
ทั้งสองคนยังคงมุ่งต่อไป ถนนที่ในตอนแรกเป็นเพียงดินเปล่าๆ ทุกย่ำก้าวเต็มไปด้วยฝุ่นควันก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยถนนที่ดูสะอาดตา ผู้คนที่อยู่อาศัยรอบข้างทางเริ่มหนาแน่นขึ้น
นี่คือถนนเส้นหลักที่จะนำไปสู่เมืองหลวงของอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์
บนถนนเส้นนี้ กู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงไม่สามารถกระโจนมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าได้อย่างเร่งรีบอีกต่อไป พวกเขาจำต้องใช้สองเท้าค่อยๆ ก้าวเดินเท่านั้น
ทั้งสองกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไม่นานนักก็มาถึงทางแยก
ปรากฏศิลาฟ้าขนาดใหญ่วางอยู่ตรงทางแยก และบนยอดของมันก็มีห่านขาวยืนนิ่งอยู่
ห่านขาวสยายปีกออก และชี้ไปยังทิศทางหนึ่งแนะนำฝูงชนเบื้องหน้า “เข้าเมืองไปให้มุ่งหน้าไปทางขวา หากต้องการมาเพื่อเลือกทดสอบรายการบทกวี จงต่อแถว ห้ามดัน ห้ามผลัก และไม่สามารถบินผ่านไปได้”
ทั้งสองมองไปที่มัน ก่อนจะพบว่าทั่วทั้งบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ต่อแถวกันยาวเหยียดไม่รู้จบ บนท้องถนนฝั่งขวาเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธระดับก่อตั้งและแก่นทองคำมากมาย นอกจากนี้ยังมีระดับก่อกำเนิด ยืนอยู่บ้างประปราย
“อะไรนะ? วันนี้เป็นบทกวีงั้นเหรอ?” ผู้คนไม่น้อยเอ่ยออกมาด้วยความลำบากใจอย่างพร้อมเพรียง
บางคนถอนหายใจ บางคนผงะถอยไปหลายก้าว บางคนยกสองแขนขึ้นมากอดอก บางคนสอดส่ายสายตาเพื่ออยากจะรับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าบทกวี ที่คนอื่นพูดถึง
หัวข้อปริศนาหรือการทดสอบนั้นจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัน และไกด์ผู้คุมก็ยังแตกต่างกันไปตามแต่ละวันด้วยเช่นกัน หากสามารถผ่านการทดสอบจากไกด์ได้ และเข้าสู่เส้นทางด้านซ้าย เกรงว่าจะต้องใช้โชคไม่น้อย
และไกด์ในวันนี้ก็คือห่านขาว หัวข้อในวันนี้คือบทกวี ผู้ฝึกยุทธที่แต่ละวันฝึกฝนเพื่อใฝ่หาความแข็งแกร่ง ต่างรู้สึกกังวลขึ้นในจิตใจ เนื่องเพราะพวกเขาส่วนใหญ่มักไม่มีเวลาว่างมาสนใจในบทกวี
“บทกวี? ฉันก็พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าหัวข้อนี้จะยากเกินไปหรือเปล่า” เหลิงเทียนสิงพึมพำอย่างลังเล
“มากับฉัน” กู่ฉิงซานดึงเหลิงเทียนสิง เบียดเสียดผู้คนไปตลอดเส้นทางจนมาถึงเบื้องหน้าของห่านขาว
“ขอศิลาวิญญาณให้ฉันหน่อย” เขากล่าว
“ศิลาวิญญาณ? ต้องการมากเท่าไหร่” เหลิงเทียนสิงถาม
“ยี่สิบ”
เหลิงเทียนสิงล้วงยี่สิบศิลาวิญญาณออกมาและยื่นออกไป
กู่ฉิงซานวางศิลาวิญญาณลงบนแท่นศิลาฟ้า หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือ โค้งคำนับและกล่าว “พี่ห่านผู้นี้ โปรดดำเนินการให้ด้วย”
“นี่เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะทดสอบบทกวีรึ? แถมจะติดสินบนข้าด้วยของธรรมดาๆ เหล่านี้จริงๆ น่ะหรือ?” เจ้าสิ่งที่เรียกว่าห่านขาวเอ่ยออกมาด้วยความรังเกียจ
กู่ฉิงซานกล่าว “มันเป็นเรื่องเร่งด่วน ฉันต้องการพบนางเซียนไป่ โปรดกรุณาด้วย”
ห่านขาวจ้องมองมายังกู่ฉิงซาน ในสายตาของมันเริ่มเผยให้เห็นถึงแรงกดดันออกมา
มันกางปีกออกและกวาดไปยังแท่นหินสีฟ้า และทันใดนั้นศิลาวิญญาณก็พลันหายไป
“เร็ว จงไปเสียโดยเร็ว อย่ามายืนบื้ออยู่เบื้องหน้าข้า” ห่านขาวกล่าวอย่างใจร้อน
“ขอบคุณท่านมาก!”
กู่ฉิงซานหันไปส่งสัญญาณให้แก่เหลิงเทียนสิง และทั้งสองก็ตรงไปยังแยกทางซ้าย
ฝูงชนโดยรอบอ้าปากกว้าง เมื่อครู่ทั้งสองติดสินบนใช่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่ถูกตำหนิแต่กลับสามารถผ่านไปได้โดยตรงกัน!
ทันใดนั้นหลายคนก็ตรงไปยังแท่นศิลาสีฟ้า และหยิบศิลาวิญญาณออกมาวางเช่นเดียวกันเมื่อครู่ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรมาจารย์ห่าน โปรดกรุณาด้วย”
“โอ๋?” ห่านขาวเชิดหัวขึ้น “เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้า?”
ชายคนนั้นคุกเข่าข้างหนึ่งและกล่าวแบบเดียวกันเป๊ะๆ “มันเป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าต้องการพบนางเซียนไป่ โปรดกรุณาด้วย”
“บ๊ะ!” ห่านขาวสยายปีก และปัดกวาดศิลาวิญญาณทั้งหมดบนแท่นลงไปบนพื้นดิน “กลับไปเสีย!”
ชายคนนี้ตกใจและชี้ไปยังกู่ฉิงซานที่เดินไปได้ไม่ไกลพร้อมกล่าว “อ้าว แล้วทำไมเขาถึงผ่านไปได้”
ห่านขาว “นั่นเพราะว่าเขามีเรื่องเร่งด่วน”
บุคคลผู้นี้กล่าว “แต่ข้าก็มีเรื่องเร่งด่วนเช่นกัน”
ห่านขาวเหลือบสายตามองลงมาที่ชายคนนั้นและกล่าว “ผายลม! เจ้าหาได้มีเรื่องเร่งด่วนอันใดไม่!”
ชายคนนั้นตะโกนสวน “เช่นนี้ไม่ยุติธรรม ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้!”
ห่านขาวกระพือปีกเบาๆ แล้วกล่าว “ยามค่ำในคืนวานเจ้าเริงร่ายินดีในย่านโคมแดงใช่หรือไม่? ยามเช้าเจ้าสวาปามอาหารวิญญาณไปถึงแปดจาน แต่ก็ยังคิดว่ามันไม่เพียงพอใช่หรือไม่? นี่หรือคือเร่งด่วนของเจ้า? ข้าจะไม่พูดซ้ำสอง…หากเจ้ายังอยากจะมีชีวิตรอดกลับไปกินอาหารวิญญาณก็จงไปเสีย!”
สีหน้าของชายผู้นั้นพลันซีดเซียว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และปลีกตัวออกจากฝูงชนทันที
ห่านขาว “เจ้าทุกคนจงฟัง สายตาของข้าสามารถล่วงรู้ได้ถึงความจริง พวกเจ้าไม่อาจโป้ปดได้!”
ฝูงชนหันไปมองกู่ฉิงซานที่ไกลออกไปด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นว่าประสบการณ์ใดกันหนอที่เขาพึ่งได้พบพานมาจึงทำให้ห่านขาวยอมปล่อยผ่านไป
กู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงย่ำสองฝีเท้าไปตามทาง
เหลิงเทียนสิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “ห่านตัวนั้น แท้จริงก็เป็นคนดีไม่เลวเลย แถมยังหลอกง่ายซะด้วย”
กู่ฉิงซาน “อย่าคิดดูถูกมันเชียว”
“เพราะเหตุใด?”
กู่ฉิงซานยิ้มแต่ไม่เอ่ยตอบกลับไป
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็เดินมาจนถึงท่าเรือข้ามฟาก
มีเพียงเรือเก่าๆ เพียงลำเดียวเท่านั้นที่จอดอยู่ในท่าเรือ ขณะที่คนแจวนั่งโก้งโค้ง และกำลังสูบยาเส้นอยู่
“เอายังไงต่อ? พวกเราสมควรเช่าเรือใช่ไหม” เหลิงเทียนสิงกล่าว
คนแจวยืนขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนจะจ้องมองทั้งสองอย่างดูเป็นเรื่องเป็นราว
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
ทั้งสองขึ้นไปบนเรือ และไม่ช้าเรือก็ออกจากฝั่ง
“คิดจะไปยังพระราชวังเพื่อเลือกรายการร้อยบุปผา เจ้าทั้งสองต้องผ่านบททดสอบของข้าไปเสียก่อน”
คนแจวกล่าว ขณะใช้สองมือแล่นเรือออกไป
“เชิญแนะนำ” กู่ฉิงซานประสานกำปั้นกับฝ่ามือ
เหลิงเทียนสิงก็ทำเช่นเดียวกัน ก่อนจะยกสองแขนขึ้นกอดอก
คนแจวกล่าว “ในแม่น้ำมีปลา มันตัวใหญ่มาก ตั้งแต่บนลงล่างถูกย้อมไปด้วยสีดำ ข้าเรียกมันว่า ‘เฮ่หยู’ จงไปจับมันมาให้ข้า”
“ตกลง”
กู่ฉิงซานมองลงไปในแม่น้ำ และพบว่าผิวใต้น้ำสงบนิ่ง แต่เส้นทางของมันทอดยาวออกไปราวห้าร้อยลี้
ตรวจแล้วสภาพคงที่ของแม่น้ำไม่เลว แต่อย่างไรด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ก็จำเป็นต้องคิดวิธีการที่ปลอดภัยไว้ก่อน
ตุบ!
ปรากฏเสียงดังขึ้นจากเบื้องหลังเขา
กู่ฉิงซานหันกลับไปมอง และเห็นว่ายามนี้เหลิงเทียนสิงถอดชุดเกราะและรองเท้าออกแล้ว
“นายคิดจะกระโดดลงไปจับมันในน้ำ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“อ่า นิกายเหยากวางของพวกเราตั้งอยู่ในทะเล ฉันเลยชอบตกปลาทะเลลึกตั้งแต่ยังเด็ก แม่น้ำสายนี้นับว่าไม่มีอะไรเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ” เหลิงเทียนสิงกล่าวด้วยความมั่นใจ
เหลิงเทียนสิงกระโดดสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะม้วนตัวลงไปในแม่น้ำด้วยท่วงท่าสง่างาม และหลังจากลงไปได้ไม่นานเขาก็ว่ายหายลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว
ผิวน้ำสงบนิ่งเป็นเวลากว่าสิบห้านาที
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ฟองอากาศก็ลอยปุดๆ ขึ้นมาจากน้ำลึก
วินาทีต่อมา เหลิงเทียนสิงก็ผุดขึ้นมาบนผิวน้ำพร้อมปลาตัวใหญ่สีดำ
หนึ่งคนหนึ่งปลาแทบจะถูกแช่แข็งอยู่ในน้ำ หากจ้องมองอย่างใกล้ชิด คุณจะพบว่ารอบตัวทั้งคนทั้งปลาแผ่ไอเย็นออกมา
หากเฝ้าสังเกตอย่างรอบคอบ จะพบว่าเจ้ามอนสเตอร์เฮ่หยูตัวนี้กำลังถูกกดดันโดยพลังวิญญาณของเหลิงเทียนสิง
คู่ดวงตาของเจ้าปลาดำเฮ่หยูไม่กลมแต่เรียวบางเป็นแนวตั้ง ในปากของมันเต็มไปด้วยฟันอันแหลมคม ขณะนี้มันกำลังสะบัดร่างกายอันแข็งแกร่งเพื่อสะเด็ดชั้นน้ำแข็งที่เกาะกุมให้หลุดลอกออกไป
สีหน้าของเหลิงเทียนสิงขาวซีด เห็นได้ชัดว่าเขาใกล้มาถึงขีดจำกัดแล้ว
เหลิงเทียนสิงเหลือเม็ดยาปราณกระเรียนแดงเพียงสองเม็ด ทว่าเขาได้มอบมันทั้งหมดให้แก่กู่ฉิงซาน ทำให้เวลานี้ทั้งร่างของเขาราวกับตะเกียงไฟที่น้ำมันเหือดแห้ง และเจ้าปลาเฮ่หยูคงจะหลุดมือในไม่ช้า
ทันใดนั้นเอง หัวปลาเฮ่หยูก็พลันบิดงอ ปากใหญ่ของมันอ้ากว้างและหมายจะงับเข้าใส่เหลิงเทียนสิง
‘บรัช!’
ประกายแสงพุ่งตรงเข้าไปยังดวงตาของปลาเฮ่หยู ทะลุข้ามไปอีกดวงตาอีกฟากหนึ่ง
ที่แท้เป็นกู่ฉิงซาน เขาเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงเตรียมธนูเย่หยูและศรเขี้ยวงูเอาไว้ก่อนแล้ว พร้อมใช้ออกเพื่อช่วยเหลือทุกเมื่อ
ปลาเฮ่หยูสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ก่อนที่สักพักหนึ่งมันจะหงายท้องและลอยอยู่บนผิวน้ำ
“เจ้าทำได้ดีทีเดียว” คนแจวลากปลาเฮ่หยูขึ้นมาบนเรือ
“จากนี้ไปคืองานของข้า พวกเจ้าจงโปรดรอสักนิด”
หลังจากที่ลากปลาเฮ่หยูขึ้นมาบนเรือเสร็จ คนแจวก็วางมันลงและเอากริชหิมะขึ้นมาแล่มันอย่างรวดเร็ว
เหลิงเทียนสิงสูดหายใจลึก ก่อนจะกระโดดขึ้นมาบนเรือ จ้องมองไปยังกู่ฉิงซานแล้วส่ายหัว “น่าละอายยิ่งนัก”
กู่ฉิงซาน “อย่าตำหนิตนเองไป นายคิดว่าปลาที่มีพื้นฐานวรยุทธอยู่ในขอบเขตก่อตั้งขั้นสูงสุดมันจับง่ายนักหรือ หากเปลี่ยนเป็นฉัน ฉันคงจับมันไม่ได้อย่างแน่นอน”
ทั้งสองนั่งลงบนขอบเรือ เฝ้ามองคนแจวแล่ปลาอย่างสงบ
“โอย…เจ็บจังเลย ช่วยทำให้มันเบามือหน่อยจะได้ไหม?” จู่ๆ ปากปลาก็พะงาบๆ ออกพร้อมเปล่งเสียง
บัดนี้เนื้อครึ่งหนึ่งของมันถูกแล่ออกไปแล้ว เผยให้เห็นถึงก้างสีขาวมนที่เปื้อนไปด้วยเลือดโผล่ออกมาจากลำตัว
กู่ฉิงซานกับเหลิงเทียนสิงหันมามองหน้ากัน และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
ปลาตัวนี้เห็นได้ชัดว่ามันตายไปแล้วอย่างชัดเจน เนื้อบนร่างก็ถูกแล่ไปครึ่งซีก แล้วมันจะยังจะสามารถพูดจากับคนอื่นได้อย่างไร?
คนแจวเรือส่ายหัว และกล่าว “ไม่ได้ นี่เป็นกฎ”
........................................