ทั้งสามสหายย้อนกลับมาหานางแมงมุมอีกครั้ง มลรายงานสั้น ๆ ว่าจัดการโค่นต้นส้มต้นนั้นเรียบร้อยแล้ว
"ขอบใจเจ้ามาก" กุมภโทรีว่า แค่คิดว่ามีต้นไม้พิษนั่นอยู่ใกล้ ๆ เธอก็ขยะแขยงแล้ว ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมมนุษย์ถึงชอบพวกมันนัก กลิ่นชวนอาเจียนจะตาย
"งั้นเจ๊ก็ทำตามที่รับปากไว้ได้แล้ว" กูณฑ์เร่งตามประสาวัยรุ่นใจร้อน
ดังนั้นทั้งสี่จึงบุกวังบาดาลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฝูงยุงแม่ไก่ไม่ได้มาจู่โจมแบบเดิม พวกมันหวั่นเกรงศัตรูตามธรรมชาติของมันจึงได้แต่เฝ้าอยู่ห่าง ๆ
นางแมงมุมเห็นดังนั้นจึงพยักพเยิดให้เด็กทั้งสามรีบบุกเข้าไป ถ้าไม่ต้องมีการสู้กันก็คงดี ไม่ใช่ว่ากลัวจะสู้ไม่ได้ อย่างไรแมงมุมก็ไม่มีวันแพ้ยุงอยู่แล้ว มันคนละชั้นกัน แต่ยุงมีมากเกินไป เธอกลัวจะกินไม่ไหว แล้วจะฆ่าโดยไม่กินก็ยังไง ๆ อยู่ แต่พอสามสหายเข้าไป พวกยุงก็บินมาโจมตี นางแมงมุมจึงเข้ามาช่วย เธอใช้แขนทั้งสองและขาทั้งแปดจัดการพวกมัน
"ว้าว! เจ๋ง" กูณฑ์อุทานอย่างชื่นชม เขาจ้องตาค้าง
เคียวรีบฉุดแขนให้กูณฑ์ตามมา พวกเขาจะมัวช้าอยู่ไม่ได้
ในที่สุดหลังจากที่เกือบโดนยุงหาม พวกเด็ก ๆ ก็มาถึงประตูเมือง รากษสที่เฝ้าประตูเมืองอยู่เห็นพวกเขาทันทีและเข้ามาหาด้วยท่าทีคุกคาม
"พวกเจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้เยี่ยงไร" รากษสตนนั้นถามด้วยเสียงกระโชกโฮกฮาก ถ้าแค่นั้นยังน่ากลัวไม่พอ ปลายหอกวาววับที่จิ้มอกมลอยู่ก็ช่วยเสริมได้เป็นอย่างดี
กูณฑ์ไม่เข้าใจว่าทำไมมลถึงนิ่งอยู่ได้ ถ้าเป็นเขาคงเผ่นไปให้ไกลเสียแล้ว เขาไม่อยากเสี่ยงกับคนหรืออะไรก็ตามที่ถือหอกแบบนั้นหรอก
"ข้ามีนามว่ามลเป็นลูกศิษย์ของฤๅษีวโรดม" มลตอบอย่างฉะฉาน ไม่มีร่องรอยความหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย พูดเสร็จเขาก็ผายมือไปที่กูณฑ์และมล ก่อนจะแนะนำว่า "คนผมแดงคือกูณฑ์ เป็นมนุษย์และเป็นสหายของข้า ส่วนคนผมขาวคือเคียวเป็น.."
มลยังไม่ทันแนะนำเสร็จ กูณฑ์ก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมา
"เป็นคนสำคัญของผม" เขาพูดพลางกุมมือภูตหนังสือไว้แน่น
รากษสที่ถือหอกเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร ถ้าคนพวกนี้เป็นลูกศิษย์ของฤๅษีวโรดมจริงก็คงมีฤทธิ์มากอยู่พอตัว เขาเองก็เป็นแค่รากษสเฝ้าประตู ไม่ได้มีฝีมือการรบเก่งกาจอะไร ถ้าเลี่ยงการต่อสู้ได้ก็คงดีกว่า ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยเสียงอ่อนโยนลงกว่าเมื่อกี้มาก
"แล้วพวกท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ"
กูณฑ์กำลังจะบอกว่าเขาจะมาขอเสาบาดาล แต่มลชิงพูดขึ้นก่อน
"เราจะมาเฝ้าท้าวไวยวิก เรามาอย่างเป็นมิตร ข้าเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับจันทโครพซึ่งเป็นสวามีของพระนางมุจลินทร์ ธิดาของท้าวมุจลินท์ ผู้เป็นพระอนุชาของท้าวกาลนาค" มลพูดทั้งหมดนี่โดยไม่หยุดพักเลย
กูณฑ์อดชื่นชมท่าทางมั่นอกมั่นใจของวิทยาธรน้อยไม่ได้ แม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม แต่ทำไมเขาต้องร่ายประวัติตัวเองเสียยาวเหยียดขนาดนั้นด้วย เป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งของชาวหิมพานต์หรือไงนะ
เห็นได้ชัดว่าตอนแรกพี่ ร.ป.ภ.ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่พอพูดมาถึงท้าวกาลนาค เขาก็พยักหน้ารับ
"ที่แท้ท่านก็เป็นมิตรกับพญากาลนาค ก็เท่ากับท่านเป็นมิตรกับเราด้วย ข้าขอไปรายงานท้าวไวยวิกก่อน ว่าพระองค์จะทรงว่าอย่างไร"
พูดจบ เขาก็โค้งคำนับให้ก่อนจะเข้าประตูเมืองไป
"คนเฝ้าน้อยนะ" เคียวตั้งข้อสังเกต เท่าที่เขาเคยอ่านมาในเรื่องรามเกียรติ์ เมืองบาดาลมีด่านมากกว่านี้ คนเฝ้าก็น่าจะมากกว่านี้ด้วย
มลยักไหล่ "ท้าวไวยวิกเป็นคนของพระนารายณ์อวตารแล้ว ถ้าไม่ใช่พวกไม่รู้ความจริง ๆ ก็ไม่มีใครอยากมาสู้ด้วยหรอก เปลืองตัวเปล่า ๆ ที่ยังมียามรักษาการณ์อยู่ก็เพื่อรักษาธรรมเนียมเท่านั้นเอง"
"แล้วนายพูดถึงพญากาลนาคทำไม" กูณฑ์ถาม
"พญากาลนาคเป็นมิตรกับรากษสพวกนี้ ท่านส่งธิดานามกาลอัคคีมาเป็นมเหสีของทศกัณฐ์" มลอธิบาย
กูณฑ์ขมวดคิ้ว "แต่นายบอกว่าพวกนี้อยู่ฝั่งพระนารายณ์นี่ ไม่ได้เป็นศัตรูกันหรอกเหรอ"
มลถอนหายใจ "พอทศกัณฐ์สิ้น พิเภกก็รับดูแลพี่สะใภ้ อีกอย่างท้าวกาลนาคเคยช่วยเหลือพระนางสีดาด้วย ก็นับว่าเป็นมิตรกันได้อยู่"
"ความสัมพันธ์เอ๋ย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น" กูณฑ์พูดเหมือนร่ายมนตร์ ก่อนจะถอนหายใจ "เจอเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ เข้า ฉันอาจจะบ้าเอาเข้าสักวันหนึ่ง"
"นายไม่ได้บ้าอยู่แล้วเหรอ"เคียวแซว
กูณฑ์หันไปจ้องหน้าเคียวตาเขียว
"ดีนะที่นายเป็นคนพูด ถ้าเป็นมล ฉันไม่ปล่อยไว้แน่"
"ยุติธรรมจริง" มลเบ้ปาก
"ฉันเป็นคนมีมาตรฐานเดียว ก็คือมาตรฐานของเคียว ถ้าไม่ใช่เคียว ก็อย่าหวังว่าฉันจะดีด้วย" กูณฑ์ยืดอกรับ
"เออ รู้แล้วว่ารักกันมาก" มลว่า ทำไมเจ้าตาต้องให้พวกนี้มาด้วยนะ เขาต้องดูคนจีบกันไปนานเท่าไหร่
พวกเขาหยอกล้อกันอยู่สักพัก รากษสตนเดิมก็เดินออกมา
"ท้าวไวยวิกรับสั่งให้พวกท่านเข้าเฝ้าได้"
ขณะที่พวกเด็ก ๆ กำลังจะเดินเข้าไป รากษสแบมือออกมา
"ก่อนที่พวกท่านจะเข้าไปในเขตพระราชฐาน โปรดนำอาวุธมาให้ข้าก่อน"
กูณฑ์คาดว่ามลจะประท้วง การยื่นอาวุธให้คนไม่รู้จักก็เหมือนฆ่าตัวตายชัด ๆ ยิ่งอยู่ในถิ่นของอีกฝ่ายแบบนี้ด้วย แต่มลกลับยกคันธนูและแล่งลูกศรให้แต่โดยดี
รากษสนำพวกเขาไปเฝ้าที่ท้องพระโรง ไวยวิกนั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยท่าทีสง่างาม พวกรากษสตนอื่น ๆ หมอบกราบอยู่ที่พื้น รากษสเฝ้ายามนั่นคุกเข่าลงและรายงานเรื่องให้ท้าวไวยวิกฟัง
"ดี"ท้าวไวยวิกตบมือ "นานทีเราจะมีโอกาสรับแขกจากแดนไกล พวกท่านเดินทางมาที่นี่ลำบากหรือไม่"
"เพราะพระบารมีของพระองค์คุ้มเกล้าจึงไม่ลำบากอะไรพระเจ้าค่ะ" มลตอบอย่างไหลลื่น
หากกูณฑ์ไม่เกรงใจว่าที่นี่คนเยอะแล้วล่ะก็ เขาจะบิดหูมลสักที ไม่ลำบากอะไรล่ะ เกือบตาย
ท้าวไวยวิกยิ้ม ท่าทางชอบคำยอของมลอยู่ไม่น้อย "แล้วพวกท่านมามีธุระอะไรหรือ คงไม่ได้คิดอยากมาเที่ยวเมืองของเราเฉย ๆ ใช่หรือไม่"
เด็กทั้งสามมองหน้ากันไปมา บอกกันด้วยสายตาว่าให้อีกคนเป็นคนพูด แม้ตอนนี้ท้าวไวยวิกจะอารมณ์ดีอยู่ แต่ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าพวกเขามาขอเสาค้ำบาดาลมีหวังเป็นเรื่องแน่ ใครจะยอมยกเสาบ้านให้ง่าย ๆ
"ว่าอย่างไรเล่า" ไวยวิกถามย้ำ เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสามไม่ยอมพูดอะไร "ต้องการอะไรบอกเราได้เลยไม่ต้องเกรงใจ เราให้พวกท่านได้ทุกอย่าง"
มลทิ้งตัวลงคุกเข่า กูณฑ์กับเคียวมองหน้ากันไปมา ก่อนจะคุกเข่าตามอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
"ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า พวกกระหม่อมต้องการขอยืมเสาค้ำบาดาลของพระองค์พระเจ้าค่ะ
ทันทีที่มลพูดจบ ทั้งท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบชนิดที่ว่าให้หัวเข็มหมุดตกก็ยังได้ยิน แววตาที่เคยเป็นประกายแจ่มใสของท้าวไวยวิกตอนนี้กลายเป็นสีแดงฉานราวกับจะปล่อยแสงเลเซอร์ออกมาจากดวงตา เด็กทั้งสามหมอบตัวลงต่ำไปอีก หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัว
"พวกท่านว่าอย่างไรนะ" พญารากษสแห่งเมืองบาดาลถามด้วยเสียงเรียบอย่างน่าประหลาด
มลเงยหน้าขึ้น ก่อนจะตอบอย่างฉะฉาน "กระหม่อมต้องหารขอยืมเสาค้ำบาดาลของพระองค์พระเจ้าค่ะ"
"ท่านรู้หรือไม่ว่าเสาค้ำบาดาลมีความสำคัญเพียงใด หากท่านเอาไปแล้ว เราจะใช้สิ่งใดค้ำจุนบาดาลเล่า"
"เท่าที่กระหม่อมรู้ เมืองบาดาลสามารถอยู่ได้โดยไม่มีเสาค้ำเป็นปี อีกประการหนึ่งพวกกระหม่อมแค่ขอยืมเท่านั้น หาได้เอาไปเลยไม่"
ไวยวิกยกนิ้วจดที่ริมฝีปาก เอียงคอเล็กน้อย ราวกับกำลังใช้ความคิด
"พวกท่านกล้าหาญมากที่พูดกับเราเช่นนี้ แต่เราจะยกให้เลยก็ดูอย่างไรอยู่ พวกท่านต้องช่วยเหลือเราบ้างถึงจะถูก"
"บอกมาได้เลย อะไรก็.." กูณฑ์พูดขึ้นตามประสาคนใจร้อน แต่เคียวยกมือปิดปากเจาและส่งสายตาดุใส่
"อย่าพูดมาก" เคียวกระซิบใส่
กูณฑ์พยักหน้าหงึก ๆ บอกเคียวด้วยสายตาว่าเขาจะไม่พูดอะไร เคียวถึงยอมปล่อยมือออกจากปากพร้อมส่ายหน้า กูณฑ์สมเป็นเทพแห่งไฟอวตาร เขาใจร้อนเหมือนไฟ พูดอะไรไม่ค่อยคิด กับนางแมงมุมก็ทีหนึ่งแล้ว
"พระองค์ประสงค์ให้พวกเราทำอะไร โปรดบอก หากทำได้พวกเราจะทำเต็มที่พระเจ้าค่ะ" มลตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
"แม้ว่าเราจะเป็นใหญ่ในเมืองบาดาล แต่ก็เงียบเหงานัก หาได้มีผู้พูดคุยไม่ ตอนนี้เราคิดถึงน้องชายของเราเหลือเกิน หากพวกท่านไปตามน้องชายเรามาได้ เราก็ยินดีมอบเสาบาดาลให้แก่ท่าน"
"ขอเดชะ พระอนุชาของพระองค์เป็นใครและอยู่แห่งหนใดพระเจ้าค่ะ" มลถาม
"น้องของเรามีนามว่ามัจฉานุ ตอนนี้เป็นใหญ่อยู่ที่เมืองมลิวัน"
กูณฑ์หันไปกระซิบถามเคียวว่า "มัจฉานุ นี่ใช่ลิงหางปลา ลูกหนุมานหรือเปล่า ทำไมมาเป็นน้องของไวยวิกได้"
ทว่าคนที่ตอบคำถามกลับไม่ใช่เคียว แต่เป็นผู้ที่ถูกพาดพิง
"ท่านน้าไมยราพรับมัจฉานุเป็นลูกบุญธรรม อีกประการหนึ่งแม่ของมัจฉานุก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเรา เหตุใดเราจะนับว่าเป็นน้องไม่ได้ หนุมานเป็นพ่อของมัจฉานุก็จริง แต่หลังจากที่หนุมานสังหารน้าไมยราพแล้ว วายุบุตรก็ต้องไปทำงานรับใช้พระรามต่อ มัจฉานุก็อยู่ในความดูแลของเรามาตลอด เราเป็นพี่น้องที่สนิทกันกว่าพี่น้องคนไหน แต่ด้วยต่างฝ่ายต่างยุ่งจึงไม่มีเวลาให้กันมากนัก หากพวกท่านเชิญน้องเรามาได้จะถือเป็นบุญคุณยิ่ง"
"พวกเราจะทำให้เต็มที่ครับ" กูณฑ์ว่า
"ก่อนที่พวกท่านจะไป ขอให้เราเลี้ยงอาหารพวกท่านสักมื้อเถิด" พูดจบ ราชาแห่งเมืองบาดาลก็ลุกจากบัลลังก์และกวักมือเรียกให้เด็กทั้งสามตามไป
เมื่อเด็กทั้งสามเข้ามาถึงอีกห้องรับประทานอาหาร พวกเขาก็อดตะลึงกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ มีทั้งเนื้อสัตว์และผลไม้เต็มไปหมด แม้กระทั่งเคียวที่ไม่ต้องใช้อาหารเป็นพลังงานก็อดน้ำลายไหลออกมาไม่ได้
"ฉันอยากกินได้จัง" เคียวร้อง
"เนื้อ" กูณฑ์อุทานออกมา ตั้งแต่มาอยู่ป่าหิมพานต์ เขาแทบไม่ได้กินเนื้อเลย แปลกดีเหมือนกันที่ทำไมเขาถึงไม่ขาดสารอาหารสักที แต่กูณฑ์อยู่ที่นี่นานพอที่จะเรียนรู้ว่ากฎเกณฑ์ของโลกวิทยาศาสตร์ใช้ไม่ได้กับแดนสนธยาแห่งนี้
ไวยไวยวิกผายมือ ท่าทางเขาเหมือนบริกรตามโรงแรมชั้นดีไม่มีผิด
"เชิญทุกท่านตามสบาย"
แม้ไวยวิกจะพูดแบบนั้น แต่กูณฑ์กับมลก็ยังไม่กล้าเริ่มกิน จนกระทั่งอีกฝ่ายเปิดก่อน กูณฑ์และมลจึงเริ่มลงมือรับประทานอาหาร ส่วนเคียวได้แต่มองอย่างอิจฉา
"อร่อยจริง.ๆ" กูณฑ์พูดขณะจัดการเนื้อย่าง "ไม่ทราบว่านี่เนื้ออะไรครับ นุ่มดี ไม่เคยกินมาก่อน"
"เนื้อเสือ" ไวยวิกตอบ
"ท่านหมายถึงเนื้อเสือร้องไห้ใช่ไหมครับ ผมคิดว่ามันจะเหนียวกว่านี้เสียอีก"
ไวยวิกเลิกคิ้ว "เราไม่ได้เป็นคนจับเสือตัวนี้เอง ไม่รู้ว่าหรอกว่ามันร้องไห้หรือเปล่า"
กูณฑ์ที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินวางชิ้นเนื้อที่กำลังจะเอาเข้าปากลง "ท่านไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเนื้อเสือจริง ๆ ใช่ไหมครับ เสือลายพาดกลอนที่ร้องโฮก ๆ"
"แน่นอนว่าเราหมายถึงเสือจริง ท่านคิดว่ามันเป็นเนื้ออะไรกัน"
"ผมคิดว่ามันเป็นเนื้อวัวที่เขาว่ากันว่าเหนียวมากจนเสือกินแล้วจะร้องไห้ เขาถึงเรียกกันว่าเสือร้องไห้นะครับ" กูณฑ์อธิบาย
"ถ้าท่านไม่ชอบเสือก็มีเนื้ออื่นอีก" ไวยวิกชักชวนให้กูณฑ์ลองชิมเนื้ออีกจานหนึ่ง
"รสชาติดี" กูณฑ์ว่า ขณะที่เขาพยายามเคี้ยวเนื้อนั่น ขณะที่เนื้อเสือนุ่มเหมือนจะละลายในปาก เนื้อตัวที่ได้มาใหม่ แม้จะอร่อยไม่แพ้กัน แต่ก็เหนียวอยู่ไม่ใช่น้อย
"เนื้อช้าง" ไวยวิกว่า "ถ้าชอบก็ตามสบาย เรามีอีกเยอะ"
หลังจากที่เคี้ยวจนปวดกราม กูณฑ์ก็ยอมแพ้
"ผมอยากได้เนื้อที่นุ่มกว่านี้หน่อยน่ะครับ" เด็กหนุ่มขอ
เนื้อจานที่สามไม่ได้นุ่มเท่าเนื้อเสือ แต่ก็ไม่ได้เหนียวเท่าเนื้อช้าง อยู่ในระดับกำลังพอเหมาะ กูณฑ์กินเนื้อนั่นไปสองสามชิ้น ก่อนจะเรอออกมา
"ไม่สุภาพเลย" มลพูดอย่างตำหนิ ตัวเขาไม่ได้กินเนื้อสัตว์มากเหมือนกูณฑ์ ส่วนใหญ่จะเลือกกินแต่ผลไม้ มลกินแต่ผลไม้มานานจนชิน เขากลัวว่าถ้ากินเนื้อสัตว์มากไปอาจจะมีผลกระทบต่อการเดินทางได้
"ขอโทษที" กูณฑ์ว่า หน้าแดงเล็กน้อย
ราชาแห่งเมืองบาดาลโบกมือเป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร "เรื่องเล็กน้อย วันนี้เรามากินเลี้ยงกัน อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ท่านจะเอาอะไรอีกไหม"
"ไม่เอาแล้วครับ" กูณฑ์พูดเก้อ ๆ แต่สายตายังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่จานอาหาร มีอาหารน่ากินอีกตั้งหลายอย่าง ลิ้นของเขายังต้องการรับรสต่อ แต่กระเพาะครวญครางว่าไม่ไหวแล้ว ขืนใส่เข้ามาอีก มันจะประท้วงโดยการขย้อนของเก่าออกมา
"ไม่ต้องเกรงใจ" ไวยวิกพูดชวน
"ไม่ล่ะครับ" กูณฑ์ยืนยัน แค่เรอก็น่าเกลียดพอแล้ว ถ้าให้อาเจียนออกมาด้วย เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน "ว่าแต่นี่มันเนื้ออะไรครับ"
"เนื้อหมี"
"อิ่มหมีพีมันของแท้เลย" เคียวว่า
ทั้งกูณฑ์และมลยิ้มแหย ๆ ให้กัน กูณฑ์คิดว่าเป็นมุกที่เชยมาก แต่เขาก็หัวเราะน้อย ๆ เพื่อไม่ให้ยอดรักเสียกำลังใจ แต่มลไม่สนใจจะรักษาน้ำใจ เขาเบะปากให้ ตรงกันข้ามกับไวยวิกที่หัวเราะเสียงดังลั่น พลางตบมือไปด้วย
"เยี่ยมยอดมาก มีอารมณ์ขันล้นเหลือ"
เสียงหัวเราะเปรียบเหมือนโรคติดต่อ เด็กทั้งสามหัวเราะตามไปด้วย กว่าจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาพักใหญ่
"ขอบพระทัยพระองค์มากที่ให้การต้อนรับ" มลว่า "เราจะออกเดินทางกันแล้ว"
ไวยวิกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางมีเลศนัย "ขอให้พวกท่านโชคดี"