webnovel

จากลา

"ความจริงเรื่องของมลก็น่าเห็นใจอยู่หรอกนะครับ เจ้าตา" กูณฑ์เริ่ม "แต่ผมไม่เข้าใจเลยว่าผมกับเคียวจะช่วยอะไรได้"

"พวกเจ้าต้องออกเดินทางไปทำภารกิจด้วยกัน ภารกิจที่จะช่วยให้มลคืนฐานันดรเดิม และช่วยพ่อแม่ของเขา"

"ข้าไม่ไป" มลปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขากระตือรือร้นอยากไปเองด้วยซ้ำ แต่เขาจะไปได้อย่างไร เมื่ออุสายังไม่สบายอยู่แบบนี้

"มันถึงเวลาที่เจ้าต้องไปแล้ว มล" ฤๅษีพูดอย่างเมตตา "เจ้าจะอยู่ในป่าตลอดชีวิตไม่ได้ เจ้ามีบ้านเมือง มีประชาชนให้กลับไปดูแล"

"หากข้าดูแลอุสาไม่ได้ ข้าก็ไม่คู่ควรจะดูแลใครทั้งนั้น" มลประกาศกร้าว

"เจ้าไปครั้งนี้ ก็เพื่อตัวนางเอง ข้าเองก็แก่แล้ว จะอยู่ดูนางตลอดไปก็คงไม่ได้ แล้วนางเองก็ไม่คู่ควรมาอยู่ในป่าแบบนี้ด้วย นางควรจะได้เข้าเมือง แล้วเจ้านั่นแหละที่จะไปหาลาภมาให้นาง"

"หาลาภ" เจ้าชายไร้บัลลังก์หัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน "ตัวข้าเองยังเอาตัวไม่รอดเลย จะไปหาลาภที่ไหนมาให้นางได้"

"ตอนนี้อัครเดชประกาศยกบัลลังก์กึ่งหนึ่งให้ผู้ที่สามารถหาวิธีให้แมงสี่หูห้าตามีลูกตามธรรมชาติได้"

"เจ้าตาคิดว่าคนกลับกลอกอย่างอัครเดชจะรักษาสัจจะหรือ" มลพูดอย่างไม่เชื่อถือ "แล้วต่อให้เขารักษาสัจจะจริง ข้าก็ไม่มีปัญญาทำหรอก บรรพชนของข้าพยายามกันไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ไม่เคยสำเร็จ ข้าจะไปทำได้อย่างไร"

วโรดมยิ้มที่มุมปาก "ถ้าลำพังเจ้าคนเดียวก็ทำไม่ได้หรอก แต่หากได้ความช่วยเหลือจากมนุษย์และภูต เจ้าต้องทำได้แน่"

"เดี๋ยวก่อนนะครับ เจ้าตา" กูณฑ์ท้วง "ผมเพิ่งรู้จักแมงสี่หูห้าตาวันนี้ด้วยซ้ำ ผมจะไปช่วยอะไรได้"

"สิ่งที่พวกเจ้าต้องตามหาคือตัวแทนของธาตุทั้งสี่ ประกอบด้วยมะม่วงทอง โสมคน เสาค้ำบาดาลของราชาไวยวิกและคบเพลิงของเทพอัคนี"

กูณฑ์นิ่วหน้า "เจ้าตาพูดเหมือนมันหาง่ายมากเลย"

"ไม่มีอะไรง่าย มะม่วงทองเป็นของนางเวมานิกเปรต เจ้าต้องระวังให้ดี ห้ามหลงไปกับรูปโฉมของนางเด็ดขาด" ฤๅษีพูดอย่างจริงจัง

แม้ว่ากูณฑ์จะหวั่นเกรงกับภารกิจนี้เพียงใดก็อดหัวเราะไม่ได้

"เจ้าตาครับ ใครจะไปหลงในรูปโฉมของเปรตได้" เด็กหนุ่มค้าน

กูณฑ์เองก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่รู้จักเปรตแค่เพียงประเภทเดียว คือเปรตที่ตัวสูงเหมือนต้นตาล มือใหญ่เท่าใบลานและปากเล็กเท่ารูเข็ม แค่จินตนาการภาพก็อยากจะหนีไปไกล ๆ  แล้ว ใครจะไปหลงลง

ฤๅษียิ้ม "เปรตมีหลายประเภท นางเวมานิกเปรตนั้นเคยทำทั้งบาปกรรมและกุศล ดังนั้นพวกนางจึงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต ยามที่นางรับกรรมชั่ว นางก็เป็นเปรตรูปร่างน่าเกลียด ทนทุกข์เวทนา ร้องโหยหวน น่าสงสารนัก แต่เมื่อยามกรรมดีให้ผล พวกนางก็งดงามราวเทพธิดา เสวยสมบัติทิพย์ต่าง ๆ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะเดินทางไปถึงตอนไหน ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี"

กูณฑ์พยักหน้า "ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าผมจะช่วยอะไรได้"

ฤๅษีไม่ตอบ แต่เลือกจะอธิบายต่อ "โสมคนมีอยู่ทั้งหมดสี่ชนิด เรียกอีกอย่างว่าต้นยาสี่วิสุทธิ์ พวกมันอยู่ใต้ดินบริเวณภูเขาสรรพยาซึ่งเป็นภูเขาหนึ่งในแนวเขาจุฬกาล ภูเขาสรรพยานี้ไม่มีภูตผีใด ๆ อยู่"

กูณฑ์ถอนหายใจ "ค่อยยังชั่วหน่อย งั้นคงหาง่ายสินะครับ"

ครั้งนี้มลเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง "มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ต้นยาสี่วิสุทธิ์สามารถเคลื่อนไหวใต้ดินได้ ทั้งยังว่องไว หาตัวจับยาก ต้องใช้เวทมนตร์ของวิทยาธรจับ"

"อย่างนี้ก็ยิ่งง่ายใหญ่" กูณฑ์ว่า "นายก็เป็นวิทยาธรอยู่แล้วนี่"

มลหันไปมองหน้ากูณฑ์ คนเราจะซื่อบื้อได้ขนาดไหนกันนะ

"เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าข้าแทบไม่ได้เรียนวิชาอะไรของพวกวิทยาธรเลย"

กูณฑ์หน้าม่อย "งั้นแสดงว่านายไม่รู้วิธีจับ"

"ก็พอรู้" มลตอบแบ่งรับแบ่งสู้

"อ้าว! แล้วจะพูดให้ใจแป้วทำไม" กูณฑ์พูดอย่างโล่งใจ

"พ่อเคยสอนข้ามาบ้าง แต่ข้าไม่เคยลองทำจริง ๆ ข้าไม่ค่อยแน่ใจ"

กูณฑ์ตบบ่าให้กำลังใจเด็กอายุน้อยกว่า "นายทำได้อยู่แล้ว มั่นใจหน่อย"

"สิ่งที่เจ้าต้องตามหาต่อไปก็คือเสาค้ำบาดาลของราชาไวยวิก" ฤๅษีพูดต่อ

"ไวยวิกที่ว่านี่ใช่คนเดียวกับที่เป็นหลานไมยราพหรือเปล่าขอรับ" เคียวที่ฟังอยู่นานถามขึ้นมาบ้าง

"ใช่แล้ว เป็นรากษสตนเดียวกัน"

กูณฑ์หน้าซีดทันทีที่ได้ยินคำว่ารากษส เขารอดมาได้อย่างหวุดหวิดเจียนตัวเต็มที

"ไม่เข้าท่ามั้งครับ ผมไม่อยากเจอพวกรากษสอีกแล้ว"

"เจ้าจะเอาคนคนเดียวไปตัดสินทั้งเผ่าพันธุ์ไม่ได้หรอก ไวยวิกนี้เป็นรากษสที่ดี เขาเป็นผู้รับใช้นารายณ์อวตาร เขาจะไม่ทำอันตรายอะไรเจ้าหรอก"

"เจ้าตาขอรับ" มลพูดขึ้นมาบ้าง "ข้าไม่ได้รู้จักไวยวิก แต่เท่าที่ข้ารู้ เสาค้ำบาดาลเป็นเสาที่ค้ำเอาไว้ไม่ให้เมืองบาดาลล่ม แล้วไวยวิกจะยอมยกให้เราง่าย ๆ หรือขอรับ"

"ข้าก็ไม่ได้บอกว่ามันง่ายนี่" เจ้าตาตอบกลับ

ถ้ากูณฑ์ไม่เกรงใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีบุญคุณแล้วล่ะก็ เขาคงโต้กลับไปแล้ว

"แล้วอีกอย่างนี่อะไรนะครับ" กูณฑ์ถาม

"คบเพลิงของเทพอัคนี สิ่งนี้น่าจะหาได้ง่ายที่สุด" ฤๅษีว่า มองกูณฑ์อย่างแฝงความหมาย

หนึ่งภูตหนึ่งวิทยาธรหันมาจ้องเด็กหนุ่มหัวไฟพร้อมกันจนเขาเริ่มรู้สึกอึดอัด

"เจ้าตาครับ ถึงผมจะเป็นร่างอวตารของเทพอัคนี แต่ผมก็ไม่รู้ว่าคบเพลิงอยู่ไหนหรอกนะครับ" กูณฑ์โอดครวญ

"เจ้าต้องทำพิธีบำเพ็ญตบะขอคบเพลิงนั้นมาให้ได้"

"บำเพ็ญตบะ" กูณฑ์อุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อหู "ผมทำเป็นที่ไหนล่ะครับ"

วโรดมมองเขาอย่างเมตตา "มันไม่ได้ยากอย่างที่เจ้าคิดหรอก"

เด็กหนุ่มนิ่วหน้า ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่

"เจ้าจะหามันเป็นสิ่งสุดท้าย ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลไป อันดับแรกพวกเจ้าต้องไปหาเสาค้ำบาดาลก่อน"

"แล้วเสาค้ำบาดาลมันอยู่ไหนล่ะครับ" กูณฑ์ถาม

วโรดมชี้นิ้วลงพื้นแทนคำตอบ

ร่างอวตารของเทพอัคนีก้มลงดูอย่างพาซื่อ "ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ"

ฤๅษีถอนหายใจ "ข้าหมายถึงเสาค้ำบาดาลก็ต้องอยู่ที่เมืองบาดาลน่ะสิ"

"แล้วพวกเราจะไปเอามาได้ยังไง"

"พวกเจ้าต้องข้ามแม่น้ำตรงนั้นไป" ฤๅษีชี้ทางให้ "เสร็จแล้วก็เดินไปทางตะวันออกจะพบทะเลสาบดอกบัว พวกเจ้าต้องหักก้านดอกบัวแล้วลอดเข้าไป"

ยิ่งฟัง กูณฑ์ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้

"พวกเราตัวโตออกขนาดนี้จะลอดก้านบัวได้ไง"

"ได้สิ เพราะก้านบัวพวกนี้จะใหญ่กว่าปกติอยู่แล้ว พวกเจ้าลอดได้สบายมาก แต่หลังจากนั้นนี่สิ.." ผู้อาวุโสทิ้งท้ายได้อย่างชวนขนลุก

"เอาก็เอา" กูณฑ์ว่า ยังไงเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่แล้ว รีบทำให้เสร็จ ๆ ไปจะได้กลับไปหาพ่อกับแม่สักที

"แล้วเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ครับ" เคียวถาม

แต่ยังไม่ทันที่ฤๅษีจะตอบ เสียงแจ้ว ๆ ของอุสาก็ดังขึ้น เธอเบื่อที่จะนอนแกร่วอยู่บนที่นอนจึงมาร่วมวงสนทนาด้วย

"ใครจะออกเดินทางไปไหนหรือเจ้าคะ"

"เจ้าพี่ของเจ้าและสหายของเขาจะออกเดินทางไปทำภารกิตเพื่อกอบกู้บ้านเมือง" วโรดมอธิบายอย่างใจเย็น

ลูกสาวฤๅษีกรีดร้อง ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดมลไว้แน่น

"ไม่นะ เจ้าพี่ ข้าไม่ให้ไป เจ้าพี่ไปแล้วข้าจะอยู่กับใคร"

ฤๅษีกระแอม แต่อุสายังไม่สนใจ

"เจ้าพี่อย่าไปเลยนะเจ้าคะ บ้านเมืองมีอะไรดีกัน อยู่กับข้าดีกว่าตั้งเยอะ"

มลพยายามผลักเธอออก

"ข้าเองก็ไม่ได้อยากไปหรอก แต่ข้าเป็นห่วงท่านพ่อท่านแม่"

"งั้นพาข้าไปด้วยสิเจ้าคะ รับรองว่าข้าช่วยเจ้าพี่ได้แน่"

มลหันไปทางผู้เป็นอาจารย์เพื่อขอความช่วยเหลือ

"อุสา มานี่" ฤๅษีเรียก

"พาข้าไปด้วยนะเจ้าคะ"

"มานี่เดี๋ยวนี้" ผู้เป็นพ่อพูดด้วยระดับเสียงที่ดังขึ้นเพียงเล็กน้อย ทว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาอุสาไม่เคยโดนขึ้นเสียงใส่มาก่อน เธอจึงร้องไห้โฮ

"เจ้าตาใจร้าย เจ้าพี่ใจร้าย ไม่มีใครรักข้าแล้ว"

ฤๅษีถอนหายใจ ก่อนจะค่อย ๆ ดึงตัวอุสาออกจากลูกศิษย์ ก่อนจะกอดปลอบประโลมเธออยู่นาน ตั้งแต่อุสาเริ่มโตเป็นสาว เขาก็ไม่ค่อยกอดลูกคนนี้อีก ด้วยเกรงว่าจะดูไม่เหมาะสม

"อย่าร้องไห้เลย พี่ของเจ้าจะไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นถึงจะพาเจ้าไปด้วยได้ ออกจากเขตอาศรมนี้ไปก็จะมีอันตรายรอบด้าน เจ้าไปด้วย มลเขาก็ห่วงหน้าห่วงหลังเปล่า ๆ"

"แล้วเจ้าพี่จะกลับมาไหม"อุสาถาม ยังคงสะอื้นอยู่

"พี่ของเจ้าต้องกลับมาแน่นอน" ฤๅษีว่า "เขาจะมารับเจ้าเข้าวัง เจ้าจะได้อยู่สุขสบาย ไม่ต้องมาลำบากแบบนี้อีก"

"เจ้าตาก็ต้องไปกับข้าด้วยนะเจ้าคะ" อุสาว่า

วโรดมยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร

"พี่สัญญาว่าจะกลับมาแน่" มลพูดอย่างหนักแน่น เขาเรียกแทนตัวเองว่าพี่แทนที่จะเป็นข้าอย่างปกติ "พี่ไม่มีวันรักใครมากกว่าเจ้า พี่สัญญา"

อุสายิ้มออกมาได้ "เจ้าพี่ห้ามลืมข้านะเจ้าคะ"

มลหัวเราะ "ใครจะลืมเจ้าได้"

หลังจากร่ำลากันอยู่สักครู่ ทั้งสามก็พร้อมจะออกเดินทาง ฤๅษีเสกเวทบางอย่างให้หนังสือของเคียวเพื่อให้มันคงทนมากขึ้น และมอบลูกอมให้มล

"เก็บไว้ มันจะมีประโยชน์สำหรับเจ้า"

กูณฑ์ชำเลืองมองอย่างสงสัย "อะไรน่ะครับ"

"ลูกอมปรอท" มลตอบ

กูณฑ์ขมวดคิ้ว "ปรอทมันเป็นพิษไม่ใช่เหรอ"

ฤๅษียิ้ม "ลูกอมนี้ไม่อันตรายหรอก อมไว้ในปาก แล้วจะเหาะเหินเดินอากาศได้"

"ผมขอบ้างสิ" เด็กหนุ่มหัวไฟแบมือ "เจ้าตาอย่าลำเอียงสิครับ"

ผู้อาวุโสกว่ามีท่าทีอึดอัด "เจ้าจะใช้เป็นหรือ"

"นะครับ" กูณฑ์อ้อน

"เอาอย่างนั้นก็ได้" ฤๅษีหันไปทางมล "เอาไว้เขาลองอมดูก่อนสิ"

มลยื่นให้กูณฑ์ เด็กหนุ่มรับไว้และรีบเอาเข้าปาก ทันใดนั้นเอง เขาก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ

"เหวอ!" กูณฑ์อุทาน แต่ไม่นานก็ปรับตัวได้ เขาเหาะอย่างสนุก โฉบเฉี่ยวไปมา

"ฉันเหาะได้แล้ว" กูณฑ์พูดโอ้อวด ก่อนจะหัวเราะอย่างมีความสุข แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะลูกอมวิเศษเลื่อนหลุดลงคอทำเอาเขาสำลัก แล้วค่อย ๆ ร่วงหล่น

"กูณฑ์" เคียวร้อง ก่อนจะพาร่างของเขาลอยขึ้นไปรับกูณฑ์ไว้ และค่อย ๆ ประคองอีกฝ่ายให้ลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล

"เกือบไปแล้วไหมล่ะ" เคียวดุ "ใครใช้หัวเราะตอนอมลูกอมอยู่กัน"

กูณฑ์ไม่ตอบ เขาวุ่นอยู่กับการพยายามการพยายามเอาลูกอมออกจากคอ ในที่สุดมันก็ออกมาได้

มลหยิบลูกอมขึ้นมา แล้วเช็ดกับปลายโจงกระเบน ทำหน้าเบ้ใส่ บ่นพึมพำเรื่องคนไม่รู้จักรักษาของ

"โทษที" กูณฑ์พูดเก้อ ๆ

"จะเอาไหมล่ะ" ฤๅษีถามยิ้ม ๆ

"ผมคิดว่าผมชอบให้เท้าติดพื้นมากกว่าครับ" กูณฑ์ตอบ

ทุกคนหัวเราะขึ้นมา ฤๅษีอวยพรให้พวกเขาโชคดีและสามสหายก็เริ่มออกเดินทาง