webnovel

อุสากับมล

โอกูโบะ ไดจิ เป็นนักคัดลอกตำราที่ขยันขันแข็ง บางครั้งเขาก็อดตาหลับขับตานอนเพื่อคัดลอกหนังสือให้เสร็จ เขาเป็นหนุ่มโสด หน้าตาดี และเป็นที่หมายปองของสาว ๆ แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าสนใจใครเป็นพิเศษ

วันนี้ไดจิออกไปเดินตลาดตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือเขารู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม เมื่อเขาหันกลับไป เขาก็พบชายหนุ่มผิวคล้ำ ผมแดง หน้าตาดีส่งยิ้มให้

"สวัสดีครับ โอกูบะซัง"

"สวัสดี" ไดจิทักกลับ เขาไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนี้มาก่อนเลย ดูท่าทางเหมือนคนต่างชาติมากกว่าคนญี่ปุ่น แต่พูดภาษาญี่ปุ่นชัดมาก บ่งบอกว่าอยู่มานาน แต่ถ้าอยู่มานานขนาดนั้น ทำไมไดจิถึงไม่เคยเห็นเลย แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้จักเขา

"มาตลาดเหรอครับ" อีกฝ่ายชวนคุยต่อ

"ใช่ครับ" ไดจิตอบอย่างอึดอัด อะไรบางอย่างกระซิบบอกเขาว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา และคนอย่างเขาไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะจะนำภัยมาถึงตัว

"คุณช่วยพาผมชมตลาดได้ไหม ผมไม่เคยมาที่นี่" อีกฝ่ายว่า พลางส่งสายตาอ้อนวอน

ไดจิอยากปฏิเสธ แต่ก็ต้องทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดีโดยการนำชมตลาด

นั่นเป็นครั้งแรกที่ไดจิได้เจอกับคนคนนี้ แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ไม่ว่าไดจิจะไปไหนก็ดูเหมือนจะเจอเขาอยู่ตลอดเวลา อีกฝ่ายคอยตามเขาเสียจนถ้าวันไหนไดจิไม่เห็น เขาก็ต้องคอยมองหา รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไป

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ไดจิกำลังเดินเล่นอาบแสงจันทร์ตามลำพัง เขาชอบบรรยากาศตอนค่ำคืนเหลือเกิน

"สวัสดีครับ" ชายคุ้นหน้าทัก

ไดจิสะดุ้ง

 "สวัสดี" เขาตอบกลับ

คนต่างชาติเงยหน้ามองพระจันทร์ซึ่งวันนี้เป็นพระจันทร์เต็มดวง สว่างราวกับกลางวัน

"วันนี้พระจันทร์สวยดีนะครับ"

ใจของไดจิเต้นระรัว คนคนนี้เป็นคนต่างชาติ เขาคงไม่เข้าใจธรรมเนียมของคนญี่ปุ่น และคงไม่รู้ว่าการชมว่าพระจันทร์สวยเป็นการสารภาพรักแบบหนึ่ง

"นั่นน่ะสิครับ" ไดจิพูดเลี่ยง ๆ ไม่ตอบรับและก็ไม่ปฏิเสธ

อีกฝ่ายหันมาสบตาเขา

"ผมพูดจริง ๆ นะ พระจันทร์สวยมาก"

สายตาที่จ้องเขม็งทำให้ไดจิหน้าแดง

"ครับ" เขาตอบได้เพียงแค่นี้

อีกฝ่ายถอนหายใจ บ่นพึมพำอะไรบางอย่างว่า

"มนุษย์นี่เข้าใจอะไรยากจัง"

"ว่ายังไงนะครับ" ไดจิถาม เขาหูฝาดไปหรือเปล่า คนคนนี้พูดราวกับตัวเองไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นแหละ

"ผมรู้ว่าคุณเข้าใจว่าผมหมายความว่ายังไง"

คราวนี้ไดจิไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อีกต่อไปแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้ไม่รู้ความหมายที่แฝงมากับคำพูดนั้น

"พระจันทร์สวยก็จริง แต่อยู่ไกลเกินเอื้อม" ไดจิตอบไปเป็นเชิงปฏิเสธ

ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกดีกับฝ่ายตรงข้าม แต่เขาเป็นผู้ชาย อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย ความรักแบบนี้ย่อมไม่ได้การยอมรับ.ตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่า

อีกฝ่ายถอนหายใจ "งั้นผมลาก่อน"

ระหว่างที่เขาเดินจากไป มีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในคอของไดจิ เขาอยากเรียกให้คนคนนั้นกลับมา แต่เขาก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ ในเมื่อพวกเขาไม่อาจรักกันได้ ก็สู้ไม่รู้จักกันเสียเลยจะดีกว่า

หลังจากพยายามอยู่สักพัก เคียวก็ฟื้นคืนสติ

"เป็นไงบ้าง" กูณฑ์ถาม

เคียวไม่สบตา "ฉันสบายดี"

"นายฝันร้ายเหรอ" กูณฑ์ว่า

"อือ" เคียวตอบรับในลำคอ

"นายฝันว่าอะไร" กูณฑ์ถาม

เคียวหันมาสบตากูณฑ์

"ฉันฝันถึงนาย"

กูณฑ์หัวเราะ "ฝันว่าฉันเข้าไปช่วยนายใช่ไหมล่ะ แหม ฉันนี่มันฮีโร่แม้กระทั่งในฝัน"

"ก็คงงั้น" เคียวว่า

"นายรู้สึกดีขึ้นหรือยัง เราจะไปกันแล้ว"

เคียวพยักหน้า

"ดีขึ้นแล้วหรือ พวกเจ้าทั้งสอง" มุจลินท์ตรัสถาม

"ครับ" ทั้งกูณฑ์และเคียวตอบพร้อมกัน

"งั้นข้าจะให้บุปผาไปส่งพวกเจ้า" นางหันไปสั่งนางกำนัล "เจ้าพาพวกเขาไปหสฤๅษีวโรดมด้วยนะ"

บุปผาถอนสายบัว "เพคะ"

นางหันมาทางแขกต่างเมืองทั้งสอง "ตามข้ามา" พูดจบ นางก็ไม่รอช้า เดินออกไปทันที เคียวตามไปติด ๆ กูณฑ์รั้งท้าย

"ข้าจะขึ้นฝั่งไปดูก่อนว่าบนฝั่งมีอันตรายหรือไม่" บุปผาว่า เมื่อพวกเขาใกล้จะได้ขึ้นบก

กูณฑ์กับเคียวรับคำ

เมื่อบุปผาขึ้นฝั่งไปแล้ว นางก็สำรวจดูรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายจึงตะโกนลงไป

"ขึ้นมาได้แล้ว"

"เดี๋ยวฉันขึ้นไปก่อนนะ" เคียวว่า

"ไปพร้อมกันไม่ดีกว่าเหรอ" กูณฑ์ว่า เขาไม่อยากจะห่างจากเคียวเลย

เคียวไม่ตอบ แต่กลับรีบว่ายขึ้นไปทันที กูณฑ์ตามไปติด ๆ

แต่ยังไม่ทันไร เคียวก็ว่ายกลับมา เกือบจะชนกับกูณฑ์

 

"อะไรของนายเนี่ย" กูณฑ์ว่า

เคียวหน้าซีด พูดแทบไม่เป็นภาษา

"เป็นอะไร ใจเย็น ๆ "

"ข้างบนมีผี"

กูณฑ์ขมวดคิ้ว

ผีนี่นะ กลางวันแสก ๆ จะมีผีได้ยังไง แต่คิดไปคิดมาอีกที อีกฝ่ายก็..

"นายก็เป็นผี แล้วยังกลัวผีอีก" กูณฑ์ว่า

ผีที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นผีชักสีหน้า

"ฉันไม่ใช่ผี เป็นภูตต่างหาก"

สาบานได้ว่าตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้ กูณฑ์ยังไม่เข้าใจเลยว่าภูตกับผีต่างกันตรงไหน

"งั้นเดี๋ยวฉันขึ้นไปเอง" กูณฑ์ตั้งท่าจะว่ายขึ้นไป แต่เสียงของอีกฝ่ายห้ามเขาไว้

"อย่า" เคียวกรีดร้อง "อย่าทิ้งฉัน"

กูณฑ์หันกลับมามอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเคียว

"ฉันไม่ได้จะทิ้งนาย"

เคียวกัดริมฝีปาก "ตอนนั้นนายทิ้งฉัน"

กูณฑ์ถอนหายใจ

"ฉันไม่มีวันทิ้งนายอีก ฉันสัญญา"

เขายื่นมือมาให้เคียว "จับมือฉันไว้ เราไปด้วยกัน"

เมื่อพวกเขาขึ้นสู่ผิวน้ำ ยังไม่ทันที่จะขึ้นฝั่ง สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตากูณฑ์คือ เด็กชายวัยประมาณสิบสองปี นุ่งโจงกระเบนสีแดง ไม่ได้ใส่เสื้อ มือง้างธนูเตรียมยิง ลูกศรเล็งมาที่กูณฑ์

"เดี๋ยวก่อน" กูณฑ์รีบห้าม

แต่ทว่าลูกศรหลุดออกจากคันธนูก่อนกูณฑ์จะพูดจบ กูณฑ์รีบก้มหัวหลบตามสัญชาตญาณ

"แค่ก ๆ" กูณฑ์ลืมไปเสียสนิทว่าเขาอยู่ในน้ำ เพราะตอนอยู่ในเมืองบาดาล มีปาฏิหาริย์บางอย่างช่วยให้เขาหายใจได้ แต่พอออกมาแล้วมนตร์วิเศษนี้ก็หายไป

กูณฑ์โผล่หัวขึ้นมาอีกที เด็กหนุ่มแปลกหน้าก้มลงมองพวกเขา

"พวกท่านปลอดภัยแล้ว ขึ้นมาเถิด" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน

"เมื่อกี้นายยิงอะไร" กูณฑ์ถาม

เด็กหนุ่มยักไหล่ "นกหัสดีลิงค์ ไม่ได้ยิงโดนมันดอก แค่ขู่เท่านั้น มันคงคิดว่าท่านเป็นเนื้อเลยจะคาบไปกิน"

"ขอโทษทีนะ ฉันเหมือนเนื้อตรงไหนไม่ทราบ" กูณฑ์ว่า

"ผมสีแดงของท่านก็เหมือนเนื้อสดอยู่" อีกฝ่ายว่า

แม้ว่ากูณฑ์จะรู้แล้วว่าวาเรศเป็นพ่อแท้ ๆ ของเขา แต่เรื่องผมแดงก็ยังเป็นเรื่องที่จี้ปมเด็กหนุ่มอยู่เสมอ

"นี่นาย"

"รีบขึ้นมาเถิดขอรับ"

"ขึ้นไปได้ นายโดนแน่" กูณฑ์กล่าวอาฆาต

ทั้งกูณฑ์และเคียวเดินลุยเข้าหาฝั่ง

"นี่ นายอยู่ที่นี่เห็นผีไหม" เคียวถาม ก่อนจะหันมองรอบ ๆ อย่างระแวง

คนแปลกหน้ายักไหล่

"บารมีของเจ้าตา ภูตผีไม่เข้าใกล้ดอกขอรับ"

"แต่เมื่อกี้ ฉันเห็นนะ" เคียวว่า "ตามันโปนออกมา จมูกใหญ่ ปากหนา ฟันยังกับจะกัดคอฉันให้ขาดได้ยังไงยังงั้นเลย"

เพื่อนใหม่หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากข้างเอว หันหลัง และเมื่อหันกลับมาอีกที ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

"ผีที่ท่านว่าหน้าตาเป็นแบบนี้หรือเปล่าขอรับ"

เคียวพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้า

"ข้าไม่ใช่ผีดอกขอรับ ตามข้ามาเถิด"

กูณฑ์กับเคียวมองหน้ากัน ก่อนจะออกเดินทางตาม

"แล้วพี่บุปผาไปไหน" กูณฑ์ถามขึ้นมาเมื่อคิดขึ้นได้ เขารู้ว่านางนาคไม่ได้ชอบเขานัก แต่คงไม่ใจร้ายทิ้งเขาไว้หรอกนะ เด็กประหลาดนี่ก็ไม่รู้ไว้ใจได้หรือเปล่า คนอะไรจะมาใส่หน้ากากในป่า จะว่าไปแล้วหน้ากากนี่ก็ทำเนียนดีเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นตอนใส่ก็คงดูไม่ออกว่าเป็นหน้ากาก อย่างกับทำจากหนังมนุษย์จริง ๆ แน่ะ พอคิดถึงตรงนี้กูณฑ์ก็ตัวสั่น เจ้านี่คงไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตที่ถลกหนังหน้าคนมาเป็นหน้ากากหรอกนะ

"นาคีตนนั้นหรือขอรับ นางกำลังปราศรัยกับเจ้าตาและอุสาอยู่"

"อุสา" กูณฑ์ทวนคำ ฟังยังไงก็เป็นชื่อผู้หญิง แต่ว่าฤๅษีมีผู้หญิงอยู่ด้วยได้เหรอ ฤๅษีไม่ได้เหมือนพระเหรอที่ต้องห่างจากสตรีเพศ

"ธิดาของเจ้าตาน่ะขอรับ นางช่างเจรจามาก อดทนหน่อยนะขอรับ"

"พูดมากกว่านายอีกเหรอ" กูณฑ์พูดขึ้นมาอย่างทนไม่ได้

"มินานพวกท่านก็จะได้รู้เองขอรับ"

เมื่อพวกเขาเดินเข้าเขตอาศรม กูณฑ์ก็ตกตะลึงเมื่อเห็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อวิ่งเข้ามาราวกับพายุหมุน ก่อนจะกอดอีกฝ่ายไว้แน่น

"เจ้าพี่มล เจ้าพี่มลกลับมาแล้ว" เด็กสาวพูดรัวเร็วจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง

เด็กหนุ่มที่กูณฑ์เพิ่งรู้ว่าชื่อมลผลักหน้าผากเด็กสาวเบา ๆ

"เจ้าอย่ามากอดพี่แบบนี้สิ อุสา เจ้าโตแล้วนะ รู้หรือไม่"

อุสาเบะปาก

"ทั้งเจ้าพี่และเจ้าตานี่ล่ะก็ เอะอะก็หาว่าข้าโตแล้วเรื่อยเลย ข้าแค่กอดเจ้าพี่จะเป็นอะไรนักหนา"

มลหันมาทางแขกทั้งสอง ก่อนจะแนะนำอุสาให้พวกเขารู้จัก

 

"นี่อุสา ธิดาของเจ้าตา"

"เดี๋ยวก่อนนะ" กูณฑ์ขัด เขาหันมองเด็กสาวที หันไปมองฤๅษีที่ดูยังไงก็อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปีที่กำลังคุยกับบุปผาอยู่ที "ธิดานี่คือลูกสาวเหรอ"

"ใช่เจ้าค่ะ" อุสาพูดอย่างกระตือรือร้น "เจ้าตาเป็นพ่อแท้ ๆ ของข้า แต่ข้าถนัดเรียกเจ้าตาว่าเจ้าตามากกว่าน่ะเจ้าค่ะ ให้เรียกพ่อมันดูชอบกล แต่บางทีข้าก็เรียกท่านว่าพ่อตานะเจ้าคะ"

อุสาพูดเร็วจนกูณฑ์ฟังแทบไม่ทัน

"แล้วถ้าเจ้าตาเป็นพ่อของเธอ แล้วแม่ล่ะ" กูณฑ์ถาม อยากรู้เหลือเกินว่าผู้หญิงที่ไหนยินดีหลับนอนกับผู้ชายอายุร้อยกว่าจนมีลูกออกมาได้

"แม่ของข้าคงไปเล็มหญ้าอยู่น่ะเจ้าค่ะ ถ้าพวกท่านอยากเห็น ข้าจะ.."

อุสาพูดยังไม่ทันจบประโยค ฤๅษีก็เคาะไม้เท้าลงบนพื้นอาศรม

"อย่ามัวแต่เจรจากันอยู่เลย เข้ามาได้แล้ว"

"เจ้าค่ะ" อุสารับคำ พลางวิ่งเข้าไป

มลหันมามองกูณฑ์กับเคียวด้วยสายตาที่เหมือนจะถามว่า

"เป็นไง พูดมากเหมือนที่บอกไหมล่ะ"