webnovel

ของที่ระลึก

"ไปกันได้หรือยัง" มลตะโกนใส่คู่รักที่จ้องตากันหวานเชื่อม ใครอิจฉา ไม่มี มลแค่อยากทำภารกิจให้เสร็จ ๆ ไปต่างหาก

"โอเค โอเค" กูณฑ์ถอนสายตาจากเคียวมามองมล "เดี๋ยวเราไปกันเลย"

จริงอย่างที่พระอินทร์สัญญาไว้ พวกเขาใช้เวลาแค่สามวันก็มาถึงอาศรมของกาลฤๅษี

"ไปอย่างไร มาอย่างไรเล่า พวกเจ้า" ผู้อาวุโสกว่าทัก "นี่จะมาเยี่ยมพระยาหนุราชอีกแล้วหรือ"

"ไม่ใช่ครับ" กูณฑ์รีบปฏิเสธ ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้มลเป็นคนเล่าเรื่องให้ฤๅษีฟัง

หลังจากที่กาลฤๅษีฟังจบก็ลูบเคราตัวเองช้า ๆ "เจ้าแน่ใจหรือว่าจะทำแบบนี้ ถ้าเจ้ากลับไปอาจเกิดสงครามได้เลยนะ"

"ข้ามั่นใจขอรับ" มลพูดอย่างหนักแน่น แววตาเป็นประกายกล้า เขาบุกบั่นมาถึงขนาดนี้แล้ว จะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไร เขาต้องไปทวงสิทธิ์ที่เขาควรได้คืนมา

"ครองเมืองก็มีแต่ปัญหานะ" ฤๅษียังคงพยายามเกลี้ยกล่อม "ทุกวันนี้เจ้าก็อยู่ดีมีสุขอยู่แล้วมิใช่หรือ จะไปเอาทุกข์มาใส่ตัวทำไม"

มลยิ้มเหี้ยม "ข้ามีความสุข แต่พ่อแม่ข้าต้องทุกข์ ข้าเป็นลูกอกตัญญูแบบนั้นไม่ได้หรอก ไหนจะประชาชนอีกล่ะ ผู้นำที่โหดเหี้ยม วางแผนฆ่าได้กระทั่งพ่อและพี่น้องของตัวเองมีหรือจะปกครองประเทศด้วยเมตตาธรรมได้"

ฤๅษีถอนหายใจ "เมื่อเจ้ามั่นใจอย่างนั้น ข้าก็จะทำพิธีให้ ไปเอาของมาเสีย"

"เดี๋ยวฉันไปหยิบให้เอง" เคียวอาสา ทั้งกูณฑ์และมลไม่ว่าอะไร เพราะเคียวเป็นคนดูแลของพวกนั้นอยู่แล้ว เนื่องจากภูตเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่หลงในมนตร์สะกดของมะม่วงทอง

เมื่อได้ของมาครบแล้ว กาลฤๅษีจัดการเอากระบองทุบมะม่วงทอง ทำเอากูณฑ์กับมลแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ กลิ่นของมะม่วงทองตอนอยู่ในเปลือกก็ว่าหอมแล้ว พอทุบกระจายออกมาก็ยิ่งหอมกว่าเดิมอีก ร้อนถึงเคียวที่ต้องใช้มือยืดยาวจับทั้งคนรักและเพื่อนไว้คนละข้าง

"ตั้งสติหน่อย" เคียวกำชับ

หลังจากที่ทุบมะม่วงทองแล้ว ฤฤๅษีก็ทุบรากของโสมคนทั้งสี่ชนิดให้รวมกัน เสร็จแล้วก็เอามะม่วงทองกับรากของโสมคนมาทุบรวมกันอีกที จนกระทั่งแทบไม่เหลือเค้าเดิม เด็กทั้งสามได้แต่เฝ้ามองกันอย่างลุ้นระทึก ความหวังของพวกเขาได้เป็นจริงขึ้นมาทุก ๆ ที

"ใกล้เสร็จแล้ว" ฤๅษีพูดขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีใครถาม "เทพอัคนี เชิญมาทางนี้หน่อย"

กูณฑ์ชี้ที่ตัวเอง "ผมเหรอครับ" เขาถามอย่างไม่แน่ใจนัก

"ใช่แล้ว" ผู้อาวุโสกว่าพูดอย่างอดทน "ท่านช่วยจุดคบเพลิงให้ข้าหน่อย"

กูณฑ์หยิบคบเพลิงมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ นึกสงสัยว่าจะจุดคบเพลิงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่มีทั้งไฟแช็คหรือไม้ขีดไฟ

"จุดสิท่าน" ฤๅษีเร่ง

"ผมไม่มีไม้ขีดนี่ครับ" เด็กหนุ่มหัวไฟสารภาพเสียงอ่อย

มลตบหน้าผากตัวเองแรง ๆ "เจ้าก็ใช้ไฟในตัวเจ้าจุดสิ ใช้เวทเป็นแล้วไม่ใช่หรือ"

กูณฑ์หัวเราะออกมาอย่างเก้อ ๆ จริงด้วย เขาลืมไปเสียสนิท เด็กหนุ่มรวบรวมพลังเวทไฟจุดคบเพลิง ก่อนจะชูขึ้นเหมือนเทพีเสรีภาพอย่างไรอย่างนั้น

"แล้วท่านก็คบไฟมาเผาเจ้านี่" ฤๅษีชี้ผงบดที่เกิดจากมะม่วงทองและโสมคน

"เผาเลยเหรอครับ" กูณฑ์ถามย้ำ ถึงตอนนี้สิ่งของที่พวกเขาหามาด้วยความยากลำบากจะกลายเป็นกองเละ ๆ ไปแล้ว แต่ให้ตัดใจเผาเลยก็อย่างไรไม่รู้ คงเหมือนกับบางคนที่รู้ว่าคนรักตายไปแล้วก็ยังเก็บซากศพไว้เพราะเมื่อเผาไปคนรักก็จะเหลืออยู่แต่ความทรงจำเท่านั้น

กาลฤาษีพยักหน้ายืนยัน กูณฑ์จึงตัดใจจ่อคบเพลิงไปที่ผงบดนั่น ก่อนจะต้องเจ็บปวดเมื่อเห็นความพยายามของพวกเขากลายเป็นขี้เถ้าต่อหน้าต่อตา เด็กหนุ่มไม่รู้มาก่อนว่าเขาคาดว่าจะเจออะไร แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้ มันต้องมีปาฏิหาริย์บ้างสิ ไม่ใช่กลายเป็นขี้เถ้าธรรมดา ๆ อย่างนี้

"ท่านให้ข้าทำอะไรลงไป" กูณฑ์โอดครวญ "กลายเป็นขี้เถ้าหมดแล้ว"

ฤๅษีกำขี้เถ้าขึ้นมา ก่อนจะปล่อยมันให้ไหลผ่านอุ้งมือ "ขี้เถ้านี่แหละที่เจ้าต้องการเอาให้แมงสี่หูห้าตากินเสีย แล้วมันจะสืบพันธุ์ได้"

"จริงเหรอ" กูณฑ์ถามอย่างคลางแคลง เลยได้รางวัลเป็นฝ่ามืออรหันต์จากคนรักหมาด ๆ

"อย่าเสียมารยาท" เคียวดุ

เด็กหนุ่มหัวไฟลูบหัวที่ถูกตบของตัวเอง ก่อนจะครางเบา ๆ "พูดกันดี ๆ ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องทำร้ายร่างกายกันเลย" เขาตัดพ้อ

"ก็นายอยากเสียมารยาทก่อนทำไมล่ะ" เคียวว่า "ฤๅษีท่านจะหลอกเราไปทำไม"

กูณฑ์ยกมือขึ้นไหว้ฤๅษี "ขอโทษจริง ๆ ครับ ผมแค่.."

ผู้อาวุโสกว่ายิ้มอย่างมีเมตตา "ไม่เป็นไร เจ้าจงรีบเอากระบองไปคืนท้าวไวยวิกเถิด เสาค้ำบาดาลไม่ควรเอาออกมานานเกินไป"

"เราไปยึดเมืองคืนแล้วค่อยเอาไปคืนไม่ได้เหรอขอรับ" มลถาม เขาไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว ตอนนี้หากไม่กลัวเสียมารยาท เขาอยากรีบเร่งเดินทางไปจัดการอัครเดชเลยด้วยซ้ำ

"เจ้าเอาเสาไปคืนท้าวไวยวิกก่อนเถิด ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก เจ้าอาจจะได้อะไรตอบแทนมาบ้างก็ได้" ฤาษีพูดเป็นนัย

มลถอนหายใจ แม้เขาจะไม่ได้เรียนวิชากับกาลฤๅษีหลากหลายวิชาเหมือนกับที่เขาเรียนกับวโรดม แต่ถึงจะสอนแค่ไม่กี่วิชาก็ยังถือว่าเป็นอาจารย์ สำหรับเด็กชายแล้วคำสั่งของอาจารย์ก็ไม่ต่างอะไรกับคำสั่งของพ่อแม่ที่ต้องปฏิบัติตามด้วยความเคารพ

"ถ้าอาจารย์สั่งอย่างนั้น ข้าก็คงต้องไป"

"หากเจ้ากลัวเสียเวลา เดี๋ยวข้าจะส่งพวกเจ้าไปเอง"

ยังไม่ทันที่เด็กทั้งสามจะตั้งตัว กาลฤๅษีใช้ไม้เท้าเคาะหัวพวกเขาทีละคน พวกเขารู้สึกเหมือนกับอยู่ในวังวนหลากสีสัน เวียนหัวจนอยากจะอาเจียน และอยู่ ๆ วังวนนั้นก็หยุดลงอย่างฉับพลันไม่ต่างจากที่มันเริ่มต้น เด็กทั้งสามตกลงมากลางท้องพระโรง

"อุกกาบาต" มหาดเล็กที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่ร้อง

"ไร้สาระสิ้นดี" อำมาตย์ผู้ใหญ่ตำหนิ "เราอยู่ใต้ดิน จะมีอุกกาบาตได้ฉันใด นี่จะต้องเป็นศัตรูมาบุกเมืองเราแน่"

พวกเด็ก ๆ ที่ล้มระเนระนาดต่างพากันยันตัวลุกขึ้นนั่ง ปากก็สบถสาบานไปด้วย

"ให้เตรียมตัวก่อนก็ไม่ได้"กูณฑ์บ่นพลางลูบหลังที่ช้ำเพราะแรงกระแทก

ตอนที่ลงมา มลเผลอเอาหน้าลง หน้ากากเลยเลื่อนหลุดเล็กน้อย ตอนนี้เขากำลังจัดให้มันเหมือนเดิมอยู่

ท้าวไวยวิกลุกจากบัลลังก์มาทักทายพวกเด็ก ๆ

"ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว"

"พระเจ้าค่ะ" มลว่า "พวกกระหม่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์มากที่ทรงให้เรายืมกระบอง ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้วจึงจะขอมอบคืนให้พระเจ้าค่ะ"

เจ้าเมืองบาดาลยิ้มแยกเขี้ยว "แล้วไหนเล่า กระบองของเรา"

เด็กทั้งสามต่างมองหน้ากันไปมา ต่างคนก็คิดว่าอีกฝ่ายมีกระบองอยู่กับตัว

"ไม่ได้อยู่ที่นาย/เจ้าหรอกเหรอ" พวกเขาพูดพร้อมกัน

"ก็ฤๅษีเขาเอาไปทำพิธี" กูณฑ์พูดพลางเกาหัว "แล้วเขาคืนเราหรือยัง"

"น่าจะยังไม่คืนนะ" เคียวว่า

มลเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ฤๅษีคงรีบไปหน่อย ส่งพวกเขามา แต่ดันไม่ส่งของมาด้วย ฉับพลันนั้นเองกระบองก็ตกลงมาตรงหน้าเด็กชาย ไม่ได้มีเพียงแต่กระบอง แต่ถุงขี้เถ้าก็ตกลงมาด้วย สงสัยกาลฤาษีรู้ตัวและรีบส่งมาให้ วิทยาธรน้อยประสานมือเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะถวายคืนให้แก่ท้าวไวยวิก ราชาเมืองบาดาลสั่งให้ทหารเอากระบองไปเก็บไว้ที่เดิม

"ขอบคุณท่านมากที่รักษาสัญญา หากกระบองนี้ไม่กลับมาค้ำบาดาลจะเกิดเรื่องวิบัติขึ้น"

"เป็นหน้าที่ของพวกกระหม่อมอยู่แล้ว" มลว่า

"จริงสิ เรามีอะไรจะมอบให้ท่านด้วย" พูดจบ ไวยวิกก็เดินเข้าไปหลังม่าน ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมพระขรรค์

สำหรับกูณฑ์และเคียวแล้ว พระขรรค์ไม่ใช่ของที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าใด พวกเขาใช้อาวุธแบบนี้ไม่เป็นอยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งเพราะมาจากโลกสมัยใหม่ที่มีอาวุธประหลาด ๆ และมีฤทธิ์เดชมากกว่าพระขรรค์เยอะ แต่มลกลับจับมันด้วยมือสั่นระริก ดวงตามีน้ำตาคลอตา

"ทะ ท่านไปได้มันมาได้อย่างไร" มลถามเสียงสั่นเครือ

กูณฑ์ไม่เข้าใจเลยว่าแค่พระขรรค์เล่มเดียว เพื่อนของเขาถึงต้องเป็นเอามากขนาดนี้ แต่เขาก็ยั้งปากไว้ไม่พูดอะไรที่จะทำร้ายจิตใจเพื่อน บางทีพระขรรค์นี้อาจเป็นพระขรรค์วิเศษก็ได้ ถึงจะอธิบายไม่ได้ว่าทำไมมลถึงร้องไห้ก็เถอะ

"มีคนโยนมันลงน้ำ คงหวังจะกำจัดกระมัง ถึงเราจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องกำจัดพระขรรค์ที่ดีอย่างนี้ก็เถิด แต่เราเห็นว่าพระขรรค์นี้เป็นของวิทยาธรก็เลยเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ท่าน"

"ขอบพระทัย" มลสำลักคำพูด "พระขรรค์นี้เป็นของบิดาของกระหม่อม"

"งั้นมันก็คู่ควรจะอยู่กับท่านแล้ว" ไวยวิกตอบ

สามสหายขึ้นมาริมทะเลสาบอีกครั้ง มลเอาแต่ลูบพระขรรค์ราวกับมันเป็นแมว

"พระขรรค์นี้มันสำคัญอะไรนักหนาหรือ" กูณฑ์ถามอย่างไม่เข้าใจ

"พระขรรค์นี้เป็นของพ่อข้า" มลตอบ

"ฉันคิดว่าพ่อนายได้พระขรรค์คืนไปแล้วเสียอีก" เคียวว่าพลางขมวดคิ้ว คิดถึงเรื่องราวที่มลเคยเล่า

"พ่อข้าได้พระขรรค์คืน แต่มันไม่ใช่พระขรรค์ประจำตัว" มลอธิบาย "วิทยาธรแต่ละตนจะมีพระขรรค์ประจำตัวอยู่หนึ่งเล่ม เป็นพระขรรค์ที่มีค่าเสมอเหมือนชีวิต เราใส่จิตวิญญาณของเราไปในพระขรรค์นั้น ต่อให้เอาอาวุธวิเศษแค่ไหนมาแลกก็ไม่มีวิทยาธรตนใดยอมหรอก พระขรรค์นี้เปรียบเหมือนพี่น้องของเรา"

กูณฑ์พยักหน้าช้า ๆ แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็พอจับใจความได้

"ข้าไม่รู้ว่าทำไมพระขรรค์นี้จึงมาอยู่กับข้าได้ ปกติถ้าจัดการวิทยาธรได้ ผู้ชนะก็จะยึดพระขรรค์ไปด้วย เป็นเหมือนสินสงครามน่ะ พระขรรค์ของพ่อข้าก็เป็นอาวุธที่วิเศษอยู่ ทำไมอัครเดชถึงเอามาทิ้งขว้างราวกับขยะไร้ค่าแบบนี้" มลเลียริมฝีปาก

"อาจเป็นเพราะไอ้อัครเดชไม่คู่ควรกับพระขรรค์นี้ก็ได้" กูณฑ์พูดปลุกปลอบใจ "อาวุธดี ๆ ก็ต้องอยู่กับคนดี ๆ ยิ่งนายบอกว่ามีจิตวิญญาณสถิต บางทีไอ้แก่นั่นอาจกลัวกรรมตามทันก็ได้"

มลยิ้มเหี้ยมเกรียม "เจ้าพูดถูก ถึงพ่อข้าอาจจะไม่มีโอกาสแก้แค้นคนคนนั้นด้วยตัวเอง แต่สวรรค์ก็ส่งอาวุธของพ่อข้ามาให้ ข้าจะใช้พระขรรค์นี่" เด็กชายชูพระขรรค์สู่ฟ้า "ตัดหัวไอ้อัครเดชให้จงได้"

พระขรรค์ที่อยู่ในมือสั่นนิด ๆ ราวกับรับรู้ความต้องการของเจ้านายคนใหม่ของมัน

"ดีแล้ว" เคียวว่า

"นี่เราจะทำสงครามกันจริง ๆ ใช่ไหม" กูณฑ์ถาม

"ก็ใช่น่ะสิ" เพื่อนทั้งสองของเขาตอบ