webnovel

บทที่ 15.2

วันที่ 12 ในคอนเทนเนอร์

แบทแมนจะมาเป็นศาลเตี้ยอีกทำไมกัน ในเมื่อเศรษฐีที่รวยที่สุดคือบรูซ เวย์น คนรวยแห่งเมืองก็อตแธมควบคุมศาลอยู่แล้ว

วันที่ 16 ในคอนเทนเนอร์

ทำให้ลินรู้ได้แล้วว่า ผมมีชีวิตอยู่ผ่านการส่งเมลสแปมที่เข้ารหัส แต่ลินอาจจะรู้ว่าเป็นผมหรือไม่เป็นผม การตีความฝั่งเดียวนั้นมันค่อนข้างกำกวม เอาเป็นว่าข้อความเข้ารหัสและบีบอัดไฟล์ แต่เรื่องที่ยากไม่ใช่ลินว่าข้อความนั้นเป็นผมหรือไม่เป็นผม เพราะต่อให้ข้อความออกไปได้ ลินก็น่าจะหาพิกัดปัจจุบันได้ยากกว่า

ในขณะที่สายตาข้างนอกมองผ่านวิดีโอ

เริ่มเรียกคนมามุงดูว่าสิ่งที่พัฒน์ทำอาจไม่ใช่สิ่งที่ลีดูซัมต้องการให้ทำ การฮือฮาอันนี้จะเข้าถึงหูลีดูซัมในอีกสองถึงสามวันถัดมาเขาโทรแจ้งลีดูซัมและโทรให้ลีดูซัมรู้ว่าพัฒน์ไม่ได้ทำตามสิ่งที่ลีดูซัมต้องการ

วันที่ 18 ในคอนเทนเนอร์

สำหรับพัฒน์ความรู้ไม่เคยถูกห้าม สิ่งที่น่าสนใจของวัฒนธรรมสิ่งมีชีวิต มนุษย์เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตอนินทรีย์สสารและไม่มีรากเหง้าจิตวิญญาณ คือการสร้างวิญญาณและจิตใจ สิ่งที่มอบแสงสว่างต้องทนความร้อนของตัวเองได้ ต่อให้เขาอยู่ข้างนอกจิตวิญญาณเขาก็เหมือนถูกขังอยู่ในคุก พัฒน์กำลังประกอบเครื่องมือเป็นสิ่งที่น่าสนใจเพียงพอในเวลานี้เพื่อพาเขาออกจากที่นี่ พัฒน์ตายและเกือบตายเพราะความอยากรู้อยากเห็น ความตายน่าชิงชัง

"คุณเรียนพวกนี้มาจากไหน"

"ปัญญาประดิษฐ์ หรือว่าอัลกอริทึม" พัฒน์ถามจำเพาะคำถามที่อัลเลนถาม แต่เขาคำนวณทิศทางการตอบไม่ได้ เขานิ่งเงียบครู่หนึ่ง "บนเรือ เอ่อ…ผมหมายความว่าส่วนใหญ่ก็ต่างประเทศ"

"ที่ไทยไม่มีเหรอ"

พัฒน์ส่ายหน้าตอบ

"ไม่น่าล่ะ ชีวิตรันทด"

"เรื่องยากไม่ได้แปลว่ามันไม่ดีนี่" พัฒน์แดกดัน

"ก็ทำแตเรื่องยากมาตลอดใช่มั้ยล่ะ" อัลเลนเห็นด้วย

พัฒน์เอียงคอตอบ เรื่องที่ต้องทำยังมีอีกเยอะ มันแทบไม่ใช่การเรียงตัวข้อมูล นี่คือรูปแบบการกระทำในเวลาไม่ว่าจะหันไปทางไหนมีแต่ตายกับตาย

วันที่ 19 ในคอนเทนเนอร์

หลังจากที่นอนเต็มอิ่มงานก็คืบหน้ามากขึ้น ใบหน้าบวมบูดเริ่มลดลง หลังจากเมื่อวานพัฒน์เดินวนเป็นเลขแปดในห้องเหมือนผึ้งบ้า ความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของความคิดส่วนใหญ่ที่จะตายก่อนเติบโต แต่ส่วนใหญ่ภาพหลอนจะเติบโตได้ถ้าอยู่ในห้องที่ไม่เข้าถึงแสงมาก ๆ เวลาจะถูกเลื่อนออกไป เราต้องปรับให้นาฬิกาของทั้งอัลเลนกับผมตรงกัน ผมใช้นาฬิกาลิมิเต็ด อิดิชั่นที่มีการ์ตูนดอร่า น่าจะมีคนไข้หรือคนที่เคยทำตกไว้ที่นี่ ปกติคนตาบอดก็จะเจ็ทแลคเพราะจมูกเรารับอิเล็กตรอนจากแสงอาทิตย์ แต่พอไม่ได้เข้าถึงแสงอาทิตย์เลย การรับรู้เวลาทั้งหมดก็แทบคลั่ง ในนี้ตื่นมาทุกครั้งเหมือนกันหมด แค่รูปแบบการคำนวณความเป็นไปได้ในหัวและในจอคอมพิวเตอร์มากขึ้น นี่ค่อนข้างมากกว่าละครน้ำเน่ากับไอศกรีมบนเตียง เพราะเวลาและแสงเหลือแค่การทำงานของเครื่องจักรบนข้อมือ นี่แม่งทำใจยากฉิบหาย ข่าวดีเดียวคือลินติดต่อมาได้ผ่านข้อความเข้ารหัส แต่ดูเหมือนตัวรับสัญญาณจะรับแค่ในเครื่องบิน หมายความว่าต่อให้รับข้อมูลได้แต่ยังไม่สามารถฝังตัวติดตามที่มาข้อมูลหรือยังใช้สัญญาณดาวเทียมไม่ได้ลินไม่มีทางหาผมเจอ ยินดีต้อนรับเราทุกคนกำลังจะตาย

วันที่ 25 ในคอนเทนเนอร์

ผมแทรกตัวไปในตลาดอวัยวะตั้งแต่มัธยมสี่ 'ชมรมสุดท้าย' ผมจะทำแบบผิดกฎหมายต่อก็ได้ ผมกำลังตรวจสอบการประมวลข้อมูลทั้งหมดอยู่ เสียงทุบประตู เปิดประตูเหล็กเสียงดัง ลีดูซัมใส่สูทเข้ามาพร้อมบอดี้การ์ดอีกสองคน ที่นี่เคยเป็นชีวิตพัฒน์ เขาไม่น่าต่อต้านอารยธรรมกลุ่มทุนผูกขาดเลย ตอนเด็ก ๆ ผมเคยรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่านี้ แต่ในวัฒนธรรมเอเชียบอกให้ผมละทิ้งความเป็นปัจเจกและวัตถุนิยมกับเชื่อในระบบ แล้วเป็นไงล่ะ ระบบเคยให้อะไรกับผมบ้าง พัฒน์จ้องหน้าลีดูซัมตอนเดินเข้ามา ลีดูซัมเข้ามาตรวจสอบข้าวของต่าง ๆ ในแล็บทั้งผังและข้อมูล ลีดูซัมเพียงดูคร่าว ๆ เท่านั้น

"ปืน เชื้อโรค ของพวกนี้จะทำให้มีอำนาจมากขึ้น รู้มั้ยทำไมฉันเชื่อใจแก เพราะว่า แกเหมือนฉัน แกหาทางเอาชนะระบบตลอด น้าฉันที่รู้เรื่องเกี่ยวกับแกบอกว่าถ้าปล่อยแกโตไป ฉันไม่มีที่ยืนแน่" ลีดูซัมพูดพร้อมตบมือและเดินไปรอบ ๆ ขณะที่พัฒน์ยืนอยู่ตรงกลางกับอัลเลน "แต่เราก็ต้องการของต่อรองมากขึ้น ถ้าอยากจะอยู่เหนือระบบได้ คนเกาหลีจะรุ่งเรืองอีกครั้ง แกคิดว่าประเทศที่มีหัวรบ 8 ลูกกับ 45 ลูกอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจก็ต่างกันแล้ว วันหนึ่งฉันรู้แล้วว่าวิธีการควบรวมกลุ่มทุนสาธารณสุข คือการมีคนและความกลัวกับความโลภเป็นสินค้า และนั่นแหละเชื้อโรคเอาชนะมาตลอด" ลีดูซัมส่ายหน้าพร้อมกับเดินเทียบมาตบบ่าพัฒน์ "นี่มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องของธุรกิจ ฉันเป็นปีศาจที่โลกนี้ต้องมี"

"ผมกำลังทำอยู่" พัฒน์พูดด้วยสีหน้าสลด

"แกคิดว่าฉันโง่เหรอ ฉันรู้ว่าแกทำอะไรอยู่ ถ้าอยากส่งความช่วยเหลืออีก" ลีดูซัมหยิบปืนออกมาจากในสูทด้านหลังและจ่อไปที่ใต้คางพัฒน์ พร้อมใช้มืออีกด้านจับหลังคอ ใต้คางพัฒน์คือปากกระบอกปืน พวกใส่สูทที่ว่างเปล่าต้องการแค่เงิน

"ผมต้องการอีกหนึ่งสัปดาห์ มันยากผมอยากให้คุณเข้าใจ" พัฒน์พูดภาษาเกาหลี

ลีดูซัมปล่อยมือ และเขาหันหลังกลับไปคิด ครู่เดียว ลีดูซัมหันมาตบหน้าพัฒน์และให้ลูกน้องจับตัวพัฒน์กดศีรษะลงที่โต๊ะทดลอง ลีดูซัมเอาปืนจ่อหัวพัฒน์

"ไม่ ไม่ ไม่ แกคิดผิด โลกนี้ไม่ได้ต้องการเชื้อโรค ไวรัสราคาสูงกว่า" พัฒน์อธิบาย

"ฉันจะบอกว่าแกเรียกร้องความยุติธรรมได้มากกว่า คลังข้อมูลของแก วิญญาณของแก หรือร่างกายของแก ฉันแค่ทำให้แกเห็นว่าโลกนี้ทำงานยังไง" ลีดูซัมพูดขณะที่ปืนจ่อศีรษะพัฒน์ลำดับเหตุการณ์ของตลาดหุ้นจะยิ่งทำให้ราคาสินค้าสาธารณสุขจากบริษัทเอกชนสูงขึ้น "โทษของแกมันหนักหนามากกว่านั้น"

พัฒน์เรียนรู้สัจธรรมจากความผิดหวัง เขาหลับตาและพร้อมระนาบของความจริงกับการหายไปในความทรงจำ พัฒน์กล้ำกลืนที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิด เขาพะงาบปากจะพูด

"เป็นฉันจะระวังคำพูดถัดไปให้ดี" ลีดูซัมเตือน

ทันใดนั้น "พรุ่งนี้!! พวกเราทำเสร็จให้ได้พรุ่งนี้" เสียงแทรกจากอัลเลน หลังจากพูดเสร็จก็มีลูกน้องลีดูซัมมาจับตัวอัลเลนไว้กับที่ ความไร้เดียงสาไม่อาจจะงดงามในพื้นที่ไร้ดินแดนแห่งการกดดันใกล้เข้ามา

พัฒน์ขอบคุณกับอัลเลนที่ช่วยตัวเองไว้เมื่อกี้ พรุ่งนี้เราจะออกจากที่นี่ ลินพึ่งติดต่อกลับมาได้ พรุ่งนี้ก่อนการเปลี่ยนเครื่องครั้งสุดท้าย จะมีเวลาสองชั่วโมงที่กระโดดออกมา เราต้องสกัดน้ำตาลจากอาหารทดแทน พัฒน์ชอบเคมี เราจึงรู้วิธีสร้างระเบิด ในเมื่อไม่มีเวลานั่งคำนวณจึงกะปริมาณเอา โดยปกติแล้วในอาหารจะมีไฮโดรคาร์บอนที่ติดไฟได้ แต่ที่นี่มีแต่อาหารทดแทน น้ำตาล 1 กิโลกรัมมี 4,000 แคลอรี่อาหาร 1 แคลอรี่อาหารเท่ากับ 4,184 จูล ในน้ำตาลที่อยู่ในอากาศบริสุทธิ์ และใช้ออกซิเจนเหลว 16.7 ล้านจูล เทียบเท่ากับแรงระเบิดไดนาไมต์แปดลูก มันเป็นธรรมชาติของการเผาไหม้ออกซิเจนบริสุทธิ์ พัฒน์พึมพำว่างานนี้อันตรายมาก

เราเทน้ำตาลไปในกระบอกภาชนะที่ทนทานที่สุดเท่าที่น่าจะหาได้ ก็คือกระบอกแก้วทดลองแบบหนา ความแข็งแรงของภาชนะสำคัญพอ ๆ กับระเบิด ภาชนะที่เปราะบางไม่มีทางสร้างลูกไฟที่ส่งแรงระเบิดขั้นเทพได้ ต้องเป็นภาชนะที่แกร่งพอเท่านั้นถึงจะกักความดันไว้จนกว่าสำแดงฤทธิ์ นั่นแหละถึงต่อให้พูดอย่างนั้นแต่เรามีแค่ห้ากรัมอาจจะพอระเบิดลูกกุญแจได้ แต่ที่เจ๋งของที่นี่คือไขมันต่างหาก

ไขมันทุกหยดจากที่นี่จะพาเราออกจากที่นี่พอเคี่ยวได้ที่ ไขมันจะลอยขึ้นมา คนไปเรื่อย ๆ พอไขมันจับตัวแข็งก็ตักชั้นบนที่เป็นกลีเซอรีนออกมา เติมกรดไนตริกลงไป ได้ไนโตรกลีเซอรีนแล้วถ้าเติมโซเดียมไนเตรตกับขี้เลื่อยก็จะได้ดินระเบิด ไดนาไมต์ ถ้ามีไขมันมากพอที่นี่จะเหลือเพียงแค่เศษเหล็ก

คนที่ครอบครองเชื้อโรคสามารถไล่ต้อน วัฒนธรรมกับเศรษฐกิจได้ เทคโนโลยีห่วยแตก เทคโนโลยีควรจะปลดปล่อยเราแต่ไม่เลยเหมือนเรื่องรถ มีคนคิดค้นขึ้นมาแล้วเราก็ไปไหนมาไหนได้ตามใจ แต่แล้วมันกลายเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีรถ แต่แทนที่จะเป็นอิสระกว่าเดิมเรากลับถูกจำกัดและบีบบังคับ ทุกเมืองในทุกสังคมจัดระเบียบโดยใช้เรื่องรถเป็นหลัก จนเราไม่สามารถซื้ออะไรกินได้โดยที่ไม่ต้องใช้รถ เราถูกบีบบังคับให้ทำแบบนั้น ทีวีก็ดูไม่มีพิษภัยจนเราเปลี่ยนมัน ติดตั้งกล้องทีวีวงจรปิดไว้ทุกที่เอาไว้เป็นเครื่องมือจับตาดูเรา เราขับรถเร็วก็ไม่ได้แม้ว่าเราจะรีบขับช้าเพราะอยากชมวิวก็ไม่ได้อีก เราเริ่มต้นจากการอยากเป็นผู้ควบคุมแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นทาสของเทคโนโลยีที่เราสร้าง มนุษย์ถูกลดค่าลงกลายเป็นสินค้าวิศวกรรมเป็นเพียงฟันเฟืองในเครื่องจักรทางสังคม สูญเสียศักดิ์ศรี อิสระ และเสรีภาพ ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือเชื่อฟัง เรากำลังถูกเปลี่ยนเป็นหนูในกรง แคบ ๆ เย็น ๆ วิ่งวนอยู่ในเขาวงกต ที่มีชีสไร้ความหมายที่เราวิ่งตามหา สถานะทางสังคม การเลื่อนตำแหน่ง เงินทอง รถหรูขึ้น บ้านใหญ่โตขึ้น ทีวีหลายเครื่อง เบิกบานสำราญใจอยู่กับความบันเทิงแก้ไขด้วยการบำบัดและยาซาแน็ก จนคุณไม่อยากเป็นอิสระอีกต่อไป หรือถ้าคุณปรับตัวไม่ได้ก็ตายอย่างโดดเดี่ยวในโรงพยาบาลแผนกจิตเวชหรือคุก ทางเลือกเดียว ความหวังเดียวของเรา ทางเดียวที่เราจะเป็นอิสระได้ 'ก็คือระเบิดทุกอย่างทิ้งไปซะ'

นี่แหละคือทางออกของเรา เราจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้

วันที่ 26 ในเครื่องบิน

เช้าวันที่ 26 เริ่มปฏิบัติการ

พัฒน์กับอัลเลนติดตั้งระเปิดจากไขมันถังใหญ่ ส่วนเสียงระเบิดที่เล็กที่สุดก็ดังกระทบร่างกาย ระเบิดน้ำตาลที่ระเบิดตัวล็อกประตูออก ประตูคอนเทนเนอร์เปิดออก พัฒน์รีบตรงไปที่ร่มชูชีพและหยิบให้อัลเลน อัลเลนตรงไปห้องเครื่องตรวจสอบระบบการลงจอด แค่เพียงอัลเลนเข้าไปชั่วครู่พัฒน์ที่กดเปิดประตูท้ายเครื่องได้ยินเสียงปืน "ปัง! ปัง! ปัง!" ดังมาจากในห้องเครื่อง เขารีบวิ่งไปตามเสียงแต่ถูกอัลเลนห้ามไว้ ลีดูซัมติดตั้งปืนเอาไว้ และที่นี่เป็นเครื่องบินไร้คนขับ เลือดที่ไหลออกมาจากร่างกายกำลังทำให้ร่างกายตรงหน้าพัฒน์รวน หัวใจเต้นรัวกลัวความตายโหยหาการเร่งเร้าเพื่อหนีออกจากตรงนี้ แต่เขายังมองแววตาของชายที่ร่างกายกำลังจะดับ

"พัฒน์รีบไปเถอะ"

"รีบไปเถอะ ลุกเถอะน่า วางแผนมาแล้ว อย่าออกนอกแผน"

"มันต้องมีเราอยู่ตอนเขาพบศพ นี่แหละแผนของผม"

"นายต้องไปหาลูกเมีย ลุกขึ้นกลับบ้านกัน"

พวกเขาตายหมดแล้วอัลเลนคิดในหัว แววตาพร้อมกลั้นน้ำตาออกมาส่องไปยังพัฒน์ "ผมกำลังไปหาเขานี่ไง มันโอเค ผมได้ใช้เวลาที่ผมต้องการแล้ว" ระบบร่างกายของชายตรงหน้าพัฒน์กำลังดันเลือดออกจากร่างกาย ระบบอวัยวะแต่ละส่วนกำลังจะดับลง

พัฒน์พยายามทำใจยอมรับสถานการณ์ตรงหน้า "ขอบคุณที่ช่วยผม"

"อยู่ให้คุ้มนะ อยู่ให้คุ้ม" อัลเลนบอก อีกไม่กี่วินาทีเครื่องก็จะระเบิด

พัฒน์มองเห็นใบหน้าที่กำลังจะตาย เขารับรู้สีหน้าของอัลเลน เขาเหมือนโดนปล้นเรื่องเล่าของชีวิตตัวเองไป อัลเลนจะไม่สามารถจำเรื่องอะไรเกี่ยวกับพัฒน์ได้ เขาจะเป็นคนสุดท้ายที่จดจำอัลเลน ความหวังกำลังกลบหน้าอัลเลน พัฒน์ต้องทำใจยอมรับ ตัวพัฒน์เหวี่ยงออกมาก่อนที่เวลาบนเครื่องจะหมด เขาเดินออกจากห้องนักบินตรงเลยคอนเทนเนอร์และสินค้าบนเครื่องไป

ตัวเครื่องเหมือนแกนกระดาษชำระกำลังหมุนควงจากภายใน คอนเทนเนอร์ที่มีเชือกรัดอยู่ภายใต้พื้นผิวของการกระจายแรงเหวี่ยง มันไม่เดินกลิ้งเหมือนพัฒน์ ที่เดินตามพื้นที่โน้มถ่วงตรงออกมาทางประตูท้ายเครื่องที่เปิดอยู่ เขาหลับตาแน่นก่อนถอนหายใจก่อนจะกระโดดออกจากเครื่องมาเหมือนลิงอวกาศ วินาทีที่แรงลมเผชิญกับก้อนร่างกายปะทะหูและรับรู้การต้านของอากาศ ลมหายใจร่วงหล่นราวกับสายฝน แรงลมปะทะหน้า เสียงระเบิดของเครื่องดังไล่หลัง ร่มถูกกางหลังจากนั้นเหมือนหมวกสู้ลมนำพาเขาลงพื้นดินสีเหลืองอากาศร้อนและงูหางกระดิ่ง

วันที่ 27 หลังจากถึงพื้นดิน

ร่างกายพัฒน์ตกลงในอัลบูเคอร์คี รัฐนิวแม็กซิโก

พัฒน์ตื่นมาในที่ไกลผู้ไกลคนมือถือร่วงลงมากลิ้งแตกตอนพัฒน์พยายามกระตุกเสื้อชูชีพ ตื่นซากร่มชูชีพที่เกี่ยวต้นไม้เหมือนเด็กปีนแล้วลงจากต้นไม้ไม่ได้ตอนเด็ก พัฒน์มีแผลช้ำเข้าที่เอว ถ้าไม่นับรวมกับที่พัฒน์ขวัญเสีย จิตใจที่ลอยเท้งเต้ง ถ้าไม่เจอใครจากนั้นคือจบ เขาเอาตัวเองลงมาจากต้นไม้ได้แต่ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตแถวนี้นอกตากงูหางกระดิ่งหรือต้นกระบองเพชร เขาพยายามเดิน ทุกเข้าที่ก้าวถลำไปด้วยความสั่นของหัวเข่า ทุกเท้าที่ย้ำไป เสื้อพัฒน์ที่เปื้อนเลือดกับความตื่นตระหนกของเสียงระเบิดในแก้วหูทำให้ต้องเดินไปทางเดียว จนกว่าจะเจอคน กางเกงเลอะเสื้อเต็มไปด้วยทราย ทรายแต่ละเม็ดกำลังเดินขบวนเข้ารองเท้าผ้าใบ ถ้าหยุดเดินจะเสียพลังงานเปล่า ขาล้าและอากาศที่หนาวแห้งใกล้เข้ามา ปากพัฒน์แห้งจนเป็นแผล

คืนแรกพัฒน์หักไฟแท่งไฟเรือแสงที่ติดมา เขาว่าเขาควรเจอคนตั้งหลายชั่วโมงก่อนแล้ว ตอนนี้นอนหลบอยู่ใกล้หิน อากาศก็หนาว คนที่รู้จักผมคงมีบางคนเป็นห่วงมากแน่ ๆ หรืออาจจะคิดว่าผมปาร์ตี้แล้วติดเกาะที่มีแต่หุ่นยนต์จนหาทางออกไม่ได้ หรือคิดว่าถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ อยู่ในท่อ รายละเอียดของชีวิตที่เขาคิดอยู่ในหัวพร้อมสารละลายไฮโดรเจนเปอออกไซด์ที่แตกออกจากหลอดแก้วขนาดเล็กรวมกันกับสารละลายฟินิล ออกซาเลท เอสเทอร์เม็ดสีเหลืองเปล่งแสงออกมา เกิดเป็นพลังงานที่ไม่มีความร้อนพัฒน์ต้องนอนกับแท่งเรืองแสง กลไกการเรืองแสงทางชีวภาพนี้เคยเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งในวัยเด็กของพัฒน์ ตอนนี้มันแค่ย้ำเตือนสติชั่วคราวพัฒน์ก่อนที่จะปรือตาหลับลงบนพื้นทราย เขารู้ว่าต้องจุดไฟเพื่อให้ความอุ่น ผ้าห่มตอนนี้คือผ้าห่มฟอยล์ฉุกเฉินที่อัลเลนเตรียมไว้ให้ ตัวเขาถูกคลุมไปเหมือนเคบับเป็นอาหารแม็กซิกัน ที่นี่อากาศเย็นเร็วมาก ท้องฟ้าและดวงดาวห่มความคิดโกลาหลเขาในคืนนี้

วันที่ 28 บันทึกกลางทราย

ผมตื่นมาพร้อมกับเสียงเพลงไกล ๆ และเสียงเครื่องยนต์ที่ดังมาก ๆ เสียงนั้นมาเร็วว่า แต่กว่าผมจะตื่นและออกไปยืนที่ถนนรถคันนั้นก็ไปไกลแล้ว ตะโกนจนเสียงแหบ นั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย เราต้องเดินไปกับดินและหญ้าแห้ง ๆ เป็นเพื่อน มีแต่หินกับการเมื่อยนิ้วเท้าคุยกันเป็นเสียงเพลง ผมได้หยุดพักบ้าง แน่นอนเราไม่เจอน้ำเลย เจอแต่ทรายที่เทออกมาจากรองเท้าได้สองกำมือ คิดว่าผมคงทนได้อีกทีคือพรุ่งนี้ เสียงเพลงดิสโกกำลังเปิดอยู่ในหัวมีแสงพระอาทิตย์เป็นดีเจเปิดแผ่น ผมคิดว่าเราน่าจะเจอคนก่อนจะตาย หรือตายก่อนแล้วค่อยเจอคน หรืออาจจะทั้งสองอย่างพร้อมกัน

จริง ๆ แล้วต้นกระบองเพชรพวกนี้มีน้ำ แต่กว่าจะทุบก็ต้องเสียพลังงานเพิ่ม ดูชดเชยกันไม่พอ ผมต้องกินน้ำแต่แทบจะไม่สำคัญผมไม่อยากให้คนเจอศพที่มีฉี่เต็มปาก พัฒน์นอนลงกับพื้นเขาไม่รู้ว่าเขาจะเดินไหวต่ออีกจากนี้ได้เท่าไหร่ แค่นี้ก็ง่วงนอนมากพอแล้ว อยากหลับอีกสักพัก ปากแห้งกรังในหัวว่างเปล่า ดีเจหายไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปทำไม อะไรสำคัญ พัฒน์ลุกขึ้นและห่อตัวด้วยผ้าห่มฟอยล์เขาไหวอีกแค่สามเนินเท่านั้น ๆ อีกแค่สามเนิน อีกแค่สามเนิน พัฒน์ย้ำตัวเองขณะก้าว

เขาเดินเลยมา หลังจากเนินที่สอง ในที่สุดก็เจอปั๊มน้ำมันมันราวกับเป็นโอเอซิสในทะเลทราย พัฒน์รีบพุ่งตรงเข้าไปในร้านหยิบน้ำในตู้กิน และเอาหน้าแนบพลาสติกครอบเครื่องหมุนไส้กรอก มันอุ่นกว่าลมที่เย็นสิ่งนี้จะทำให้เขาไม่ตาย เขาขอใช้โทรศัพท์จากร้านโดยการสื่อสารที่รู้เรื่องมากกว่าที่เจ้าของร้านจะโทรหนึ่งเก้าหนึ่ง เจ้าของร้านบอกว่าโทรศัทพ์ที่มีสัญญาณมีตู้เดียวข้างนอก พัฒน์อธิบายเรื่องตัวเองจนได้ใช้ตู้โทรศัพท์ พัฒน์โทรไปยังเบอร์โทรศัทพ์ลิน เธอรับสาย เสียงของลินทำให้เขาหมดกังวลประสบการณ์ของพัฒน์กับลินเหมือนหนังสือลายน้ำ ต้องสังเกตเราถึงพบเจอ เสียงลมกลายเป็นขบวนพาเหรดของใบพัฒน์เฮลิคอปเตอร์ ขบวนความช่วยเหลือมาหาพัฒน์ พัฒน์จ้องมองรถและเฮลิคอปเตอร์ที่มาช่วยจากระยะไกล 'ขอบคุณพระเจ้าทุกองค์' เขาคิดในใจ ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อแต่ทุกก้าวที่ผ่านมาได้ในพื้นที่แห้งแล้งทั้งหมดเขาสวดมันหลายบทและหลายศาสนา รวมทั้งการนับเลขที่ทำเป็นประจำเมื่อเกิดความกังวล

ลินมารับที่ท่าอากาศยาน ทั้งพัฒน์และลินนั่งเบาะหลังบนรถยนต์ ข่าวดีจะเป็นการเจอกับลินส่วนข่าวร้ายจากปากลินว่าการจู่โจมเชื้อโรคของซิกเป็นจริงมีคนตายไปมากกว่าหนึ่งพันรายแล้วเกือบสองเดือนมาแล้วตั้งแต่การล้มลงของโดมิโน่

"ผมทำพังทุกครั้ง" พัฒน์พูดขณะที่มองออกนอกกระจกรถไป ที่คลื่นลมสีขาวข้างนอก

"ไม่มีใครโทษแกพัฒน์" ลินเตือน

"ผมโทษ พี่ยังไม่หมดหวังในตัวผมอีกเหรอ" พัฒน์น้ำตาคลอคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา ชีวิตเขาเละเทะไปหมด

"ไม่เลย" ลินตอบ "เธอจะผ่านพ้นมันไปได้ เธอจะผ่านพ้นมันไปได้เสมอ บางทีแกอาจจะอยากได้คนระวังหลัง… แบบคู่หูที่ดี"

พัฒน์หันหน้าไปทางลิน ลินกลั้นหัวเราะ พัฒน์ถอนหายใจกับใบหน้าพึงพอใจนี้ ลินภูมิใจในตัวพัฒน์ที่ผ่านมาได้

"พี่เป็นคนฉลาดที่สุดเท่าที่ผมเจอมาแล้ว" พัฒน์มองลินก่อนจะกลับมาคิดถึงเรื่องที่ต้องทำในหัว "พอดีมีเรื่องต้องคิดหน่ะ"

"มีที่ไหนที่อยากไปก่อนมั้ย" ลินถาม

"เบอร์เกอร์คิง ผมอยากกินชีสเบอร์เกอร์ แล้วก็พี่นัดแถลงข่าวให้ผมที" บริษัทพัฒน์ยังอยู่ตอนนี้บอร์ดบริหารน่าจะพยายามทำตามให้ตรงกับไตรมาสที่ผ่านมา ตอนนี้มันสายเกินกว่าจะเสียใจแล้วโลกเปลี่ยนแปลงในสามเดือนที่ผ่านมา พจนานุกรมความเจ็บปวด และสารานุกรมบาดแผลสมบูรณ์ในตัวพัฒน์ พัฒน์แบกดวงวิญญาณและร่างกายอันบอบช้ำผ่านมาได้ กับในกระเป๋ากางเกงพัฒน์ที่มีทรัมไดรฟ์เป็นข้อมูลแห่งความเป็นความตายน่ากลัวอยู่