ถึงแม้กูณฑ์จะตั้งใจมั่นที่จะใช้โทรจิตกับเคียวให้ได้ แต่วันรุ่งขึ้น เขาก็ต้องไปโรงเรียนและขนาดอยู่ในห้องเงียบ ๆ ยังไม่มีสมาธิ ไม่ต้องพูดถึงโรงเรียนที่มีแต่เสียงดังหนวกหูเลย
ในเมื่อไม่สามารถฝึกโทรจิตได้ กูณฑ์เลยใช้เวลาว่างตอนพักกลางวันให้เป็นประโยชน์ด้วยการหาข้อมูลเกี่ยวกับภูซับเหล็ก ยิ่งอ่านเขาก็ยิ่งกังวล ทุกเว็บพูดเหมือนกันหมดว่าต้องเดินขึ้นไป ตัวเขาเองน่ะไม่มีปัญหาหรอก เขามั่นใจว่าเขาแข็งแรงพอจะเดินขึ้นได้ เขายังเด็กอยู่ เป็นห่วงก็แต่พ่อกับแม่ ไม่รู้ว่าจะเดินกันไหวหรือเปล่า อีกเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันคือข้างบนนั่น ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำด้วยซ้ำ
พอกูณฑ์กลับมาถึงบ้าน กล่าวสวัสดีพ่อกับแม่ เขาแปลกใจนิด ๆ ที่วันนี้พ่อกลับบ้านเร็ว
"กูณฑ์" พ่อเริ่มก่อนจะเงียบไป
"มีอะไรเหรอครับ" กูณฑ์ถาม
"ที่เราตกลงกันว่าจะไปภูซับเหล็กน่ะ เราไปที่อื่นกันดีกว่าไหม ลูก" แม่พูดอย่างอ่อนโยน "ที่สวย ๆ มีอีกตั้งเยอะ"
ใจจริงกูณฑ์ก็ไม่ได้อยากไปภูซับเหล็กเท่าไหร่หรอก จริง ๆ เขาไม่อยากไปไหนเลยมากกว่า แต่ผีที่ตามเขาส่ายหัวจนเขากลัวว่าหัวมันจะหลุด
"ผมอยากไปภูซับเหล็กจริง ๆ ครับ" กูณฑ์ว่า ถึงเขาจะสงสัยว่าที่นั่นจะมีคำตอบอะไรให้เขา แต่เขาก็เคารพหลวงปู่เสมอ ถ้าหลวงปู่บอกว่าที่นั่นมีคำตอบให้เขา ที่นั่นก็ต้องมี
"แต่มันลำบากมากนะ ลูก" แม่พยายามเกลี้ยกล่อมต่อ "ห้องน้ำยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ"
"นาน ๆ ทีไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติก็ดีเหมือนกันนะครับ" กูณฑ์พูดตามที่เคียวกระซิบ
"ลูกกับพ่อน่ะไม่มีปัญหาหรอก" วาสนาว่า "ก็เป็นผู้ชายนี่"
พอแม่พูดแบบนี้กูณฑ์ก็เริ่มใจอ่อน ด้วยสรีระของผู้หญิงกับผู้ชายที่ต่างกันทำให้เวลาขับถ่ายผู้หญิงลำบากกว่าผู้ชายไม่น้อย กูณฑ์กำลังจะบอกว่า
"ไม่เป็นไรครับ เราไปที่อื่นกันก็ได้"
แต่จู่ ๆ มือของเคียวก็มาบีบปากเขา บังคับให้ริมฝีปากบนกับล่างติดกันจนกูณฑ์ไม่สามารถพูดอะไรได้ แล้วเคียวก็ใช้มืออีกข้างจับหัวของกูณฑ์สั่นจนกูณฑ์รู้สึกว่าหัวแทบหลุด
'ยังไงก็ต้องไป' เคียวส่งกระแสจิตมาหากูณฑ์
กูณฑ์ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เขาอยู่กับผีตนนี้มากเกินไป ความคุ้นเคยทำให้เกิดความไว้ใจ เขาลืมไปเสียสนิทว่าผียังไงก็เป็นผี มีพลังอำนาจเหนือมนุษย์ การที่เคียวไม่เคยทำอะไรเขา ไม่ได้หมายความมันทำไม่ได้
"เป็นอะไรไป ลูก" วาสนาถาม เธอตกใจที่อยู่ ๆ ลูกก็สั่นหัวราวกับคนบ้า
เคียวปล่อยให้กูณฑ์เป็นอิสระ กูณฑ์หายใจหอบ
"ยังไงผมก็อยากไปที่ภูซับเหล็กครับ แม่" กูณฑ์ว่า
วาสนาถอนหายใจ "งั้นก็ตามใจ"
คืนนั้นกูณฑ์ฝันร้ายทั้งคืน เขาฝันว่าเคียวจับเขาสั่นหัวจนหัวหลุดจากคอ
เขาสะดุ้งตื่น เหงื่อไหลท่วมตัว
"นายเป็นอะไร" เคียวชะโงกมาถาม
"ไม่ได้เป็นอะไร" กูณฑ์ว่า มองเคียวอย่างระแวดระวัง
"นายแน่ใจนะ" เคียวถาม
"ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ" กูณฑ์ยืนยัน เขาพลิกตัวและพยายามหลับต่อ
พอวันรุ่งขึ้นมาถึง กูณฑ์จัดการอาบน้ำแต่งตัวและลงไปกินข้าวตามปกติ แต่วันนี้เขาจงใจทิ้งหนังสือที่เคียวสิงไว้ในห้องนอน เหตุการณ์เมื่อวานทำให้เขาหวาดหวั่นเกินกว่าจะพาเคียวไปด้วยอีก ขณะที่เขาก้าวเท้าออกจากบ้าน เขาก็ได้ยินเสียงเคียว
"กูณฑ์ นายจะไปโรงเรียนแล้วเหรอ" เคียวถาม
"ใช่" กูณฑ์ตอบโดยไม่ทันคิด แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ เขาสูดหายใจลึก ๆ แล้วค่อยหันไป ใจสั่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นเคียวยิ้มอยู่ข้างหลัง
"นายมาได้ไงเนี่ย" กูณฑ์ละล่ำละลักถาม
"คิดจะทิ้งฉันเหรอ กูณฑ์" เคียวพูดเสียงเย็น
"เปล่านะ" กูณฑ์รีบแก้ตัว "ฉันลืมเฉย ๆ ว่าแต่นายมาได้ยังไง ไม่ถูกผูกกับหนังสือแล้วหรือ"
เคียวเกาหัว "ฉันไปได้ทุกที่ที่หนังสือนั่นเคยไปมาก่อน ดังนั้นหมายความว่านายเคยพาฉันไปโรงเรียนมาแล้ว ฉันก็ตามนายไปโรงเรียนได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้หนังสืออีกแล้ว"
อย่างนี้ไม่ดีมาก ๆ เลย หมายความว่ากูณฑ์ก็แทบจะหนีเคียวไม่ได้เลย
"ถ้าอย่างนี้ก็ดีสิ" กูณฑ์พูดพลางหัวเราะทั้งที่ที่จริงแล้วอยากร้องไห้มากกว่า "ฉันจะได้ไม่ต้องแบกหนังสือนั่นไป ๆ มา ๆ อีก"
"ถึงฉันจะบอกว่าอยู่ไกลจากหนังสือได้ก็เถอะ แต่ฉันรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรงยังไงชอบกล"
กูณฑ์ยิ้มออกมาได้ "งั้นนายก็ขึ้นไปหาหนังสือของนายก่อนเถอะ เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะยุ่ง" เขาได้แต่ภาวนาให้เคียวเชื่อคำพูดเขา เขาไม่อยากพาเคียวไปด้วยอีกแล้ว
"นายดูจะไม่อยากให้ฉันไปด้วยเท่าไหร่เลยนะ" เคียวตั้งคำถาม มองกูณฑ์อย่างจับผิด
"เปล่านะ" กูณฑ์รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ผีคงอ่านใจเขาไม่ได้หรอกใช่ไหม "เห็นนายบอกว่าเพลีย ๆ ฉันห่วงกลัวว่านายจะเป็นอะไรไป"
"งั้นนายก็ขึ้นไปเอาหนังสือสิ"
กูณฑ์แกล้งทำเป็นมองนาฬิกา "สายแล้วล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเอา" เขารีบจ้ำอ้าวออกจากบ้านโดยไม่เหลียวหลังมามอง ได้แต่ภาวนาไม่ให้เคียวตามเขามา
หลังจากนั้นกูณฑ์กับเคียวก็เริ่มเหินห่างกันขึ้นเรื่อย ๆ กูณฑ์ไม่พาเคียวไปโรงเรียนด้วยอีกแล้ว เคียวเองหลังจากที่กูณฑ์หาข้ออ้างสารพัดว่าทำไมถึงไม่ยอมแบกหนังสือนั่นไปโรงเรียนอีกก็เลิกมาตอแยกูณฑ์ วันหนึ่งขณะที่กูณฑ์นั่งทำการบ้านอยู่ เคียวก็ถามว่า
"นายโกรธอะไรฉันหรือเปล่า"
"เปล่านี่"
"แล้วทำไมนายไม่พาฉันไปไหนกับนายแล้วล่ะ"
กูณฑ์อ้ำอึ้ง ไม่รู้จะแก้ตัวว่ายังไงดี
เคียวจ้องตากูณฑ์เขม็ง "นายรู้ไหมว่าฉันไม่ใช่มนุษย์"
กูณฑ์รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ใครจะไปลืมกันล่ะ
"ฉันเป็นภูตที่อยู่มาเป็นร้อยปีแล้ว" เคียวพูดต่อ "ฉันรู้เสมอเวลามีใครโกหกฉัน" เขากดเสียงต่ำลง ส่อเค้าอันตราย "สารภาพมาดีกว่า กูณฑ์ นายอย่าบังคับให้ฉันทำอะไรที่ไม่อยากทำเลย"
กูณฑ์ตัวสั่น เขาสารภาพทุกอย่างไปจนหมดสิ้น
"อย่าทำอะไรฉันเลยนะ" กูณฑ์ขอร้อง "ฉันยังเด็ก ฉันไม่อยากตาย"
เคียวหัวเราะ ใช้นิ้วเกลี่ยแก้มกูณฑ์เบา ๆ "ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก ตอนนั้นที่ทำก็เพราะมันจำเป็นจริง ๆ"
"หัวฉันแทบจะหลุดแน่ะ" กูณฑ์ว่า
"ขอโทษจริง ๆ ดีกันนะ" เคียวยื่นนิ้วก้อยออกมา
"แก่ขนาดนี้แล้วยังเกี่ยวก้อยเป็นเด็ก" กูณฑ์แซว แต่ก็ยอมเกี่ยวก้อยด้วย
"ว่าแต่ถ้าฉันไม่ยอมบอกนาย นายจะทำอะไรฉันเหรอ" กูณฑ์ถาม
"ฉันจะร้องไห้" เคียวตอบเสียงเรียบ
"อะไรนะ" กูณฑ์ทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อ เขาคิดว่าเคียวจะใช้อิทธิฤทธิ์ทำอะไรน่ากลัว ๆ เสียอีก แต่จะร้องไห้นี่นะ
"ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ" เคียวยักไหล่ "ฉันไม่ใช่ผีที่ฤทธิ์มากสักหน่อย ถึงจะได้อาละวาดใส่นายได้ อีกอย่างทำแบบนั้นก็บาปด้วยล่ะ ทุกวันนี้ยังหาทางไปเกิดไม่ได้ ไม่อยากสร้างบาปเพิ่มอีก"
"พูดถึงเรื่องผีอาละวาด ฉันสงสัยมานานแล้วว่าทำไมผีบางตน ตอนเป็นคนก็ไม่ได้ดุอะไร แต่ทำไมเป็นผีแล้วเฮี้ยนจัง"
"ขึ้นอยู่กับฤกษ์น่ะ ฤกษ์เกิดหรือจะเรียกว่าฤกษ์ตายก็ได้ ว่าตายตอนไหน ถ้าตายตอนวันแรง ก็มีโอกาสที่จะมีฤทธิ์มาก" เคียวอธิบาย
"งั้นนายก็ตายตอนวันไม่แรงสินะ" กูณฑ์ว่า นึกขอบคุณสวรรค์อยู่ไม่ใช่น้อย ถ้าเจ้าผีนี่ตายตอนวันแรง เขาคงไม่ได้มาคุยกันอยู่อย่างนี้หรอก คงไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้ว
วันเวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คิด ไม่นานครอบครัวภูเขี้ยวก็ต้องมาจัดของเตรียมไปเที่ยวกันแล้ว ตัวกูณฑ์กับพ่อไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่แม่นี่สิจัดราวกับไปเที่ยวเป็นอาทิตย์ ไม่ใช่แค่สามวัน
"คุณจะเอาถุงขยะไปทำไมเยอะแยะ" วาเรศถาม ขณะที่วาสนายัดถุงขยะใบที่สิบเข้าไปในกระเป๋า
"ก็ไว้เก็บขยะน่ะสิ คุณจะเอาขยะไปทิ้งที่สวย ๆ อย่างนั้นได้ลงคอเชียวหรือ"
"แต่มันเยอะไป" วาเรศโอดครวญ "เราไปเที่ยวกันแค่สามวันนะ ไม่ได้ไปเป็นเดือน ๆ"
วาสนาหน้าแดง "ฉันต้องเข้าห้องน้ำวันละไม่รู่กี่รอบ เอาไปเผื่อน่ะ ดีแล้ว"
วาเรศเข้าใจคำพูดของภรรยาทันที ตัวเขาเป็นผู้ชาย ถ้าจะทำธุระก็หันหลบเข้าต้นไม้ก็ไม่มีปัญหา แต่ผู้หญิงเวลาจะทำธุระก็ลำบากอยู่ไม่ใช่น้อย
การจัดกระเป๋าครั้งนี้ วาสนาเป็นคนจัดการทั้งหมด อะไรที่เธอคิดว่าเผื่อได้ใช้ก็จัดการยัดใส่กระเป๋า กูณฑ์นึกประหลาดใจว่ากระเป๋าใบเล็ก ๆ แค่นั้นใส่ของทั้งหมดได้ยังไง ถ้าลองให้กูณฑ์จัดเองล่ะก็ ต้องใช้กระเป๋าสามใบเป็นอย่างต่ำ
"ลูกจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปด้วยหรือ" วาสนาถาม เมื่อกูณฑ์พยายามแอบยัดหนังสือลงไปในกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง
กูณฑ์หัวเราะแห้ง ๆ เขาคิดว่าจะแอบทำโดยไม่มีใครเห็นแล้วเชียว ความจริงเขาก็เข้าใจดีว่าไปเที่ยวแบบนี่เอาหนังสือไปก็ไม่ได้อ่าน เกะกะพื้นที่เปล่า ๆ ถ้าเป็นหนังสือปกติเขาคงไม่ลังเลที่จะทิ้งมันไว้ที่บ้าน แต่หนังสือเล่มนี้มันไม่ธรรมดาน่ะสิ
"อย่าเอาไปเลยดีกว่า" วาเรศว่า "เราไปพักผ่อนกันนะ ลูก ที่นั่นไฟก็ไม่มี ลูกจะอ่านตอนไหน"
ถ้าไม่เอาหนังสือเล่มนี้ไป การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย กูณฑ์ไม่ได้ตั้งใจไปพักผ่อนสมอง เขาตั้งใจจะไปปลดปล่อยดวงวิญญาณของเคียวต่างหาก เขาเม้มปาก คิดวุ่นว่าจะทำยังไงดี
"เอาไปก็ได้" วาสนาว่า เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของลูกชาย "ถึงจะไม่ได้อ่านก็ทำประโยชน์อย่างอื่นได้"
"เช่นอะไร" วาเรศถามอย่างไม่ค่อยเชื่อถือ
"ก็อย่างเช่น.." วาสนาแย่งหนังสือไปจากมือกูณฑ์ ก่อนจะฟาดใส่แมลงสาบเคราะห์ร้ายที่เผอิญเดินผ่านมา มันชักอยู่สักพักก่อนจะนิ่งสนิท
"แม่นายนี่น่ากลัวกว่าผีอีก" เคียวว่า
กูณฑ์พยักหน้าตอบ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม่เป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดในโลก