webnovel

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างของเจ้าชายโรแลนด์พร้อมภารกิจแย่งชิงราชบัลลังก์ในยุคกลาง เจ้าชายต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายเพื่อพาเมืองเล็กๆ แถบชายแดนไปสู่ความเจริญมั่งคั่ง ทว่าในโลกที่ยังต้องการการพัฒนาทั้งทางวัตถุและความคิดของผู้คน เขาจะสร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้อย่างไร แน่นอนว่าหนึ่งในกำลังสำคัญของเขาก็คือแม่มด ผู้ซึ่งถูกล่าอย่างเอาเป็นเอาตายภายใต้ศาสนจักร พวกเธอเป็นสิ่งชั่วร้ายจริงๆ หรือเป็นเพียงเหยื่อของศาสนา เป็นสิ่งที่ควรล่า หรือควรพิทักษ์ และหากเขาจะเริ่มต้นก้าวแรกนับแต่บัดนี้ เขาจะต้องพบเจออะไรบ้าง

เอ้อร์มู่ · Fantasie
Zu wenig Bewertungen
1133 Chs

ฝึกฝน (2)

บทที่ 7 ฝึกฝน (2)

เปลวไฟผุดขึ้นมาจากใต้เท้าเธอก่อนจะดับวูบลงอย่างรวดเร็ว

นี่คือการฝึกครั้งที่ยี่สิบสาม

เธอล้มเหลวอีกครั้ง

หน้าผากของอันนาผุดเหงื่อออกมาเป็นเม็ดๆ เธอใช้หลังมือปาดทิ้ง ไอร้อนพลันลอยขึ้นมาส่งเสียงดังซ่าๆ

เธอเริ่มการฝึกครั้งต่อไปทันทีโดยไม่หยุดพัก ชุดแม่มดชุดนั้นถูกพับวางไว้อีกด้านอย่างเรียบร้อย หากไม่ใช่เพราะเธอยืนยันจะทำแบบนี้แต่แรก ชุดแม่มดคงถูกไฟเผาเป็นขี้เถ้าไปนานแล้ว

โชคดีที่โรแลนด์เป็นเจ้าชาย จึงหาชุดจำนวนมากมายมาให้เธอได้ไม่ยาก เขาให้ไทร์ส่งชุดคลุมมาหนึ่งลังเต็มๆ...ซึ่งก็เป็นชุดที่รวบรวมมาจากบรรดาสาวใช้ทั้งนั้น

ในที่สุดการฝึกครั้งที่ยี่สิบสี่ก็ประสบผล เปลวไฟไม่ได้ผุดขึ้นจากเท้าเธอแล้ว ทว่าลอยอยู่เหนือฝ่ามือเธอ เธอยกแขนขึ้นอย่างระมัดระวัง หวังจะให้มันเลื่อนไปที่ปลายนิ้ว ทว่าเปลวไฟกระตุกอยู่สองครั้งแล้ววิ่งไปตามแขนเธอพร้อมเสียงลุกไหม้ มันไหม้แขนเสื้อเธอก่อนจะลามไปยังส่วนอื่นๆ ของชุด

อันนาดับไฟ ถอดชุดที่ไหม้ไปซีกหนึ่งทิ้งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นจึงหันไปหยิบตัวใหม่ในลัง

ทุกครั้งที่เจอสถานการณ์นี้ โรแลนด์จะเสมองไปทางอื่น...แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจเขาเลยก็ตาม

อันที่จริงหากไม่ใช่เพราะโรแลนด์ขอร้องแกมบังคับล่ะก็ เธอคงเปลือยกายฝึกไปแล้ว แต่ถ้าทำแบบนั้นโรแลนด์ก็จะดูเธอฝึกไม่ได้อีก เขาไม่สามารถมองผู้หญิงเปลือยกายได้ด้วยใจสงบ...โดยเฉพาะผู้หญิงที่ยิ่งทวีเสน่ห์ดึงดูดใจยามที่ร่างเธอลุกเป็นไฟแบบนั้น

โรแลนด์ส่ายหน้า โยนความคิดสกปรกทิ้งไป เท่าที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่าการฝึกใช้พลังจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาตั้งเป้าให้อันนาว่าเธอจะต้องปล่อยเปลวไฟออกจากฝ่ามือหรือนิ้วมือเท่านั้น ห้ามให้มันลามมาถึงเสื้อผ้าบนตัว และต้องรักษาอุณหภูมิให้สูงพอที่จะเผาแท่งเหล็กในสระด้วย

หลังจากที่การฝึกครั้งที่สามสิบล้มเหลวลง โรแลนด์ก็สั่งให้เธอหยุด

“พักก่อนเถอะ”

อันนามองเขาอึ้งๆ ไม่แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร

โรแลนด์จึงต้องเข้าไปจูงมือสาวน้อยเดินไปที่เก้าอี้ แล้วกดตัวเธอให้นั่งลง

“เจ้าเหนื่อยแล้ว เวลาเหนื่อยก็ควรพักสักครู่ อย่าฝืนตัวเองจนเกินไป พวกเรายังมีเวลาอยู่” เขาช่วยซับเหงื่อที่หน้าผากให้เธอ “มาจิบชายามบ่ายกันก่อนดีกว่า”

โรแลนด์รู้ว่าบรรดาชนชั้นสูงในอาณาจักรเกรย์คาสเซิลไม่มีธรรมเนียมจิบชายามบ่าย กำลังการผลิตในโลกนี้ยังต่ำอยู่ ผู้คนไม่มีเวลามาดื่มด่ำอาหารอันประณีต...อาหารสามมื้อยังกินไม่ครบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมื้อที่สี่เลย ส่วนพวกลูกเศรษฐีที่มีเวลาว่างทั้งวันก็มักไปกระจุกตัวกันตามร้านเหล้าหรือบ่อนพนันเสียมากกว่า

แต่ธรรมเนียมนี้ต่อให้ไม่มีเขาก็สร้างขึ้นเองได้ ขนมเขามีอยู่แล้ว ส่วนชาไม่มีก็ใช้เบียร์แทน...หลังจากที่รู้ว่าตัวเองจะได้ไปอยู่เมืองชายแดนอันห่างไกลความเจริญแล้ว เจ้าชายก็หอบสาวใช้ บ่าวไพร่ และพ่อครัวทั้งหมดมาด้วย

ดังนั้น ธรรมเนียมจิบชายามบ่ายจึงเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่กระท่อมไม้หยาบๆ ในสวนดอกไม้หลังวัง

อันนามองขนมหน้าตาประณีตแต่ละจาน รู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ทำไมของกินจึงดูสวยขนาดนี้ได้

แม้เธอจะไม่รู้ชื่อเรียกขนม แต่การผสมผสานกันระหว่างเปลือกนอกสีขาวกับผลไม้สีแดงสดก็ชวนน้ำลายไหลมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นสายลวดลายที่ประดับประดาอยู่ด้านนอกนั้น ช่วยเปิดโลกให้เธอได้อีกขั้น

โรแลนด์มองสีหน้าเหลอหลาของอันนาอย่างภูมิใจ แค่เค้กสตรอเบอร์รีธรรมดาๆ ก็ยังทำเธอตกใจได้ มิหนำซ้ำสตรอเบอร์รีนี่ยังถูกเชื่อมมาแล้ว รสชาติไม่สดใหม่แล้วด้วย

ที่สนุกกว่าการกินก็คือการเฝ้ามองสีหน้าของแม่มด โรแลนด์มองดูอีกฝ่ายตักเค้กเข้าปากอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นแทบจะฉายแสงได้ เส้นผมขยับไหวไปมา เขารู้สึกคล้ายกับตัวเองกำลังดูการ์ตูนทำอาหารอยู่

...อาหารที่ไม่มีประกายไม่ใช่อาหารที่ดี!

ใช้ได้ ตัวละครตัวนี้ให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเลย

ดังนั้น การดูอันนาฝึกพลังและจิบชายามบ่ายกับเธอจึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของโรแลนด์ไป ส่วนงานบริหารแม้เขาไม่ได้ใส่ใจ บารอฟก็ช่วยจัดการให้อย่างดีอยู่แล้ว

สามวันต่อมา บารอฟก็ส่งข้อมูลสถิติต่างๆ ของเมืองชายแดนไปที่ห้องทำงานของโรแลนด์ หากเป็นเมื่อก่อน นี่คงเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก เจ้าชายน่ะหรือจะทนอ่านรายงานน่าปวดหัวกองโตขนาดนี้ได้

อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อ่านหรอก โรแลนด์อ่านได้สองบรรทัดก็ตาลายแล้ว จึงสั่งบารอฟตรงๆ ว่า “เจ้าอ่านให้ข้าฟังซิ”

เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงฟังผู้ช่วยเจ้ากรมอ่านรายงานจนจบ และพบความผิดปกติบางอย่าง “ทำไมรายได้จากภาษีและการค้าช่วงฤดูหนาวของเมืองชายแดนถึงเป็นศูนย์ทุกปี”

ฤดูหนาวอุณหภูมิต่ำ หากผลผลิตด้านต่างๆ จะลดลงบ้างก็เข้าใจได้ แต่ถึงกับลดลงจนเหลือศูนย์นี่หมายความว่าอย่างไร ชาวเมืองที่นี่จำศีลกันหรืออย่างไร

บารอฟกระแอม “ฝ่าบาท ทรงลืมไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ฤดูหนาวเป็นเดือนแห่งปีศาจ เมืองชายแดนป้องกันตัวเองไม่ได้ ชาวเมืองทั้งหมดจึงย้ายไปอยู่ที่ป้อมปราการลองซอง แต่วางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ความปลอดภัยของฝ่าบาทย่อมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”

“เดือนแห่งปีศาจหรือ” โรแลนด์ลองนึกดู ดูเหมือนจะมีศัพท์คำนี้อยู่จริงๆ...ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจเรื่องตำนานผีสางหรือแม่มดผู้ชั่วร้ายอะไรเลย คิดว่าเป็นเพียงตำนานเล่าขานของโลกที่ยังไม่เจริญเท่านั้น แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าแม่มดมีอยู่จริงแน่ๆ ส่วนจะชั่วร้ายหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง ถ้าอย่างนั้น...ตำนานผีสางที่เล่าลือกันอย่างแพร่หลายเรื่องอื่นๆ ล่ะ

ตอนเรียนหนังสือในราชสำนัก ครูสอนประวัติศาสตร์เคยอธิบายเรื่องเดือนแห่งปีศาจอย่างละเอียด หลังจากหิมะแรกของฤดูหนาวตกแล้ว พระอาทิตย์จะอับแสง ประตูนรกในเทือกเขาดรากอนส์แบ็คจะเปิดออกเวลานี้

กลิ่นอายปีศาจจากนรกจะกลืนกินสิ่งมีชีวิต แล้วเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นทาสปีศาจ สัตว์บางส่วนจะกลายเป็นสัตว์อสูรทรงพลังแล้วบุกโจมตีมนุษย์ แม่มดส่วนใหญ่มักถือกำเนิดขึ้นในฤดูนี้ มิหนำซ้ำพลังของพวกเธอยังแกร่งกล้ากว่าเวลาปกติด้วย

“เจ้าเคยเห็นประตูนรกหรือไม่” โรแลนด์ถาม

“ฝ่าบาท คนธรรมดาจะเห็นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” บารอฟส่ายหน้ารัว “อย่าว่าแต่เทือกเขาดรากอนส์แบ็คที่ไม่มีทางข้ามไปได้เลย แม้แต่เทือกเขาใกล้ๆ ก็ถูกกลิ่นอายปีศาจปกคลุมทั้งนั้น คนธรรมดาๆ เข้าไปใกล้อย่างเบาก็ปวดหัว อย่างหนักก็เสียสติ นอกเสียจากว่า...”

“นอกเสียจากว่าอะไร”

“นอกเสียจากว่าคนคนนั้นจะเป็นแม่มด ผู้ที่จะเห็นประตูนรกได้มีเพียงแม่มดเท่านั้น เพราะพวกนางเป็นสมุนปีศาจอยู่แล้ว ย่อมไม่ได้รับอันตรายจากกลิ่นอายปีศาจพ่ะย่ะค่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ บารอฟก็หันไปมองสวนดอกไม้ด้านหลัง

“แล้วสัตว์อสูรเล่า เจ้าคงเคยเห็นมาก่อนกระมัง” โรแลนด์เคาะโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“เอ่อ กระหม่อมไม่เคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็เพิ่งมาที่ชายแดนแห่งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนฝ่าบาท คนในเมืองหลวงแทบไม่มีใครเคยเจอสิ่งชั่วร้ายที่แท้จริงหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ชาวเมืองอพยพกันทุกปีปีละครั้ง แล้วเมืองแห่งนี้จะเจริญได้อย่างไร ตอนแรกเขาคิดว่าเมืองชายแดนเพียงแค่แร้นแค้นไม่อุดมสมบูรณ์ แต่ยังมีศักยภาพพอจะพัฒนาได้ ทว่าตอนนี้ดูท่าจะยากแล้ว

“ป้อมปราการลองซองสามารถต้านทานสัตว์อสูรได้ นั่นแสดงว่าพวกมันสามารถถูกฆ่าและเอาชนะได้! แล้วเหตุใดพวกเราจึงไม่อยู่สู้กับพวกมันที่เมืองชายแดนนี่เล่า”

“ป้อมปราการลองซองมีกำแพงเมืองที่ยิ่งใหญ่ และมีกองทัพอันแข็งแกร่งของดยุคไรอันประจำการอยู่ เมืองชายแดนเทียบไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟอธิบาย “เมืองชายแดนแห่งนี้มีไว้เพื่อแจ้งข่าวเตือนภัยแก่ทางป้อมโดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงถูกสร้างอยู่ระหว่างเนินเขาทิศเหนือและแม่น้ำแดงพ่ะย่ะค่ะ”

เหมือนกับเหยื่อที่รอศัตรูมาขย้ำระหว่างทางแท้ๆ โรแลนด์หัวเราะหยัน

.......................................