webnovel

ไขข้อสงสัย

เมื่อกูณฑ์ลืมตาขึ้น เขาเห็นว่าอุสากับมลมองเขาอย่างใคร่รู้ ส่วนเคียว ไม่ใช่สิ ไดจิมองเขาอย่างเป็นห่วง

"นายเป็นยังไงบ้าง" เคียวถาม

"ฉันไม่เป็นไร ไดจิ"

เคียวขมวดคิ้ว "นายไม่ต้องเรียกฉันอย่างนั้นหรอก ฉันไม่ได้ใช้ชื่อนั้นแล้ว"

"ฉันขอโทษ" กูณฑ์ว่า แม้ไม่ได้ตั้งใจแต่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เคียวต้องตาย

เคียวยักไหล่ "เรื่องผ่านมาเป็นชาติแล้ว ฉันไม่ใช่พวกผีอาฆาตนะ อีกอย่างนายก็ไม่ได้บังคับให้ฉันทำงานหนักขนาดนั้นสักหน่อย"

"แต่ถ้าฉันไม่ละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง.." กูณฑ์เริ่ม

"พอเถอะ" เคียวขัด "เรื่องมันผ่านมาตั้ง..ไม่รู้กี่ปีแล้ว"

"นานจนนับไม่ถ้วนเลยล่ะ" ฤๅษีพูดขึ้นมา

"ที่ผมเห็นเป็นความจริงเหรอครับ" กูณฑ์ถาม แม้ว่าเขาจะเจออะไรพี่ลึกพิสดารมาเยอะ ตั้งแต่วันที่เขาเจอกับเคียว แต่เรื่องบางเรื่องเขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อมากนัก ภาพที่เขาเห็นเป็นความจริงจริง ๆ หรือว่าเขาเพียงเห็นภาพหลอนในห้วงสำนึกเท่านั้น

"แน่นอน" ฤๅษียืนยัน

'ถ้าอย่างนั้นถ้ามีโอกาสกลับไปโลกข้างนอก น่าจะลองหาข้อมูลสักหน่อย ไฟไหม้ขนาดนั้นคงต้องมีในเน็ตบ้างแหละน่า' กูณฑ์คิด แม้ว่าเขาจะมาเจอเรื่องมหัศจรรย์ที่อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่เด็กหนุ่มผู้โตมากับเทคโนโลยีก็ยังเชื่อข้อมูลในเน็ต เพราะทุกวันนี้ข้อมูลในนั้นมีมหาศาล ไม่ต่างอะไรกับมหาสมุทรแห่งความรู้ แบบว่าจะมีข้อมูลผิด ๆ บ้าง แต่กูณฑ์มันก็ยังไว้ใจมันมากกว่าภาพที่เขาเห็นในกระแสจิต

"ไม่มีประโยชน์อันใดหรอก" ฤๅษีว่า

"อะไรครับ" กูณฑ์ถาม ไม่แน่ใจว่าผู้อาวุโสพูดถึงเรื่องอะไร

"ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะใช้เครือข่ายค้นหาเรื่องพวกนั้น มันไม่มีบันทึกไว้ดอก"

"แต่ถ้าไฟไหม้ขนาดนั้น มันน่าจะมีบ้างนะครับ" กูณฑ์ค้าน "เท่าที่ผมเห็นในภาพ ยุคสมัยก็ไม่โบราณมาก น่าจะมีจดบันทึกอะไรไว้อยู่ อยุธยาตั้งกี่ร้อยปี ยังมีให้หาในเน็ตเลยนะครับ"

เจ้าตายิ้มอย่างอ่อนโยน

"ภาพที่เจ้าเห็นมันเหมือนไม่โบราณมากก็จริง แต่ความจริงมันโบราณมากกว่านั้น เจ้าคิดว่าโลกที่เจ้าอาศัยอยู่ตอนนี้เคยดับสูญมากี่ครั้งแล้ว"

"ไม่เคยครับ" กูณฑ์ตอบอย่างมั่นใจ เขาเคยเรียนวิทยาศาสตร์มา เขารู้ว่าโลกมีวันตาย แต่ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ และมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วย

"ความจริงโลกเคยดับสูญมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ละครั้งก็เกิดพระอาทิตย์ขึ้นทีละดวง จนครบเจ็ดดวง พอพินาศด้วยไฟ ก็มาพินาศด้วยน้ำและลมตามลำดับ หลังจากนั้นจึงค่อยสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่ อารยธรรมที่เจ้าเห็นว่าเป็นของใหม่นั้น มนุษย์ก่อนหน้าเจ้าก็เคยสร้างมาแล้ว พอถึงเวลาที่พินาศก็ต้องย้อนกลับไปยุคหินอีกวนเวียนเช่นนี้ เพราะฉะนั้นภาพที่เจ้าเห็นในภวังค์จิต หาใช้ภาพของยุคนี้ไม่จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะไปสืบหาเรื่องนี้ต่อ"

"ผมเข้าใจแล้วครับ" กูณฑ์ว่า

"แล้วเจ้ามีคำถามอะไรอีกหรือไม่" ฤๅษีถาม

"ทีกับเขา เจ้าตาถามว่าจะถามอะไรอีกหรือไม่ ทีกับข้า เจ้าตาบอกให้หยุดถาม" อุสาพูดขึ้นมาอย่างกระเง้ากระงอดตามประสาเด็ก

"ก็เจ้าเล่นถามไปเสียทุกอย่าง เจ้าตาจะตอบทันได้ยังไง" มลว่า

อุสาหยิกผู้เป็นพี่ทันที มลได้แต่ปัดป้อง

"พอได้แล้ว" วโรดมสั่ง

อุสาและมลแยกออกจากกัน มลแลบลิ้นใส่

ฤๅษีส่ายหน้าอย่างระอาใจ ก่อนจับหันมาสนใจร่างอวตารของอัคนีเทพ

"ว่าอย่างไรล่ะ"

"อุสานี่เป็นลูกของเจ้าตาจริง ๆ เหรอครับ" กูณฑ์ถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขาไม่อยากจะพูดเป็นนัยว่า ฤๅษีตนนี้ทำผิดวินัยหรอกนะ แต่เป็นฤๅษีจะมีเมียมีลูกได้ยังไง

ก่อนที่ฤๅษีจะตอบ เคียวก็ขัดขึ้นเสียก่อน

"มีลูกก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ ฉันเคยอ่านมา ว่าบางศาสนา เขาให้นักบวชมีลูกได้ เพราะถ้าไม่มีลูกเดี๋ยวต้องตกนรก"

ฤๅษียิ้ม "มีความเชื่อแบบนั้นอยู่จริง แต่ข้าไม่ได้เชื่อแบบนั้นหรอก นับตั้งแต่ข้าออกบวช ข้าไม่ได้เสพสังวาสกับหญิงใดอีก"

"แล้ว" กูณฑ์มองไปที่อุสาเป็นเชิงถาม

"แม่ของอุสาเป็นกวางตัวหนึ่ง" ฤๅษีอธิบาย

"ท่านไม่เอากับผู้หญิง แต่ไปเอากับกวางเนี่ยนะ" กูณฑ์ร้อง ขยับหนี รู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก นี่มันเรื่องผิดธรรมชาติชัด ๆ ฝ่ายนั้นพูดออกมาหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ยังไง

"เจ้ากำลังเข้าใจข้าผิด" ฤๅษีว่า "ข้าไม่ได้เสพสังวาสกับกวาง"

"แล้วเด็กนี่จะเกิดมาได้ยังไง" กูณฑ์ถามอย่างไม่เชื่อ

"แล้วเจ้าคิดว่าปกติคนกับกวางมีลูกกันได้ด้วยหรือ" วโรดมถาม

พออีกฝ่ายถามอย่างนี้ เด็กหนุ่มหัวไฟก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน

เมื่อนักบวชเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ เขาจึงเล่าเรื่องการกำเนิดของอุสาให้ทุกคนฟัง

"คนเรามันจะมีลูกได้ง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ" กูณฑ์ว่า ยังเคลือบแคลงอยู่

"ที่โลกภายนอกก็มีตำนานการกำเนิดแบบอสุจิปานคัพภะหลายรูปแบบ เจ้าคงเคยได้ยินเรื่องท้าวแสนปมกระมัง"

"เคยสิ มันเป็นชื่อโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง คนเป็นจะมีปูดปมตามร่างกาย" กูณฑ์ว่า เขาอาจจะเรียนไม่เก่งนัก แต่เรื่องท้าวแสนปมนี้เขาจำได้ดี ก็ครูที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์เล่นเอาภาพคนเป็นโรคท้าวแสนปมจริง ๆ มาเปิดให้ดู ทำให้เขาติดตามาก ถ้าครูไม่ได้บอกว่าเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เขาคงคิดว่าเป็นโรคผิวหนังไปแล้ว

"ไม่ใช่แบบนั้น ตำนานท้าวแสนปมน่ะ เจ้าเคยได้ยินหรือเปล่า"

กูณฑ์ส่ายหน้า เด็กหนุ่มไม่ค่อยสนใจเรื่องตำนานพวกนี้มากนัก

"แต่ฉันเคย" เคียวพูดอย่างกระตือรือร้น "เดี๋ยวฉันเล่าให้นายฟังเอง"

พูดจบแล้วเคียวก็เริ่มเล่าเรื่องที่เคยอ่านมา

"ท้าวแสนปม มีชื่อจริง ๆ ว่าพระชินเสนเป็นโอรสของท้าวศรีวิชัย ได้ข่าวว่านางอุษาธิดาของเจ้าเมืองไตรตรึงษ์งดงาม ได้ส่งสารไปสู่ขอ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าต้องยอมเป็นเมืองขึ้นถึงจะให้"

"มากไปแล้ว" มลพูดอย่างขัดใจ ในฐานะที่เป็นราชนิกูลคนหนึ่ง เขาทนเห็นบ้านเมืองตัวเองตกเป็นของคนอื่นไม่ได้จริง ๆ "ชินเสนคงไม่ยอมหรอก"

"ใช่" เคียวว่า "เขาเลยปลอมตัวเป็นสามัญชนชื่อแสนปม เพราะทำปุ่มปมเต็มตัวเพื่อลองใจนาง แล้วแฝงเข้าไปอยู่กับคนทำสวนหลวง จนได้พบนาง แล้วถวายมะเขือ สลักข้อความจีบนางบนมะเขือด้วย"

กูณฑ์ขมวดคิ้ว พยายามคิดภาพตามว่าจะสลักข้อความบนมะเขือได้ยังไง

"ต่อมาก็ลักลอบพบกัน จนพระธิดาเกิดทรงครรภ์ ก็เลยมีข่าวลือว่านางเสวยมะเขือแล้วท้อง ท้าวไตรตรึงษ์ประกาศหาพ่อให้พระนัดดา ท้าวแสนปมไปแสดงตัว ท้าวไตรตรึงษ์รังเกียจ ท้าวแสนปมเลยตีกลองเรียกทหารที่ซ่อนไว้ออกมา ท้าวไตรตรึงษ์เมื่อรู้ความจริงก็ขอให้ชินเสนอยู่ในเมือง แต่พระชินเสนเกลียดที่ท้าวไตรตรึงษ์ดูถูกคนจึงไม่ยอมอยู่และพานางและโอรสกลับเมือง"

"เขาก็ท้องด้วยวิธีปกตินี่" กูณฑ์ว่าเมื่อฟังจบ

"ตำนานแต่ดั้งเดิมมันไม่ใช่แบบนี้" ฤๅษีว่า

"แต่กระผมอ่านมาจากหนังสือ มันเป็นอย่างนี้จริง ๆ นะขอรับ" เคียวยืนยัน ก่อนจะหันไปทางกูณฑ์

"จริง ๆ นะ"

"ฉันสงสัยว่านายไปอ่านมาจากไหนมากกว่า" กูณฑ์ว่า "ที่บ้านเรามีนิทานเรื่องท้าวแสนปมด้วยเหรอ"

"มีสิ แต่นายไม่ค่อยอ่านหนังสือเอง"

"ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าผิด เพียงแต่ตำนานรุ่นแรก ๆ ยากที่คนรุ่นหลังจะเชื่อจึงต้องแต่งตำราใหม่ขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ตำนานดั้งเดิมท้าวแสนปมไม่ใช่เจ้าชายมาจากไหน ปูดปมที่มีอยู่บนตัวส่วนไม่ใช่ของปลอม เขาไม่เคยลักลอบได้เสียกับพระธิดา เพียงแต่รดน้ำต้นมะเขือด้วยปัสสาวะของตัวเอง"

ฤๅษีพูดถึงตรงนี้ กูณฑ์ก็ทำท่ารังเกียจ

"ปัสสาวะนี่นะครับ"

"ไม่เห็นจะแปลกเลย ปุ๋ยเมื่อก่อนก็ทำมาจากของเสียทั้งนั้น" เคียวว่า

"ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ปุ๋ยมันแปรรูปแล้ว" กูณฑ์เถียง

"ผลมะเขือจึงมีขนาดใหญ่และรสหวานอร่อย พระธิดาโปรดปรานมาก" ฤๅษีเล่าต่อโดยไม่สนใจการถกเถียงของผู้มาใหม่ "ไม่นานนางก็ตั้งครรภ์"

"เพราะมะเขือน่ะนะ" กูณฑ์ว่าอย่างเคลือบแคลง

"ถ้าเป็นมะเขือธรรมดา ก็คงไม่เป็นไร แต่มะเขือนี่เกิดจากปัสสาวะ อสุจิของท้าวแสนปมถูกดูดซึมไปเลี้ยงต้นมะเขือ" วโรดมอธิบายต่อ

"ฟังดูไม่วิทยาศาสตร์เลย" กูณฑ์ว่า

ผู้อาวุโสยิ้มอย่างเมตตา

"มาอยู่ดินแดนนี้ ถ้าเจ้ายังยึดติดกับวิทยาศาสตร์ เจ้าคงเสียสติไปในเวลาไม่นานนักหรอก วิทยาศาสตร์แขนงไหนเล่าที่เจ้าจะใช้อธิบายว่าเหตุใดเต่ากับงูถึงมีหน้าเป็นคน ทั้งยังเจรจารู้ความ เพราะเหตุใดเจ้าจึงอยู่ใต้น้ำลึกได้โดยหายใจสะดวก และไม่ได้โดนแรงดันน้ำฆ่าตายไปเสียก่อน"

พออีกฝ่ายพูดมาถึงขนาดนี้ เด็กหนุ่มก็เถียงไม่ออก

"พระอาจารย์ ข้าขอลากลับก่อนนะคะ" บุปผาว่า

พวกเขาลืมไปเสียสนิทว่าบุปผาก็นั่งอยู่ด้วย

"เจริญสุขเถิด ฝากคำอวยพรของข้าถวายแด่พระนางมุจลินท์ด้วย"

"พระนางก็ฝากมานมัสการพระอาจารย์เช่นกัน นางฝากมาขอบคุณพระอาจารย์ที่กรุณามาตลอด"

วโรดมยิ้มรับ "ข้าเคยรักและเอ็นดูจันทโครพอย่างไร กับพระนางก็ไม่ต่างกัน"

บุปผายกมือไหว้อีกที ก่อนจะลากลับบ้านเมืองไป

"เดี๋ยวก่อนนะครับ เจ้าตารู้จักจันทโครพด้วยเหรอ" แม้ว่ากูณฑ์จะไม่ค่อยรู้จักตำนานต่าง ๆ นัก แต่เขาก็รู้เรื่องจันทโครพดี ตำนานที่แสนเศร้าของจันทโครพกับนางโมรา

"รู้จักสิ เขาเคยเป็นลูกศิษย์ข้ามาก่อน" ฤๅษีว่า สีหน้าอิ่มเอิบเมื่อนึกถึงความหลัง

"งั้นเจ้าตาก็เป็นคนสร้างนางโมราน่ะสิครับ" เด็กหนุ่มว่า

เจ้าตาพยักหน้า

"ใช่"

"เจ้าตารู้ไหมครับว่าโมราจะทำให้จันทโครพต้องตาย"

"ถ้าจันทโครพฟังคำสั่งข้า จะไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลย"

"เหรอครับ" กูณฑ์ว่าอย่างไม่อยากเชื่อ

"น้อย ๆ หน่อย" มลขัดขึ้น เริ่มไม่พอใจที่มนุษย์จากอารยธรรมภายนอกแสดงท่าทีไม่เหมาะสมกับผู้มีบุญคุณกับเขา เขาขยับตัวจะลุกขึ้น แต่อุสาดึงให้เขานั่งลง

"ไม่เอานะคะเจ้าพี่"

ด้วยความที่เขารักและตามใจน้องมากจึงยอมนั่งลง

"ก็ข้าสั่งให้เขาเปิดเมื่อถึงบ้านเมืองไม่ใช่หรือ"

"ผมไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน"

"เมื่อข้าสร้างนางโมราขึ้นมา ข้าตั้งใจสร้างให้นางเป็นคู่ขวัญของจันทโครพ นอกจากข้าจะสร้างให้นางมีรูปลักษณ์อันเลิศแล้ว เรื่องกิริยามารยาท รวมทั้งคุณธรรมก็ย่อมไม่ยิ่งหย่อน"

"แต่นางฆ่าผัวตัวเองนะ" เด็กหนุ่มหัวไฟว่า

"นั่นเพราะนางยังโหลดข้อมูลไม่ครบต่างหาก"

"โหลด" กูณฑ์ทวนคำอย่างประหลาดใจ ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน คำว่าโหลดของคนตรงหน้านี่มีความหมายเดียวกับที่เขารู้จักหรือเปล่า แต่ฤๅษีที่อยู่ในป่ามาตลอดจะรู้จักศัพท์ทางคอมพิวเตอร์ได้ยังไง

"ใช่แล้ว เหมือนเจ้าโหลดข้อมูลลงคอมพิวเตอร์น่ะ"

คำพูดของฤๅษียืนยันได้ว่าท่านรู้จักคอมพิวเตอร์จริง

"ท่านรู้จักคอมพิวเตอร์ด้วยหรือครับ ท่านเคยออกไปโลกข้างนอกหรือ"

วโรดมยิ้ม

"ถึงข้าจะไม่เคยไปด้วยกาย แต่ก็เคยไปด้วยกระแสจิต ข้ารู้จักวิทยาการของพวกเจ้าดี ผอบที่ข้าใส่นางโมราไว้ก็ไม่ต่างอะไรจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เจ้าไม่สามารถปิดเครื่องตอนที่อัปโหลดโปรแกรมอยู่ได้ใช่หรือไม่"

เด็กหนุ่มพยักหน้า "ใช่ครับ เครื่องมันเคยดับไปครั้งหนึ่งตอนผมโหลดอยู่ ผมก็ต้องมานั่งโหลดใหม่"

"ข้าคำนวณเวลาแล้วหากจันทโครพเปิดผอบตอนถึงเมือง นางก็จะมีทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเป็นพระชายาที่ดีของจันทโครพ ข้าไม่นึกเลยว่าจันทโครพจะขัดคำสั่งข้า นางถูกสร้างมาจากขนนกยูงดังนั้นเมื่อยังอัปโหลดโปรแกรมความเป็นมนุษย์ให้นางไม่เสร็จ นางก็มีนิสัยเหมือนนกยูง คือเลือกผู้ชายที่แข็งแกร่งกว่าเป็นคู่ครอง"

"งั้นก็ไม่ใช่ความผิดของนางน่ะสิครับ" เคียวที่ฟังอยู่ด้วยพูดขึ้นมาบ้าง

"ใช่ นางทำอะไรและตัดสินใจอะไรไปตามสัญชาตญาณเท่านั้นเอง"

"ท่านรู้เห็นอะไรตั้งเยอะแยะ ทำไมถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะครับ" กูณฑ์ถาม

"นี่เจ้าจะตั้งคำถามทุกเรื่องเลยใช่หรือไม่" อดีตเจ้าชายวิทยาธรพูดอย่างไม่พอใจ

"แล้วถามไม่ได้หรือไง" กูณฑ์กวนประสาทกลับ

มลจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่ฤๅษีเคาะไม้เท้าเตือนให้นั่งลง

"ถึงข้าจะมีตาทิพย์ หูทิพย์ แต่ก็ไม่ได้เปิดไว้ตลอดเวลา อีกอย่างการทำนายอนาคตเป็นเรื่องซับซ้อน เพราะการกระทำของเราส่งผลให้เกิดอนาคตหลายรูปแบบ"

"เจ้าตาคะ" อุสาถามเจื้อยแจ้ว "นางโมราใช่คนเดียวกับที่ถูกสาปเป็นชะนีหรือไม่เจ้าคะ"

"ถูกแล้ว" ผู้เป็นพ่อตอบ "แสดงว่าเจ้าจำเรื่องที่ข้าสอนได้ ดีมาก"

"แต่เท่าที่ข้าฟัง มันไม่ใช่ความผิดของนางเลยนี่เจ้าคะ นางเคยเป็นนกมาก่อน จะยอมเป็นเมียนกมันแปลกตรงไหน"

"นางโมราไปเป็นเมียนกตั้งแต่เมื่อไหร่" กูณฑ์กระซิบถามภูตหนังสือ

"นายเห็นฉันเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่เหรอไง" เคียวว่า

กูณฑ์หัวเราะแห้ง ๆ ไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่เคียวก็อ่านสายตานั้นออก

"ก็ตอนที่จันทโครพตาย โจรก็หนี พระอินทร์แปลงเป็นเหยี่ยวมาทดลองนาง พอนางยอมเป็นเมียเหยี่ยว พระอินทร์ก็เลยสาปนางเป็นชะนีไง"

"ไม่ยุติธรรมสักนิด" อุสาทำปากยื่น "คนกำลังหิว ดันเอาอาหารมาล่ออีก"

ฤๅษีหัวเราะ "พระอินทร์ทำแบบนั้นเพื่อทดสอบใจว่านางมีใจของมนุษย์อยู่หรือไม่ เมื่อทดสอบแล้วเห็นว่าจิตของนางไปทางเดรัจฉานมากกว่า พระองค์จึงต้องทรงสาปนางเป็นชะนี เพราะหากนางยังมีรูปโฉมของมนุษย์ที่สวยงามอยู่ ก็ย่อมเป็นอันตรายต่อนางและผู้ที่หลงใหลในรูปโฉมนาง"

"หน้าตาดีบางทีก็เป็นภัยแก่ตัว" กูณฑ์ว่า พลางชำเลืองมองเคียว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้กูณฑ์คงไม่ยอมรับว่าเคียวหน้าตาดี ผิวของเคียวซีดเกินไปเหมือนคนไม่เคยได้รับแสงแดด จมูกงองุ้มเหมือนพวกพ่อมดหมอผี มีแต่ตากลมโตสีน้ำเงินที่ดูน่ามอง แต่หลังจากผ่านอะไรมาด้วยกัน เขาเองก็เริ่มเห็นความน่ารักของเคียวขึ้นทีละน้อย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร่างต้นอวตารของเขาจึงหลงใหลจนลืมทำหน้าที่ เคียวน่ารักอย่างไร ไดจิก็น่ารักอย่างนั้น แตกต่างกันตรงที่ชาติก่อนไดจิผมดำ ตาดำเหมือนคนเอเชียทั่วไป ไม่ได้มีสีผม สีตาประหลาดอย่างนี้ หากแต่โครงหน้าทุกส่วนก็ยังเหมือนเดิม

"แต่ถ้าเลือกได้ ข้าก็อยากเกิดมาหน้าตาดีอยู่นะ" มลว่า เขารู้ว่าหน้าตาดีมักดึงดูดผู้ไม่ประสงค์ดีให้เข้าหา ดังที่แม่ของเขาเจอมา แต่ถ้าเขาเกิดมาหน้าตาดี เขาคงได้อยู่ในเมืองอย่างมีความสุข ไม่ต้องมาเร่ร่อนอย่างนี้ ยิ่งคิดถึงสถานการณ์ในบ้านเมืองตอนนี้ก็อดน้ำตาไหลด้วยความคับแค้นใจไม่ได้

"นายร้องไห้ทำไม" กูณฑ์ถาม แม้เขาจะไม่ชอบคนตรงหน้านัก แต่เขาไม่อยากเห็นใครร้องไห้จริง.ๆ

"ข้าคิดถึงพ่อกับแม่" มลตอบ" แต่ถึงจะคิดถึงก็กลับไปไม่ได้ ข้าต้องเก่งกว่านี้ ถึงจะไปช่วยพ่อกับแม่ได้"

"นายไม่ใช่ลูกของเจ้าตาเหมือนกันเหรอ" กูณฑ์ถาม เขาคิดว่าอุสากับมลเป็นพี่น้องกันเสียอีก

"ไม่ใช่"

"แล้วนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"

มลจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนใหม่ฟัง