webnovel

ความพยายามอยู่ที่นี่ ความสำเร็จอยู่ที่ไหน

ระหว่างที่วาเรศและเจ้าหน้าที่กำลังระดมกำลังค้นหาภาคพื้นดินอย่างเต็มที่ ยังมีอีกคนหนึ่งที่เหนื่อยไม่แพ้กันหรืออาจจะเหนื่อยกว่าด้วยซ้ำ คนคนนั้น(ภูตตนนั้น)ก็คือเคียว ทันทีที่เคียวเห็นว่ากูณฑ์หลงกลปีศาจสัตว์แสนเจ้าเล่ห์

 ปีศาจอรหันที่แม้ชื่อจะสะกดใกล้เคียงกับพระอริยบุคคลอันน่าเคารพ แต่พอ ต์ หายไป ความหมายก็เปลี่ยนไปชนิดคนละโยชน์ อรหันคือสัตว์หน้าคน อรหันนี้มีหลายประเภท ทั้งหมา นก ปลา เต่า นอกจากใบหน้าที่เป็นคนแล้ว จากส่วนคอลงไปเป็นสัตว์ทั้งหมด แล้วมันก็ใช้หน้าและความสามารถในการพูดได้ของมนุษย์มาหลอกล่อให้คนไปเป็นเหยื่อของมัน แล้วกูณฑ์ก็ตกหลุมพรางของมันโดยไม่รู้ตัว

เคียวไม่เคยชอบการเล่นน้ำเลย แม้ว่าเขาจะเกิดในประเทศที่เป็นเกาะก็ตาม เขาเคยจมน้ำเกือบตายเมื่อชาติที่แล้ว แต่ตอนนี้เวลาที่กูณฑ์ เพื่อนของเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาตัดสินใจกระโดดน้ำลงไปทันที เขาไม่จำเป็นต้องกลัวน้ำอีกต่อไปแล้ว น้ำไม่อาจจะทำอะไรสิ่งไม่มีชีวิตอย่างเขาได้

แล้วกูณฑ์อยู่นั่นเอง กำลังนอนแผ่หลาอยู่ หลับตาพริ้ม ท่าทางเหมือนกำลังหลับสบาย หากเคียวไม่ได้รับรู้ถึงกระแสน้ำรอบตัวขณะนี้ เขาอาจคิดไปว่าพวกเขากำลังนอนคุยกันอยู่ที่เตียงที่บ้านของกูณฑ์ก็ได้

เคียวรีบไปหากูณฑ์ เขาพยายามจะอุ้มกูณฑ์ขึ้น แต่ทำอย่างไรก็แบกน้ำหนักของเพื่อนไว้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะกูณฑ์หนักเกินไปหรือกำลังของเคียวเริ่มอ่อนลง หลังจากอยู่ห่างจากขุมพลังมานาน

"กูณฑ์" เคียวเรียก พยายามเขย่าตัวให้กูณฑ์มีสติ แต่กูณฑ์กลับไม่ตอบสนองใด ๆ เลย ตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนตุ๊กตา

เคียวแทบสิ้นสติ เขาไม่ต้องหายใจก็จริง แต่กูณฑ์ไม่ใช่ เขาเป็นมนุษย์ เขาต้องหายใจ เคียวไม่รู้จะทำยังไงดี เขารู้แต่เพียงว่าเขาต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกอรหันพวกนั้นจะกลับมา

สายไปเสียแล้ว กระแสน้ำเริ่มปั่นป่วนจนเคียวแทบทรงตัวไว้ไม่อยู่ โคลนที่ขุ่นคลั่กบดบังทัศนวิสัยทำให้เคียวเหมือนคนตาบอด

แม้ตอนนี้เคียวจะมองอะไรไม่เห็น แต่ก็รับรู้โดยสัญชาตญาณว่าสิ่งมาใหม่ย่อมไม่ประสงค์ดีกับตนแน่ เขาขยับเข้าไปใกล้กูณฑ์ตามเดิม หลังจากที่ตอนแรกกระแสน้ำพัดเขาให้ออกห่างจากเพื่อนรัก

"โอ้โห มาดูอะไรนี่สิ กัจฉปานันท์ น่าประหลาดใจสุด ๆ ไปเลย" เสียงของผู้มาใหม่ว่า แม้มันจะพูดภาษามนุษย์ แต่ก็ฟังยากมาก ฟังดูเหมือนเสียงขู่ฟ่อของงูมากกว่า

เคียวเงี่ยหูฟัง เขาโชคดีเหลือเกินที่ตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นหัวใจของเขาคงเต้นแรงจนหลุดออกมาแน่ ผู้มาใหม่อีกตนที่ชื่อว่ากัจฉปานันท์กำลังค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา

"มีอะไรเหรอ พิษธร" กัจฉปานันท์ว่าด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก

"บอกให้มาก็มาเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ ชักช้าอยู่ได้"

"เจ้าก็พูดได้สิ เจ้าไม่ใช่เต่าอย่างข้านี่นา"

ตอนนี้เคียวรู้แล้วว่ากัจฉปานันท์เป็นปีศาจเต่านั่นเอง เขาพยายามคิดทบทวนว่าเต่ามีจุดแข็ง จุดอ่อนอะไรบ้าง พยายามคิดวางแผนว่าเขาจะจัดการกับเต่าตัวนี้ยังไง เขารู้มาว่ากระดองเต่าแข็งแกร่งมากจนไม่สามารถทำลายได้ง่าย ๆ หากต้องการจะฆ่าเต่าก็ต้องจุดไฟเผาเอา คิดถึงตรงนี้เขาก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุดแบบนี้ก็ตาม เขาจะหาไฟที่ไหนมาจุดเผาเต่าตัวมหึมานี้ได้ตอนนี้ ตอนที่เขาอยู่ในน้ำ

ฝุ่นเริ่มจางลงแล้ว เคียวหันซ้ายหันขวาเพื่อสำรวจ แล้วเขาก็ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นหน้าแม่ของกูณฑ์อยู่ข้าง ๆ เคียวไม่ได้ตกใจที่เห็นแม่กูณฑ์หรอก ถ้าเธอมาทั้งตัว แต่คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาตอนนี้มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่เหมือนวาสนาทุกส่วนสัด แต่ความจริงแล้วเมื่อตั้งสติและพิจารณาดูอีกทีก็จะเห็นว่าเธอไม่เหมือนวาสนาแม้แต่น้อย วาสนามีแววตาที่แจ่มใส แต่แววตาของสัตว์ประหลาดนี่ดูเจ้าเล่ห์ กลิ้งกลอก  แต่แววตาของมันยังไม่น่ากลัวเท่าลิ้นที่มันแลบออกมา เป็นลิ้นสองแฉกเหมือนงู

เคียวค่อย ๆ ลดระดับสายตาลงเพื่อสำรวจร่างกายของสัตว์อรหันตัวนี้ อย่างที่เขาคาดเอาไว้ ตั้งแต่ระดับคอลงไปไม่ได้มีความเป็นมนุษย์อยู่เลย หากแต่เป็นงูตัวเบ้อเริ่ม เพราะเหตุอย่างนี้เองตอนที่มันหลอกกูณฑ์ มันจึงโผล่มาแค่ศีรษะเท่านั้น ไม่ได้โบกไม้โบกมือเหมือนกับคนจมน้ำทั่ว ๆ ไป เพราะมันไม่มีมือให้โบกนี่เอง หากกูณฑ์เฉลียวใจคิดสักนิด พวกเขาก็คงไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ แต่เคียวเองก็มีส่วนผิด เขาก็ไม่ใช่ปีศาจชั้นต่ำ ไร้ประสบการณ์ เก่งกาจถึงขนาดแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่กลับปกป้องเพื่อนเพียงคนเดียวของตัวเองไม่ได้ เพราะมัวแต่ชะล่าใจว่าพ่อของกูณฑ์คงจะดูแลกูณฑ์เอง เขาลืมคิดไปว่าอย่างไรวาเรศก็เป็นมนุษย์ธรรมดา คงไม่อาจจะมองผ่านมนตร์ลวงตาได้เหมือนเขา ทั้งเต่าและงูอรหันสองตัวนี้ไม่ได้โง่เลย มันทำงานกันได้อย่างสามัคคีมาก งูอรหันใช้หน้าวาสนามาหลอกกูณฑ์ให้ไปช่วย อีกทั้งเก่งกล้าพอจะสร้างหมอกเวทมนตร์ปกคลุมไว้ไม่ให้ใครเห็น ส่วนเต่าอรหันก็แปลงหน้าเป็นกูณฑ์ หลอกวาเรศว่าจะขึ้นบกแล้ว ให้เขาคลายกังวล ไม่ได้มาใส่ใจอะไร กว่าจะรู้ตัวว่ากูณฑ์หายไปแล้วต้องตามหาก็สายไปเสียแล้ว เคียวแน่ใจว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในอีกมิติหนึ่งแล้ว ต่อให้นักดำน้ำมาดำหา พวกเขาก็คงไม่เจอแม้แต่ร่างของกูณฑ์ แล้วต่อให้มีปาฏิหาริย์มาช่วยให้มีคนมาพบพวกเขา ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้มากนัก เคียวมั่นใจว่าอาวุธสมัยใหม่ทำอะไรมันไม่ได้มากนัก ขนาดของมันใหญ่โตเกินไป เคียวไม่สามารถเห็นปลายหางของมันด้วยซ้ำ แม้เคียวจะไม่ได้เข้าไปสัมผัส แต่เขาก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าร่างกายของเจ้าตัวนี้คงจะแข็งราวกับหิน ปืนหรือมีดธรรมดาคงไม่อาจเจาะทะลวงมันได้แม้แต่น้อย จุดอ่อนของมันคงอยู่ที่ศีรษะนั่นเอง  ศีรษะของมันเป็นมนุษย์ หากสามารถเจาะกระสุนไปที่หัวของมันได้ ก็คงจะเสร็จ แต่พูดไปก็ป่วยการเปล่า เขาไม่มีปืนอยู่กับตัวขณะนี้ หรือต่อให้มี เขาก็ไม่อาจยิงออกไปได้ เขาไม่มีทั้งทักษะและใจที่กล้าพอที่จะยิงใบหน้าที่เหมือนกับวาสนา วาสนาที่แม้จะมองไม่เห็นเขา แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน เคียวก็เคารพวาสนาเหมือนแม่คนหนึ่ง แม้เขาจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่วาสนาก็ตาม แต่เขาทำใจยิงมันไม่ได้จริง ๆ เขาไม่ได้เหี้ยมโหดขนาดนั้น

ดูลักษณะมันก็คล้ายกับพญานาคที่คนเคารพ นับถือกัน แต่ที่ต่างกันคือเวลาพญานาคแปลงเป็นมนุษย์ก็จะแปลงเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม หากจะต้องอยู่ในสภาพครึ่งคนครึ่งงู ก็หมายความตรงตัวตามนั้นคือตั้งแต่ศีรษะถึงเอวไปเป็นมนุษย์ หลังจากเอวลงไปถึงเป็นงู ไม่ได้มีแค่หัวเป็นมนุษย์อย่างนี้

กัจฉปานันท์มาถึงแล้ว ตัวมันใหญ่ไม่แพ้พิษธรเลย หากมันหดหัวเข้าไปแล้วหมอบนิ่ง ๆ มันคงไม่ต่างอะไรจากเกาะขนาดใหญ่ หน้าของมันก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพิษธร แต่ต่างกันตรงที่ว่าขณะที่พิษธรใช้หน้าของวาสนา กัจฉปานันท์ใช้หน้าของกูณฑ์

"เจ้าเชิญใครมาร่วมงานเลี้ยงเพิ่มเหรอ" กัจฉปานันท์ถามทันทีที่เห็นเคียว

พิษธรส่ายหัว "เจ้าปีศาจหนังสือนี่ มันมาได้ยังไงไม่รู้"

ตอนนี้ทั้งปีศาจเต่าและปีศาจงูมามองสำรวจเคียวราวกับเขาเป็นสิ่งประหลาด มหัศจรรย์อะไรสักอย่าง เคียวพยายามยืนให้นิ่งที่สุด แม้ว่าพวกนี้จะเป็นอรหัน แต่เขาก็ได้แต่หวังว่ามันจะมีสัญชาตญาณของเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมอยู่บ้าง และขอให้ข้อมูลที่เขาได้มาไม่ผิดพลาด พวกงูจะมีสัญชาตญาณพิเศษดักจับการเคลื่อนไหว ยิ่งถ้าเขาขยับหนีเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะเสร็จก็มีมากเท่านั้น

"เจ้ามาทำอะไร" กัจฉปานันท์ถามอย่างคุกคาม "จะมาร่วมงานเลี้ยงกับเราด้วยหรือ"

เคียวอยากจะบอกเหลือเกินว่ามีแค่สองตน ไม่เรียกว่างานเลี้ยงหรอก แต่เวลานี้ไม่เหมาะกับการอวดดี เขาหัวเดียวกระเทียมลีบ คงไม่ต้องนับกูณฑ์ที่กำลังสลบไม่ได้สติ เขาพยายามปฏิเสธว่ากูณฑ์ตายไปแล้ว ตราบใดก็ตามที่ไม่อาจพิสูจน์ออกมาได้แน่ชัด เขาก็ต้องมีความหวัง กูณฑ์เป็นที่พึ่งให้เขามาตลอด ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเป็นที่พึ่งให้กูณฑ์บ้าง

"ว่าอย่างไรล่ะ" พิษธรถาม เมื่อเห็นว่าเคียวไม่ยอมตอบสักที

"เจ้าก็…" กัจฉปานันท์พูดด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ราวกับมันไม่สนใจอะไรอีกแล้วบนโลกใบนี้ "ให้เวลาเข่หน่อยก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบเลย"

"เจ้าไม่รีบ แต่ข้ารีบ ขืน 'เสด็จมาจะทำอย่างไร"

กัจฉปานันท์หดหัวเข้าไปในกระดอง พูดเสียงอู้อี้ออกมาว่า

"เจ้าอย่าพูดถึง 'นาง' สิ ประเดี๋ยวนางทรงได้ยินแล้วจะยุ่ง"

"เจ้ากลัวหรือ" พิษธรถาม มีรอยเยาะเย้ยอยู่ในน้ำเสียง

"ทำอย่างกับเจ้าไม่กลัว 'นาง' เสียอย่างนั้น" กัจฉปานันท์ว่า

"ตอนนี้ข้าไม่กลัวดอก" พิษธรพูดอย่างลำพอง " 'นาง' เสด็จพระราชดำเนินไปทำราชกิจ คงอีกนานกว่าจะเสด็จพระราชดำเนินกลับ"

กัจฉปานันท์โผล่หัวออกมาจากกระดอง ท่าทางโล่งใจ

"เจ้าพูดจริง ๆ หรือ พิษธร"

"ข้าจะปดเจ้าด้วยเหตุอันใด เจ้าคิดหรือว่าหากพระนางมุจลินท์ยังประทับอยู่ที่นี่ พวกเราจะหลอกล่อมนุษย์ผู้นี้มาได้ง่ายเพียงนี้ นางย่อมเสด็จมาช่วยแล้ว"

"แต่นางก็อาจเสด็จฯกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้" กัจฉปานันท์ว่า "เรารีบจัดการมนุษย์ผู้นี้เสียเถิด ก่อนที่นางจะทรงบังคับให้ปล่อยมันไป"

ระหว่างที่กัจฉปานันท์กับพิษธรกำลังสนทนากัน เคียวพยายามรวบรวมกำลังประคองกูณฑ์ขึ้นมาจนได้ น้ำหนักของกูณฑ์ทำให้เขาแทบล้ม หากเป็นเวลาปกติ เขาคงจะทำให้กูณฑ์ขยับไม่ได้เลย แต่เมื่อภัยมาถึงตัวแบบนี้แล้ว ราวกับเคียวมีพลังพิเศษบางอย่างที่ช่วยให้เขามีพลังเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

เคียวค่อย ๆ ประคองกูณฑ์ถอยหลังหนี พยายามหาทางว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ เคียวจำได้ว่าตอนลงมาน้ำเหมือนไม่ลึกอะไรนัก แต่ตอนไหว้ขึ้นไปนี่สิ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่อาจขึ้นสู่ผิวน้ำได้เลย อีกทั้งกูณฑ์ก็ยังตัวหนักขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าเคียวแบกหินทั้งก้อนอยู่อย่างนั้นแหละ

เคียวก้มลงไปมองแล้วก็เห็นว่าที่เขาประคองขึ้นมาไม่ได้มีแค่กูณฑ์เสียแล้ว ทั้งปีศาจเต่าและปีศาจงูก็ตามขึ้นมาด้วย ปีศาจงูรัดขาของเขาไว้แน่นทำให้เขาว่ายน้ำได้ช้าลง ส่วนปีศาจเต่าก็งับขากางเกงของกูณฑ์ไว้ ต้องการสะบัดปีศาจเต่าให้หลุดไป กูณฑ์คงไม่รอดแน่

"ข้าไม่ยอมให้เจ้าเอาเหยื่อของเราไปหรอก" พิษธรพูดเสียงเหี้ยมเกรียม

กัจฉปานันท์พยักหน้า มันไม่อาจจะพูดโต้ตอบได้ เพราะหากพูดโต้ตอบ มันก็จะร่วงลงไปทันที

เคียวไม่ตอบโต้ เขาพยายามใช้มือข้างหนึ่งแกะงูออก แต่มันก็รัดแน่นเหลือเกิน อย่าว่าแต่ใช้มือเพียงข้างเดียวอย่างนี้เลย ต่อให้มีมือสองข้างเขาก็ไม่อาจจะจัดการมันได้ ดังนั้นเขาจึงเลิกพยายาม แต่ใช้ความสามารถพิเศษที่ได้มาจากการเป็นภูตหนังสือของเขาคือการยืดแขนได้ไม่มีสิ้นสุด พยายามยื่นแขนขึ้นไปตรวจดูว่าผิวน้ำอยู่ตรงไหน บางทีหากโชคดีอาจจะมีผู้มีฤทธิ์กล้าอยู่แถวนั้น เห็นความผิดปกติ แล้วลงมาสำรวจดูก็ได้ น้ำเป็นแหล่งชีวิต ย่อมจะมีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่ริมน้ำเคียวภาวนาให้มีผู้มีฤทธิ์สักคนสังเกตเห็นและลงมาช่วยเขากับกูณฑ์ด้วย แม้ว่าเขาจะสามารถยื่นแขนไปถึงผิวน้ำได้ แต่เขาคงไม่อาจว่ายไปถึงผิวน้ำได้ เขาไม่ได้ว่ายน้ำเก่งอะไรเลย ความจริงแทบไม่มีทักษะด้านนี้ด้วยซ้ำ อีกทั้งพลังของเขาก็ลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ หากเขาตัดสินใจทิ้งกูณฑ์ตอนนี้แล้วรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายว่ายขึ้นไปก็คงทำได้อยู่หรอก เขารู้แล้วว่าแสงแดดหรือไม่ก็แสงจันทร์อยู่ใกล้แค่นี้เอง แต่หากเขาทิ้งกูณฑ์ไปตอนนี้ พวกอรหันคงจะฉีกเนื้อกูณฑ์กินแน่ คงจะเหลือแต่กระดูกเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมทิ้งกูณฑ์เด็ดขาด จะหามิตรที่ประเสริฐอย่างกูณฑ์คงหาไม่ได้อีกแล้ว แม้ว่าเคียวจะหมดกำลังกาย แต่กำลังใจเขามีอยู่เต็มเปี่ยม แม้ว่าอรหันทั้งสองตัวจะช่วยกันฉุดกระชากลากถูให้พวกเขาทั้งสองดำดิ่งสู่ก้นบาดาลเพียงใด เคียวก็ยังสู้สุดใจที่จะขึ้นฝั่งให้ได้ ไม่ต่างอะไรกับการเล่นชักเย่อ.แต่ที่ต่างกันก็คือ การเล่นครั้งนี้ เดิมพันด้วยชีวิต

"หากเจ้าต้องการเหยื่อมนุษย์ ก็จงไปแสวงหาเอาเอง ไม่ใช่มาชุบมือเปิบจากคนอื่นเยี่ยงนี้" พิษธรว่า มันเริ่มล้าแล้วเหมือนกัน ไหนจะต้องใช้มนตร์พรางตา ไหนจะต้องมาแย่งเหยื่อที่มันได้มาโดยชอบธรรมจากปีศาจหนังสือหน้าด้าน มันลงทุนลงแรงหลอกล่อมนุษย์มาถึงเพียงนี้แล้ว มันไม่ยอมให้ใครได้มนุษย์ผู้นี้ไปหรอก

เคียวไม่ตอบให้เปลืองพลังงาน หากแต่ใช้พลังทั้งหมดว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่เขาหมดแรงเสียแล้ว จิตสำนึกสุดท้ายที่เขารู้คือมีผู้ลากเขาลงสู่ความมืดมิดของก้นแม่น้ำ

"ฉันขอโทษ กูณฑ์" อนุสติของเคียวกระซิบ "ขอโทษ"

หลังจากที่ทุ่มเทพยายามในที่สุดพิษธรกับกัจฉปานันท์ก็ได้เหยื่อของพวกมันมาไว้ในกำมืออีกครั้ง พิษธรจัดการสร้างกรงขังภูตหนังสือจอมยุ่ง ก่อนจะหันมาสำรวจเหยื่อของมัน

"เราน่าจะไปจับปลาอีกสักสองสามตัวมาแกล้มนะ" กัจฉปานันท์ว่าพลางเลียริมฝีปาก

"เจ้าก็ไปหามาสิ" พิษธรว่าอย่างไม่สบอารมณ์ มีเหยื่อมนุษย์อยู่แล้วแท้ ๆ ยังอยากจะไปกินปลา ใฝ่ต่ำเหลือเกิน

"แล้วเจ้าจะทำอะไร"

"ข้าก็จะใช้ไฟปรุงมันให้สุกน่ะสิ เจ้าไปหาปลากลับมาก็คงสุกพอกิน" พิษธรว่า มันเลื้อยไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าพอมีพืชน้ำอะไรมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้บ้าง เรื่องการจุดไฟเป็นความภาคภูมิใจของมันทีเดียว ปกติอรหันจุดไฟไม่ได้หรอก ส่วนใหญ่กลัวไฟเหมือนสัตว์ป่าทั่วไป แต่มันได้บารมีจากพระนางมุจลินท์ ทำให้ไม่หวาดกับกองอัคคี ด้วยความที่มันอาศัยอยู่ในน้ำจึงสามารถทำอะไรก็ได้เหมือนที่มนุษย์ทำกันบนบก แม้แต่การจุดไฟในน้ำ หากเป็นเวลาปกติ มันไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงด้วยซ้ำ แค่พลังเวทก็เพียงพอ แต่ตอนนี้มันใช้พลังมากเกินไปจึงต้องขอพึ่งเชื้อเพลิงสักหน่อย

"เจ้าไม่จำเป็นต้องก่อไฟก็ได้" กัจฉปานันท์พูดขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

"เจ้าพูดอะไรของเจ้า" พิษธรหันขวับมาดู แล้วก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นกองเพลิงลุกท่วมร่างของมนุษย์ หากแต่มันกลับไม่เป็นอันตรายแม้เพียงเศษเสี้ยว