webnovel

หนวดเต่า เขากระต่าย

"ถ้าให้ฉันเดา ไอ้ก้อนหินที่นายพิงอยู่ คงเป็นเต่ามังกรใช่ไหมล่ะ แล้วพอนายกำลังพักผ่อนสบาย ๆ มันคงเริ่มขยับตัว" เคียวว่า

มลทำท่าไม่พอใจ "ถ้าเจ้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้วล่ะก็.."

เคียวโบกมือ "ฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันรู้จักเรื่องทำนองนี้ดี"

มลเคยเรียนรู้มาว่าเต่ามังกรเป็นสัตว์ที่หายาก แม้จะเป็นสัตว์ที่ต่อสู้ไม่เก่งนัก แต่เรื่องพรางตัวก็ไม่เป็นสองรองใคร แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะโดนหลอกเอาง่าย ๆ อย่างนี้ ขณะที่เขาเคลิ้มจะหลับ ก็รู้สึกว่าก้อนหินที่พิงค่อย ๆ ขยับออกทีละน้อย มลผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ในที่สุดเขาก็เจอเต่ามังกรแล้ว มันกำลังจะคลานไปที่ฝั่งแม่น้ำ เขาจะปล่อยมันไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าพลาดตัวนี้ไปก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะเจออีก มลหยิบคันธนูที่เขาทำด้วยตัวเองขึ้นมาก่อนจะเล็งไปที่ส่วนหัว แต่เพราะเขาไม่เคยฝึกยิงธนูมาก่อนเลย มันจึงโดนกระดองของมันแทน แล้วนั่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยเพราะกระดองของมันแข็งแกร่งเกินกว่าลูกธนูกระจ้อยร่อยของเขาจะทำอะไรได้ แต่มลก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาพยายามวิ่งตามมันไป และยิงลูกศรไม่หยุด ได้แต่หวังว่าจะก่อกวนให้มันหันหัวมาทางเขา

'ถ้ามันหันหัวมาทางข้าเมื่อไหร่ ข้าจะยิงลูกศรตัดหนวดของมันเสียเลย" มลคิด ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดจะฆ่าสัตว์หายากตัวนี้ เขาต้องการแค่หนวดของมันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องฆ่ามันให้เป็นเวรเป็นกรรม

ในที่สุดความพยายามของเขาก็สัมฤทธิ์ผล เต่ามังกรหันหัวกลับมา มันคงรำคาญเขาเต็มที แต่แทนที่มลจะยิงตัดหนวดแบบที่วางแผนไว้ เขากลับตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เขาเคยได้ยินมาว่าเต่ามังกรจะใช้ใบหน้าของมังกรข่มขวัญศัตรู ตอนที่เขาเห็นเต่ามังกรในภาพวาดเขายังคิดเลยว่าไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน แต่ภาพวาดก็คือภาพวาด มันเทียบไม่ได้เลยกับมังกรตรงหน้าเขาตอนนี้

เต่ามังกรอาศัยจังหวะที่มลกำลังตะลึงพ่นน้ำใส่เขาอย่างแรงจนเขาล้มลงก้นจ้ำเบ้า ก่อนที่จะคลานลงน้ำไป ทิ้งให้มลผู้ซึ่งทั้งเปียก เจ็บและอายสบถอะไรพึมพำอยู่คนเดียว

"จากนั้นข้าก็เลยเปลี่ยนเป้าหมาย" มลว่า

"เดี๋ยวก่อนนะ เต่ามังกรนี่พ่นน้ำหรือ" กูณฑ์ถาม เมื่อพูดถึงมังกรใคร ๆ ก็คิดถึงการพ่นไฟทั้งนั้น

"ใช่" มลตอบ "เต่ามังกรพ่นน้ำได้หลายระดับ ตั้งแต่พ่นเป็นน้ำพุเพื่อดึงดูดตัวเมียให้มาผสมพันธุ์ด้วย หรือพ่นแรงขนาดที่เจาะหินทะลุได้"

"เดี๋ยว เดี๋ยว" กูณฑ์ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เชื่อถือ "น้ำนี่นะทำให้ก้อนหินเป็นรูได้ เวอร์ไปเปล่า"

"ธรรมชาติมีพลังกว่าเจ้าคิดไว้มาก" มลว่า

หลังจากที่ไม่สามารถจัดการเต่ามังกรได้ แถมยังต้องเจ็บตัวอีกต่างหาก มลก็เปลี่ยนเป้าหมายเป็นกระต่ายเขา การหาตัวกระต่ายเขานั้นยากกว่าหาตัวเต่ามังกรเสียอีก แม้ว่าธรรมชาติมันจะอยู่เป็นฝูงก็ตามที พอมลเห็นกระต่ายเขา เขาก็เร่งฝีเท้าตาม หากแต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้นจากข้างหลัง เป็นเสียงร้องอย่างเจ็บปวด แม้ว่ามลจะทำเป็นไม่สนใจ แต่เสียงนั้นก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนวิทยาธรน้อยต้องละเป้าหมายตรงหน้าและตามหาเจ้าของเสียงร้องนั่น

ทันทีที่เขาละสายตาจากเป้าหมายและตามต้นเสียง เขาก็รู้ว่าตัวเองโดนหลอก เสียงนั่นไม่ใช่เสียงมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับมนุษย์เลย หากแต่เป็นเสียงกระต่ายเขาอีกตัวหนึ่งที่ร้องขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขา ในที่สุดมลก็ตัดสินใจตั้งมั่นว่าเขาจะไม่สนใจเสียงร้องอะไรอีก และแทนที่จะเดินไปอย่างไร้จุดหมาย จะใช้วิธีแกะรอยแทน ในที่สุดมลก็มาถึงแหล่งของกระต่ายเขา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ฉลองชัยชนะ พวกกระต่ายเขาที่ปกติห่วงถิ่นยิ่งกว่าอะไรก็โจมตีมลทันที รวดเร็วจนกระทั่งมลไม่สามารถใช้ลูกศรโจมตีระยะไกลได้ ได้แต่อาศัยคันธนูเก่า ๆ ผุ ๆ ของตัวเองฟาดกระต่ายเขาที่เข้ามาใกล้ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด วิทยาธรตนเดียวก็ย่อมไม่อาจสู้กับกระต่ายเขาเป็นฝูงได้ฉันนั้น มลจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ใคร ๆ ก็น่าจะทำเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาก็คือวิ่งหนีไม่คิดชีวิต

ขณะที่มลกำลังสับเท้า พวกกระต่ายเขาที่โกรธแค้นก็วิ่งตามมาเป็นพรวน ยิ่งหนี มันก็ยิ่งตาม ในที่สุดมลก็ตัดสินใจแปลงสัญชาติเป็นลิงและไต่ขึ้นต้นไม้ เขาไม่รู้ว่าเขาขึ้นมาบนต้นไม้ใหญ่นี้ได้อย่างไร แต่สิ่งมีชีวิตมักจะมีความสามารถทำอะไรได้อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อภัยมาถึงตัว มลนั่งหอบอยู่บนกิ่งไม้ พวกกระต่ายเขาเดินวนอยู่รอบ ๆ โคนไม้

มลยกมือขึ้นพนม ตั้งจิตอธิษฐานต่อเทพารักษ์ที่สถิตอยู่ต้นไม้นี้

"ขอให้ลูกรอดปลอดภัยด้วยเถิด"

เมื่อมลก้มลงไปมองข้างล่างอีกครั้ง เขาก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ ข้างล่างนั่นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวน่าจะคราวเดียวกับเขา ใส่ชุดที่ตัดเย็บจากใบไม้กำลังยืนอยู่ท่ามกลางกระต่ายเขาที่เหมือนจะรุมทำร้ายเธออยู่

หากถามว่ามลกลัวกระต่ายเขาไหม เขาก็ต้องตอบว่ากลัวมาก แต่แม้ว่าเขาแทบไม่ได้รับการยอมรับในฐานะเจ้าชายเท่าไหร่ เขาก็ถือว่าตัวเองเป็นวรรณะกษัตริย์ แล้วกษัตริย์ที่ไหนเล่าจะขี้ขลาด แอบอยู่บนต้นไม้ และให้สุภาพสตรีได้รับอันตราย มลตัดสินใจสูดหายใจลึก ๆ เพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะไต่ลงจากต้นไม้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

บัดนี้มลมายืนอยู่บนพื้นระดับเดียวกับพวกสัตว์หน้าขนพวกนั้นแล้ว เขาตัดสินใจหยิบกิ่งไม้ขนาดพอเหมาะขึ้นมา ก่อนจะร้องตะโกนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจพวกกระต่ายเขา

"เฮ้ย! ไอ้พวกบ้า ทางนี้เว้ย"

ได้ผล พวกกระต่ายเขาละความสนใจจากเด็กหญิงมาหาเด็กชาย พวกมันวิ่งมาหาเขา

แล้วทีนี้มลจะทำอย่างไรดีล่ะ ตอนที่เขาตัดสินใจตะโกนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เขาคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้พวกกระต่ายปีศาจนี่เลิกทำร้ายเด็กผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้วางแผนไว้ว่าพอพวกมันหันมาสนใจเขาแล้ว ต้องทำยังไงต่อ ในที่สุดมลก็เลือกที่จะวิ่งหนี เขาต้องวิ่งล่อมันไปให้ไกลที่สุด

"หยุดนะ" เด็กหญิงกรีดร้อง

พวกกระต่ายเขาชะงัก มลผู้เหนื่อยหอบก็ทรุดตัวลงนั่งพิงต้นไม้ ใจเขาก็อยากวิ่งหนีต่อ แต่ขาเจ้ากรรมมันไม่ยอมฟังคำสั่งใจเอาเสียเลย คิดแล้วก็ยิ่งเจ็บใจ เป็นวิทยาธรแท้ ๆ แต่กลับเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้

เด็กหญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ มลอ้าปากจะตะโกนให้เธอหนีไป แต่ลำคอที่แห้งจนเป็นผงของเขาก็ไม่ให้ความร่วมมือ ในที่สุดเธอก็เดินเข้ามาใกล้พวกกระต่ายกระหายเลือด

"ดื้ออีกแล้วนะ" เด็กประหลาดคุกเข่าพูดกับพวกกระต่ายเขา ราวกับว่ามันเป็นกระต่ายบ้านเชื่อง ๆ อย่างไรอย่างนั้น

พวกกระต่ายเขาส่งเสียงร้อง เป็นเสียงร้องเหมือนจะเรียกร้องความสนใจมากกว่าเสียงขู่

เด็กหญิงลูบหัว ลูบตัวของกระต่ายพวกนั้น พวกมันเองก็ซุกไซ้เธอเช่นกัน

มลขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ พวกกระต่ายเขาที่จะฆ่าเขาเมื่อตะกี้กลับเป็นมิตรกับเด็กประหลาดนี้ได้อย่างสนิทที่สุด พวกมันยอมให้เธออุ้มเล่นด้วยซ้ำ มันเป็นได้ยังไง

"เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว" เธอวางกระต่ายลง

พวกมันร้องกันอยู่สักครู่ ราวกับไม่อยากจะจากไป แต่เมื่อเด็กหญิงพูดย้ำอีกครั้ง พวกมันก็ยอมกลับ

เมื่อกระต่ายเขาไปแล้ว เด็กหญิงจึงหันมาสนใจคนแปลกหน้า

"ท่านเป็นมนุษย์หรือ"

คำถามซื่อ ๆ ของเด็กที่แต่งกายด้วยชุดใบไม้ทำให้มลชักฉุน ถึงเขาจะหน้าตาน่าเกลียด แต่ไม่เห็นต้องพูดกันถึงขนาดนั้นเลย เขาถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นมนุษย์ ความจริงแล้วเผ่าวิทยาธรของเขา แต่ดั้งเดิมก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน บางคนก็เป็นมนุษย์แท้ ๆ บางคนก็เป็นลูกผสมระหว่างมนุษย์กับเทวดาชั้นจตุมหาราชิกา แต่ยุคหลัง ๆ นี้พวกวิทยาธรก็เกิดจากวิทยาธรแต่งงานกันเอง เขากำลังจะโต้ตอบด้วยถ้อยคำที่รุนแรงไม่แพ้กัน แต่เมื่อเห็นแววตาที่เธอมองมา เขาก็ต้องชะงัก เธอไม่ได้มีทีท่ารังเกียจเหยียดหยามเขาเลย แต่กลับมองด้วยความสนใจใคร่รู้ ไม่ต่างอะไรกับสายตาของมลเอง เวลาที่เขาได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ

"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ความจริงข้าเป็นวิทยาธรน่ะ"

"วิทยาธรคืออะไรหรือ แล้วมีพวกวิทยาธรอีกหรือไม่ ท่านมาคนเดียวหรือ ท่านมาทำอะไรที่นี่ ท่านชื่ออะไร ท่านหลงทางหรือ ท่านจะไปไหน ท่าน.." เด็กหญิงถามรัวไม่หยุดจนมลต้องยกมือห้าม

"ช้าก่อน ข้าตอบไม่ทัน"มลพยายามตั้งสติก่อนตอบคำถามไปทีละคำถาม "ข้าเป็นวิทยาธร วิทยาธรก็คือชนเผ่าหนึ่งในป่าหิมพานต์ แล้วข้าไม่ใช่วิทยาธรตนเดียว พวกเราอยู่กันเป็นบ้านเมือง แต่ข้ามาที่นี่คนเดียว ข้ามาเพื่อ.."

อะไรบางอย่างกระซิบบอกว่ามลไม่ควรบอกว่าเขามาเพื่อล่ากระต่ายเขา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

"ข้าหลงทางมา ข้ากำลังจะไปหาผลไม้กิน"

เด็กหญิงยิ้ม "งั้นท่านมาถูกทางแล้ว อาศรมเจ้าตาข้ามีผลไม้ให้กินมาก ข้าชื่ออุสา แล้วท่านล่ะ"

"ข้าชื่อมล"

อุสาวิ่งนำ มลวิ่งตาม อุสาวิ่งไปราวกับไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา

"ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าอุสาเป็นลูกครึ่งกวางก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมถึงวิ่งเร็วนัก" มลยิ้มเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต

"ข้าไม่ได้วิ่งเร็ว ท่านช้าเอง" อุสาเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้

"พวกเจ้าไม่มีใครเร็ว ใครช้าทั้งนั้นแหละ" วโรดมรีบปราม ก่อนเรื่องจะไปกันใหญ่ นับตั้งแต่วันที่มลมาอยู่ที่นี่ เขากับอุสาก็มีเรื่องเถียงกันไม่เว้นแต่ละวัน ตามประสาเด็ก แต่ลึก ๆ แล้วฤๅษีทราบดีว่าทั้งสองรักกัน ส่วนจะเป็นความรักแบบพี่น้องหรืออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ แม้เขาเองจะเป็นฤๅษีมีญาณ ก็ไม่เคยคิดจะตรวจดูเรื่องนี้เลย

"ก็นั่นแหละ อุสาก็เลยพาข้ามาหาเจ้าตา"

"นมัสการขอรับ" มลกราบฤๅษี แม้ว่าเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แต่วิทยาธรน้อยกลับเห็นว่าฤๅษีตนนี้น่าเคารพกว่าอาจารย์ธนบาลของเขาอย่างเทียบไม่ติด มลสั่นหน้า พยายามขับไล่ความคิดเนรคุณนั่นออกไป

"เนรคุณเหรอ" กูณฑ์ขัดขึ้นมาอย่างทนฟังไม่ไหว "ไอ้อาจารย์ชั่วนั่นมีบุญคุณอะไรกับนายบ้างดีกว่า"

มลยิ้มเครียด "ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าธนบาลไม่คู่ควรเป็นอาจารย์ของใครทั้งนั้น เพราะหาได้ประพฤติตนเป็นครูที่ดี ส่งเสริมศิษย์เสมอกันไม่ นอกจากท่านพ่อแล้ว ข้าก็นับถือเจ้าตาเป็นอาจารย์อีกเพียงคนเดียว"

ฤๅษีมองมลอย่างเมตตา

"หลงทางมาหรือ"

มลไม่กล้าโกหกต่อหน้าผู้ทรงศีลที่น่าเลื่อมใส

"ข้ามาตามล่ากระต่ายเขาขอรับ จะเอาเขามันไปทำคันธนู"

"คนใจร้าย"อุสากรีดร้อง "กระต่ายก็อยู่ของมันดี ๆ ทำไมต้องไปทำร้ายมันด้วย"

"ข้าต้องการเขาของมันเท่านั้นเอง" มลพูดอย่างอ่อนใจ

"ตัดเขามันก็เจ็บแล้ว"

"เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าไม่มีเขาสักหน่อย"

"ใครว่าไม่มี"อุสาเสยผม เผยให้เห็นเขาเล็ก ๆ สองกิ่งบนศีรษะ "นี่ เห็นหรือไม่"

มลตะลึงจนพูดไม่ออก

"เจ้าจะตามล่ากระต่ายเขา เจ้าได้เรียนรู้วิชาอะไรมาบ้างหรือยัง"

คำพูดเรียบ ๆ ของผู้อาวุโสแทงใจดำเด็กชาย

"อาจารย์บอกข้าว่า ข้าต้องพิสูจน์ตัวเองก่อน ท่านจึงยอมสอนวิชาให้"

"แล้วเพื่อนรุ่นเดียวกับเจ้าเล่าต้องพิสูจน์ตัวเองเช่นเดียวกับเจ้าหรือไม่"

"ไม่" มลปฎิเสธ น้ำตารื้นขึ้นมา "แต่พวกเขาไม่ได้น่ารังเกียจอย่างข้า"

อุสาเอียงคอมอง

"ตาของท่านกลมโต สวยงาม จมูกของท่านโดดเด่นเป็นสง่า ผิวของท่านไม่ต่างอะไรจากต้นไม้ที่แข็งแกร่ง ข้าไม่เห็นว่าท่านจะน่ารังเกียจตรงไหน"

"แต่คนอื่นเห็นว่าข้าน่าเกลียด"

"ทุกคนเกิดมาย่อมมีความแตกต่าง" ฤๅษีว่า ก่อนหันไปพูดกับอุสา "เจ้าเข้าไปเล่นข้างในก่อนเถิด"

อุสาพยักหน้าและทำตาม

"พออุสาไป เจ้าตาจึงมอบของขวัญล้ำค่าให้ข้า" มลเล่าอย่างปลาบปลื้ม

"อะไร" ทั้งกูณฑ์และมลถามพร้อมกัน

มลหันไปมองอาจารย์ของตนเป็นเชิงขอร้อง วโรดมเข้าใจทันที

"อุสา เจ้าพาข้าไปเดินเล่นหน่อย นั่งนาน เมื่อยเต็มที"

"มาเลยเจ้าค่ะ" อุสาว่า พลางเข้าไปจูงมือผู้เป็นพ่อออกไป

เมื่อเห็นว่าน้องไปแล้ว มลจึงเริ่มเล่าต่อ

วโรดมถอดรูปให้แก่มล ผิวที่เคยตะปุ่มตะป่ำของเขากลับขาวเรียบเนียน จมูกลดขนาดลง ฟันจัดเรียงเป็นระเบียบ มลลูบใบหน้าตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ และเมื่อเขาเห็นใบหน้าตัวเองในเงาน้ำ หัวใจก็เต้นรัวด้วยความยินดี ใบหน้าของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับส่วนผสมลงตัวของวิทยาธรรูปงามและกินรีผู้มีชื่อเสียงด้านรูปลักษณ์

"ขอพระคุณมากขอรับ" วิทยาธรกราบฤๅษี

วโรดมยิ้ม ก่อนจะส่งหน้ากากให้

"ข้าไม่ต้องการมันแล้วขอรับ" มลว่า พลางมองสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนอย่างรังเกียจ

"มันจะเป็นประโยชน์กับเจ้า จงใส่ไว้เถิด"

"ทำไมล่ะขอรับ"

"ดอกไม้สวยมักจะถูกเด็ดดม บุคคลผู้มีรูปเป็นทรัพย์ย่อมเป็นอันตราย"

แม้ว่ามลจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี

"ข้าต้องขอบคุณท่านมากขอรับ ข้าต้องขอลาก่อน"

"เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย" ฤๅษีว่า

"แต่ข้าต้องไปล่ากระต่ายเขา เต่ามังกรและกบนอ"

ฤๅษีส่ายหน้า "สัตว์พวกนั้น คนที่เก่งกว่าเจ้าก็ยังพลาดท่าโดนมันจัดการ เจ้าเก่งเพียงใดหรือ"

"แต่ถ้าข้าล่าพวกมันไม่ได้ อาจารย์ก็จะไม่ยอมสอนวิชาให้ข้า"

วโรดมมองเด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างเวทนา

"คนผู้นั้นไม่ตั้งใจจะสอนวิชาให้เจ้าอยู่แล้ว หากแต่ต้องการส่งให้เจ้ามาตาย"

มลตกใจแทบสิ้นสติเมื่อได้ยินแบบนั้น

"ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ"

ผู้อาวุโสถอนหายใจ ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองวิทยาธรให้ฟัง