ถ้าไวยวิกเบื่อชีวิตการเป็นเจ้าเมืองบาดาลและอยากเปลี่ยนอาชีพ กูณฑ์ขอแนะนำว่าอย่าให้เขาเป็นหมอดูเด็ดขาด เพราะคำพูดของเขาไม่ศักดิ์สิทธิ์สักนิด แม้พญารากษสจะอวยพรให้พวกเขาโชคดี แต่ก็เป็นดังปากว่าไม่ เมื่อเด็กทั้งสามกลับมาริมทะเลสาบ ฝนก็เริ่มตกลงมา ตอนแรกกูณฑ์ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาไม่ใช่เด็กผิวบางที่โดนฝนไม่ได้หรอกนะ แต่มลกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับกลุ้มใจเสียเต็มประดา มันก็แค่ฝนนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องเครียดขนาดนั้น
"รีบไปกันเถอะ" กูณฑ์ว่า
"ข้าไม่คิดว่าฝนจะมาเร็วขนาดนี้" มลว่า
"ก็แค่ฝนนิดหน่อยเอง ทำตัวเป็นคุณหนูผิวบางไปได้" กูณฑ์ประชด
"ฝนที่หิมพานต์ไม่เคยเป็นฝนนิดหน่อย มันจะตกหนักจนท่วมโลก" มลว่า
"ล้อเล่นน่า" กูณฑ์พูดเสียงกลั้วหัวเราะ แต่เมื่อเขาเห็นแววตาจริงจังของเพื่อนก็พูดเสียงอ่อย "คงไม่แย่ขนาดนั้นหรอก"
"เราเหาะไปดีกว่า น้ำมันมาเร็วมากนะ" มลว่า พอพูดจบวิทยาธรก็เหาะขึ้นไปจริง ๆ ทิ้งให้กูณฑ์กับเคียวเงยหน้ามองตาม
"ไอ้เด็กบ้า" กูณฑ์สบถ ไม่รู้ว่าลืมจริงหรือจงใจแกล้ง กูณฑ์เหาะไม่ได้สักหน่อย ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ท่วมมาถึงข้อเท้าแล้ว แล้วถ้ายังตกแบบนี้ต่อไป มีหวังเขาได้ลอยคอแน่
"ไปกับฉัน" เคียวว่า เขากอดกูณฑ์ไว้ ก่อนจะรวบรวมพลังเหาะขึ้นไปกลางอากาศและตามมลไปติด ๆ
"ไม่รอกันเลยนะ" กูณฑ์ต่อว่า เมื่อพวกเขาตามมาทัน
มลไม่ตอบ เขายังเหาะไปข้างหน้า ไม่มีเวลาคุยกัน พวกเขาต้องขึ้นที่สูงกว่านี้
"มองอะไรไม่เห็นเลย" กูณฑ์ว่า ตอนนี้ข้างหน้ามีแต่สายฝนเต็มไปหมด ตอนที่มลบอกว่าฝนจะตกหนักจนท่วมโลก เด็กหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายพูดเวอร์ ๆ ไปอย่างนั้นเอง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเป็นความจริง ฝนอะไรอย่างนี้
เคียวหรี่ตามอง "บนยอดเขานั่นมีถ้ำ"
"งั้นรีบไปกันเลย" กูณฑ์ว่า "เราฝ่าฝนต่อไปไม่ไหวหรอก"
เคียวพากูณฑ์ไปที่ถ้ำ แต่เคียวเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่ง ถ้ำไม่ได้อยู่บนยอดเขา เขานี้สูงเกินกว่าที่เคียวจะเหาะขึ้นไปบนยอดเขาได้ แต่ทั้งเคียวและกูณฑ์ก็นึกขอบคุณที่มีหลังคาคุ้มหัว
"พวกเจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้" มลที่ตามมาทีหลังตำหนิ ความจริงเขาเหาะขึ้นไปข้างบนแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองยังไม่ตามมาจึงย้อนกลับมาดู แล้วก็ต้องโกรธ เมื่อเห็นว่าทั้งสองนอนเอกเขนกอยู่ตามสบาย ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นห่วงแทบแย่
"เรามีถ้ำแล้ว" กูณฑ์ว่า "พักที่นี่สักพักเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว"
"แค่เกาะเขามายังเหนื่อยอีกนะ" มลประชด
กูณฑ์ผุดลุกขึ้นนั่ง "ฝนก็ตกขนาดนี้ นายจะรีบไปไหนไม่ทราบ ดูมลสิ เขาแทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว"
"เพราะฝนตกนี่แหละ เราถึงต้องรีบไป" มลพูดอย่างร้อนรน เขามองไปรอบ ๆ อย่างระแวง "ถ้าน้ำท่วมขึ้นมาจะว่าอย่างไร"
กูณฑ์ยักไหล่ "มันคงไม่ท่วมมาถึงตรงนี้หรอก เราอยู่สูงน่าดู"
มลลังเล แต่เขาก็ไม่โต้เถียงอะไรอีก เขาเองก็เริ่มเหนื่อยแล้วเหมือนกัน
ถ้ามลหนักแน่นกว่านี้อีกนิดก็คงดี เพราะเมื่อพวกเขาวางใจนั่งนอนกันตามสบาย น้ำก็เข้ามาในถ้ำ มันเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าที่เด็กทั้งสามจะต้านเอาไว้ทัน
"จับมือฉันไว้" กูณฑ์ว่า เขายื่นมือไปหาเคียว
ภูตหนังสือยื่นมือมาจับเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น กระแสน้ำที่รุนแรงพยายามพรากทั้งสองออกจากกัน แต่เคียวไม่ยอม เขาใช้ความสามารถมือยืดได้สารพัดประโยชน์ของเขาจับมือกูณฑ์เอาไว้แน่น เคียวยังอ่อนเพลียเกินกว่าจะเหาะ แต่ก็ยังพอลอยตัวไปเรื่อย ๆ ได้ ตอนนี้เด็กทั้งสองไม่รู้ว่ามลไปไหน พวกเขาได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายปลอดภัย
กูณฑ์พยายามประคองมลว่ายน้ำไปเรื่อย ๆ แต่ก็กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ทำเอาเขาแทบหมดแรง สวรรค์ ถ้าท่านมีจริง โปรดส่งอะไรมาช่วยเราด้วยเถอะ สิ้นคำอธิษฐาน กูณฑ์ก็พบสิ่งที่เขาไม่คาดฝัน
"เต่าเรือน" เขาอุทานออกมาด้วยความดีใจ และใช้แรงเฮือกสุดท้าย ว่ายไปหาเต่ายักษ์
ร่างอวตารของเทพอัคนีปีนขึ้นบนหลังเต่า และช่วยฉุดเคียวให้ขึ้นมาด้วย ขอบคุณสวรรค์ที่เขามาเจอเต่าเรือนใจดี ตอนนี้เขาคงรอดแล้ว
"นายคิดว่าเราจะปลอดภัยเหรอ" เคียวถาม แม้พวกเขาจะขึ้นมาอยู่บนเต่าแล้ว แต่ภูตหนังสือก็ยังระแวงอยู่ดี
"ร้อยเปอร์เซ็นต์" กูณฑ์ว่าอย่างมั่นใจ ใช้เล็บเคาะกระดองเต่าเบา ๆ "นี่เต่าเรือนใจดีเชียวนะ ที่มลบอกว่าฟังภาษามนุษย์ออกน่ะ เดี๋ยวเขาก็จะพาเราไปที่ปลอดภัยเองแหละ"
เคียวก้มลงมองเต่า "ฉันไม่แน่ใจนะ มลบอกว่าเต่าเรือนกระดองมันจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่เต่าตัวนี้ดูยังไงกระดองมันก็กลมชัด ๆ"
กูณฑ์ชกเพื่อนหยอก ๆ ทีนึง "อาจจะคนละพันธุ์กันก็ได้ แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร"
ทันทีที่กูณฑ์พูดจบ หัวของสัตว์ที่เด็กหนุ่มคิดว่าเป็นเต่าเรือนก็เหลียวมาข้างหลัง ก่อนจะอ้าปากกว้างเผยให้เห็นฟันอันคมกริบ
"มลบอกว่าเต่าเรือนมันกินพืชไม่ใช่เหรอ" กูณฑ์ถาม แล้วไหงเจ้าตัวนี้ถึงมีฟันน่ากลัวขนาดนั้นล่ะ ถ้าเผลอสักนิด ฟันคม ๆ ของมันคงฉีกกระชากเขาแน่
"ฉันบอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่เต่าเรือน" เคียวโวยวาย
เด็กทั้งสองพยายามถอยหนี เต่าปีศาจก็พยายามยื่นหัวมาจะกัดพวกเขาให้ได้ โชคของเด็กทั้งสองยังดีอยู่บ้างที่หัวเต่าสั้นเกินกว่าจะงับได้ถนัด แต่พวกเขาก็โชคร้ายเพราะเจ้าตัวนี้ไม่ใช่เต่าธรรมดา มันฉลาดกว่านั้นเยอะ เมื่อมันเห็นว่าไม่สามารถงับมนุษย์แสนอร่อยเข้าปากได้ถ้าเจ้าตัวน่ารำคาญยังเกาะหลังอยู่ก็ตัดสินใจดำน้ำทำให้เด็กทั้งสองหลุดออกจากหลังมัน หลังจากนั้นก็พยายามว่ายงับ ตั้งใจจะเอาอาหารอันโอฉาเข้าปากให้ได้ ฝ่ายเคียวและกูณฑ์ก็ว่ายน้ำกันอย่างไม่คิดชีวิต เต่าเดินบนบกช้าก็จริง แต่ว่ายน้ำได้เร็วมาก เมื่อจวนเจียนจะเข้าไปอยู่ในปากของเต่าอยู่แล้ว อยู่ ๆ เจ้าเต่าก็ชะงัก กูณฑ์หันไปมองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และก็ต้องพบว่าเจ้าเต่านอนหงายหลังอยู่ มีธนูปักอยู่ที่หัว
มลเหาะเข้ามาใกล้เพื่อนทั้งสอง ขอบคุณสวรรค์ที่เขามาทันพอดี ไม่อย่างนั้นเพื่อนเขาคงกลายเป็นอาหารเต่าไปแล้ว
"โอ๊ย! มล" กูณฑ์ร้องอย่างยินดี "นายช่วยชีวิตพวกเราไว้ ถ้าฉันพูดอะไรไม่ดีอีกล่ะก็.."
"ข้าก็จะรู้ว่าเจ้ากลับเป็นปกติแล้วอย่างไร" มลว่า
"แล้วนายจะช่วยฉุดพวกเราขึ้นไปไหม" กูณฑ์ถาม เขาลอยอยู่ในน้ำจนตัวจะเปื่อยอยู่แล้ว
มลส่ายหน้า "ข้าช่วยฉุดไม่ไหวหรอก เจ้าตัวหนักอย่างกับหิน"
"แต่ฉันจะเปื่อยอยู่แล้วนะ" กูณฑ์โวยวาย
มลชี้ไปที่ซากเต่าที่ลอยเท้งเต้งอยู่ "เจ้าก็ปีนขึ้นไปบนนั้นสิ"
กูณฑ์ทำหน้าเบ้ แต่ก็ยอมปีนขึ้นไปบนหลังเต่าแต่โดยดี พอตั้งหลักได้แล้วเขาก็ยื่นมือไปหาเคียว ในที่สุดเด็กทั้งสองก็ขึ้นมาบนหลังเต่าอีกครั้ง มลก็ลงมารวมกลุ่มกับพวกเขาด้วย
"แล้วเอาไงต่อ" กูณฑ์ถาม
"เราก็จะนั่งเจ้าตัวนี้ไป" มลว่า เขาวางท่าสบายเหมือนกับมาพักร้อน
กูณฑ์ขมวดคิ้ว "จะไปยังไงไม่ทราบ"
มลไม่ตอบ แต่กลับหยิบธนูขึ้นมา เขาเล็งไปที่ไหนก็ไม่ทราบ เด็กทั้งสองได้แต่เงยหน้ามอง เวลาผ่านไปนานเพียงใดก็ไม่ทราบ อากาศที่ขมุกขมัวยากที่จะเดาเวลาได้แจ่มชัด กูณฑ์มั่นใจว่าต้องไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง เขาไม่เข้าใจว่ามลทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร มีศัตรูอยู่ตรงนั้นหรือ ถ้าหากมีจริง พวกเขาควรเผ่นไปให้ไกลที่สุดหรือเปล่า ไม่ใช่มาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่แบบนี้ กูณฑ์เริ่มขยับตัวขยุกขยิก อาศัยแต่มือของเคียวที่กุมเขาไว้เท่านั้นที่ยับยั้งไม่ให้เขาทำอะไรบ้า ๆ ในที่สุดสิ่งที่มลรอคอยก็มาถึง ลูกศรนั้นย้อนกลับมาพร้อมกิ่งไม้ขนาดเหมาะ
"ข้าจะใช้สิ่งนี้ทำเป็นไม้พาย"
ฟังดูดี "แต่ไม้พายต้องมีเป็นคู่ไม่ใช่เหรอ" กูณฑ์ค้าน
"งั้นข้ายิงอีกรอบก็ได้" มลตั้งหลักจะยิง แต่กูณฑ์จับแขนเขาไว้
"ไม่เอาแล้วนะ ไม่รู้ต้องรออีกเท่าไหร่"
มลถอนหายใจ เขาจัดการดึงสายของคันธนูออก เสร็จแล้วก็ดัดคันศรที่เคยโค้งงอให้เหยียดตรง
"งั้นข้าจะใช้ไม้นี้แทนไม้พายก็แล้วกัน"
กูณฑ์ขมวดคิ้ว "นายเอาธนูมาทำเป็นไม้พาย แล้วถ้าเราโดนโจมตี จะทำยังไง"ธนูของมลถือเป็นอาวุธสำคัญที่สุดของพวกเขา เป็นอาวุธที่พึ่งพาได้ทุกสถานการณ์ จะมาหวังพึ่งพลังไฟที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของกูณฑ์ก็คงไม่ไหว
มลยักไหล่ "ก็คิดเสียว่าจะไม่มีใครโจมตีเราก็แล้วกัน"
กูณฑ์และเคียวมองหน้ากันและถอนหายใจ ไหงพูดแบบนี้เนี่ย
มลพายเรือ เอ่อ เต่าเก่งพอใช้ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป ไม่มีการพายวนไปมา เขารุดไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
"ให้ฉันเปลี่ยนบ้างไหม" กูณฑ์เสนอตัว ความจริงเขาไม่ได้อยากพายเท่าไหร่หรอก นั่งมองหน้าเคียวสบายตากว่าตั้งเยอะ แต่เขาก็ไม่อยากเอาเปรียบเพื่อน
"ไม่ต้องหรอก" มลปฏิเสธ เขายังคงพายต่อไป
ใช้เวลาสักพัก พวกเขาก็มาถึงฝั่ง
"ขอบคุณสวรรค์" กูณฑ์ร้อง
เด็กทั้งสามพากันขึ้นฝั่ง ถึงจะอยู่บนบกแล้ว แต่พวกเขาหลงทิศหลงทางกันกว่าที่อยู่กลางน้ำเสียอีก มองไปที่ไหนก็มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด
"แล้วเมืองของมัจฉานุอยู่ตรงไหน" เคียวถาม
มลยักไหล่ "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน"
"อ้าว แล้วที่นายพายมานี่ไม่ได้รู้ทางเหรอ" กูณฑ์ร้อง
"ข้าแค่อยากจะพายมาให้ขึ้นบกเท่านั้นแหละ แต่จะไปอย่างไรต่อ ก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว" มลพยักพเยิดไปทางเคียว
ภูตหนังสือที่อยู่ ๆ ก็โดนโยนงานมาให้ชี้ที่อกตัวเอง ทำหน้าเหลอหลา
"ฉันนี่นะ" เคียวถามย้ำ ไม่แน่ใจว่าเขาหูฝาดไปหรือเปล่า ภูตที่แทบไม่ได้ออกไปไหนเลยอย่างเขาจะรู้ทางไปเมืองของมัจฉานุได้ยังไง ถึงเขาจะเคยอ่านรามเกียรติ์มาก็เถอะ แต่หนังสือไม่ได้มีแผนที่ประกอบสักหน่อย ใครมันจะไปรู้ว่าเมืองไหนอยู่ที่ไหน
"ก็เจ้าเป็นภูตหนังสือไม่ใช่หรือ" มลย้อน
เคียวยกมือเกาหัว "คืองี้นะ" เขาพยายามอธิบาย "ถึงฉันจะเป็นภูตก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ไปทุกเรื่อง"
มลถอนหายใจ "ข้ารู้"
"อ้าว แล้ว…"
"แต่เจ้าถามพวกที่อยู่ภพเดียวกับเจ้าได้ พวกพรายน้ำ พรายไม้ที่อยู่ที่นี่ พวกเขาต้องรู้แน่"
เคียวมีสีหน้าสดใสขึ้นมาทันที
"จัดไป"