webnovel

The Last Ogre [ยักษ์]

Fantasy
Laufend · 12.6K Ansichten
  • 10 Kaps
    Inhalt
  • Bewertungen
  • NO.200+
    UNTERSTÜTZEN
Zusammenfassung

เขาคือผู้สาปสรรที่อวตารมาเกิดใหม่ในดงศัตรูจึงจำต้องอยู่ในร่างไอ้กาก แต่ดันจับพลัดจับผลูถูกไอ้บ้านั่นผูกพันธะ บ้าเอ้ย! เอาชีวิตอันสงบสุขของกูคืนมา!!!

Chapter 1บทที่ 1 คำสาป

ท่ามกลางสายฝนหวดกระหน่ำ ณ ผาเดียวดาย ร่างหนึ่งยืนตระหง่านบนชะง่อนผาที่ด้านล่างเป็นหุบเหวลึกเกินหยั่ง

ตรงหน้าร่างนั้นคือกลุ่มอริไพรีที่หมายชีพตน ศัตรูตรงหน้าเหล่านั้นคือเหล่าเทพเทวาผู้เห็นว่าเหล่าตนคือผู้ครอบครองฤทธานุภาพแห่งความดีงาม คือผู้ถูกต้อง คือผู้ปกปักรักษาแห่งผืนนภาแลปฐพี ผู้มีรูปกายงดงาม และผู้เอื้ออารี เป็นเผ่าพันธุ์ที่เอาแต่สรรเสริญยกย่องตัวเองเพื่อหยันเหยียดเบียดเบียนเผ่าพันธุ์ที่ต่ำชั้นกว่า นั่นคือชนชั้นของ 'เหล่ายักษาผู้น่าเวทนา'

ทำเป็นแสร้งว่ามีไมตรีให้ แล้วมุสาลวงล่อให้เหล่าเผ่ายักษ์อสุราผู้ไม่ทันระวังตนร่วมมือในการกวนน้ำอมฤต ลวงว่าจะจ่ายแจกแบ่งสรรตามกำลังที่เข้าร่วม ที่ไหนได้...หลังเสร็จสิ้นทุกสิ่งที่มุ่งหวัง เหล่าทวยเทพอันเรืองฤทธาก็เผยธาตุแท้ที่ต่ำทรามเสียยิ่งกว่าชนชั้นอสูร ยึดทุกสิ่งที่ควรเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมแห่งยักษ์ไป แล้วขับไล่เข่นฆ่าราวกับมิเคยมีไมตรีกัน

แต่ยักษามิยินดีถอยร่นดังเหล่าเทพชั่วปรารถนา เช่นนั้นสงครามเทวาอสูรจึงอุบัติ

เหล่าเทพผู้ได้เสวยอมฤตอุดมไปด้วยอิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนไพศาล ต่างกับเหล่ายักษาอสูรมารที่หมดกำลังไปอักโขแล้วกับการร่วมกวนเกษียรสมุทรในครานั้น แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มากด้วยอำนาจแลพลัง ทว่า ณ เพลานี้ก็หาได้เหลือเรี่ยวแรงต่อกรใดๆ กับเหล่าผู้มีฤทธาไม่

ท้ายที่สุดยักษาก็มิอาจต้านทาน ถูกไล่ต้อนหักหาญผลาญชีวินจนแทบสิ้นทั้งเผ่า

ขุนพลยักษ์ตนหนึ่งที่ยังยืนหยัดแม้จะเหลือเพียงแขนข้างเดียวกับร่างที่โชกชโลมไปด้วยโลหิต ร่างนั้นยืนจังก้าอยู่ตรงริมชะง่อนผาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้เหล่าเทพนั้นมุ่งมายังตนเพียงหนึ่ง เปิดทางให้เหล่าลูกหลานในเผ่าที่เหลือได้หลบลี้เอาชีวิตรอด

ท่ามกลางสายฝนสาดกระหน่ำ แสงวาบของสายฟ้าหวดฟาดพาดผ่านทิฆัมพรราวกับแส้ม้า พร้อมกระแสเสียงกัมปนาทคำรามครามครืน

ผู้ใกล้วายชนม์เหยียดยิ้มเยาะหยันในห้วงสุดท้ายแห่งชีวิตตน ก้มร่างลงใช้มือข้างที่เหลืออยู่กอบกำดินเปียกขึ้นมาหยิบมือแล้วป้ายปาดตรงหน้าผากโหนกลากเป็นปื้นตั้งแต่หน้าผากจรดริมฝีปาก พลางเอ่ยคำสาปแช่ง!

"ข้าแต่ผืนปฐพีโปรดเป็นพยาน ข้าผู้นี้ขอแลกด้วยลมหายใจแลวิญญาณทั้งหมดแด่ท่าน เพื่อสาปสรรเผ่าพันธุ์แห่งเทวัญชั้นฟ้าผู้เป็นทุรยศแก่เผ่าพันธุ์ข้า ขอให้พวกมันประสบแต่ความบรรลัยฉิบหายให้เท่ากันกับเผ่าพันธุ์ข้า ขอให้พวกมันจมอยู่กับความทุกข์โศกเวทนา เจ็บไข้ล้มตายไม่มีวันขาดสายประดุจห่าฝนนี้!! ทำร้ายพวกข้าไว้เท่าใดก็ขอให้พวกมันฉิบหายเท่ากัน!!! ให้พวกมันที่ถือตัวว่าเป็นเทพผู้สร้างกลายร่างไม่ต่างจากเดรัจฉานอสูร ไม่อาจเสวยสุขในทิพยใด ๆ ให้มันกินได้เพียงเลือดเนื้อจนเป็นที่รังเกียจไปทั่วสารทิศ!! ขอให้คำที่ข้าลั่นออกไปด้วยวิญญาณนี้ถือเป็นคำตาย หาได้มีอำนาจใดลบล้างได้ไม่!! และแม้ถึงวันที่มันเจ็บเท่ากันแล้ว หากมิใช่ลูกหลานแห่งเผ่าพันธุ์ยักษาผู้ต้องตามตำราเป็นผู้ถอนคำสาปสรรนี้แล้วไซร้ ก็ให้พวกมันจมอยู่กับทุกขเวทนาต่อไป อย่าได้ผุดได้เกิด ชั่ว กัป ชั่ว กัลป์!!"

สิ้นคำสุดท้ายสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาที่ด้านหลังเพื่อตอบรับในคำสาปแช่งนั้น ขุนพลยักษ์เหยียดยิ้มเย็นก่อนที่ร่างนั้นจะหงายหลังทิ้งลงไปยังหุบเหวที่ลึกสุดหยั่ง แหลกเหลวอยู่ ณ ก้นบึ้งนั้นพร้อมคำสาปสรรที่แสดงฤทธานุภาพออกมาในทันที!

*

*

*

*

*

หัวใจยักษาร้าวรวด การถูกเหล่าเทพหักหลังนั้นมันยังไม่หนักเท่าการถูกเพื่อนร่วมตายทรยศ แต่แม้เจ็บแค้นเท่าไหร่ยักษาตนนี้ก็ไม่อาจหักใจต่อสหายเทพเพียงหนึ่ง ในขณะที่บริกรรมคำแช่งชักจึงจงใจยกเว้นเทพตนนั้นไว้ แล้วค่อยจากไปด้วยหัวใจที่แหลกสลาย

*

*

*

*

*

หลังคำสาปสรรเมืองที่สวยงามราวสรวงสวรรค์ชั้นดุสิตก็พินาศย่อยยับลงไป เหล่าทวยเทพที่แม้ยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งน้ำอมฤตแต่ก็ไม่อาจต้านทานความรุนแรงของคำแช่งนั้น ทำให้ลูกหลานที่เกิดใหม่ล้มตายไปเกือบทั้งเผ่า เหล่าเทพที่เหลือรอดก็แทบจะกลายสภาพเป็นอสูรที่ต้องดำรงชีพด้วยเลือดเนื้อของเหล่ามนุษย์

จากเผ่าพันธุ์แห่งเทพเทวัญที่สูงศักดิ์ต้องตกต่ำเข้าขั้นเดรัจฉาน นั่นจึงทำให้เหล่าเทพที่ยังเหลือรอดพยายามอย่างหนักเพื่อหาวิธีแก้ไข ทางเดียวที่จะสามารถแก้ได้คือต้องให้ลูกหลานยักษ์สายเลือดเดียวกับผู้สาปเป็นคนแก้ ทว่าหลังพวกตนเทพไท้ทำการอันเป็นทุรยศโดยการยึดน้ำอมฤตเป็นของตนทั้งหมดแล้วนั้นก็ได้ไล่ล่าพร่าผลาญเหล่ายักษ์จนสิ้นทั้งเผ่า มันจึงไร้ซึ่งผู้แก้ไข

แต่กาลนั้นก็ไม่ได้ทำให้เหล่าผู้ที่ถือตนว่าเป็นคนวิเศษเลิศล้ำถอดใจ เทพไท้ผู้มีฤทธิ์จึงสร้างยักษ์ขึ้นใหม่ด้วยเลือดเนื้อจากซากศพของยักษ์ที่ตนเข่นฆ่า เพื่อให้กำเนิดยักษ์ในยักษ์ตนใหม่ที่สามารถแก้ไขคำสาปสรรได้

ทว่าเรื่องนั้นก็หาได้ง่ายดาย ยักษ์ที่ถูกสร้างขึ้นไม่อาจทดแทนวงศ์วานแห่งสายเลือดแท้ อีกทั้งการทดลองสร้างยักษ์มิใช่เรื่องง่าย ตัวอ่อนบ้างตายบ้างพิการไม่สามารถเติบใหญ่สมบูรณ์ เพียงครึ่งหนึ่งที่สามารถรอดพ้นจนเติบใหญ่กระนั้นก็มิได้หมายความว่าจะรอดขึ้นมาเป็นยักษ์แต่กลับกลายเป็นอสูรที่ไร้จิตสำนึกใดที่ต่ำช้ายิ่งกว่าภพแห่งเดรัจฉาน แม้เทพเหล่านั้นจะรู้ตัวว่ากำลังจะสร้างหายนะ แต่ก็ไม่ยอมล้มเลิกในการเพาะยักษ์ขึ้นมาล้างคำสาป เพราะแม้จะมีโอกาสแค่ 1 ในล้านพวกเขาก็ยังมีความหวัง

แต่ยิ่งนานวัน นอกจากการทดลองจะไม่สำเร็จผลดังใจแล้ว ความเสื่อมสลายก็คืบคลานเข้ามาทุกขณะ เหล่าเทพไม่อาจอยู่รอความตายที่ดินแดนของตน ท้ายสุดจึงคิดอพยพโยกย้ายทิ้งหลอดทดลองที่มีมากมายหลายล้านไว้ ทั้งที่ถูกทำลายและยังมีตัวอ่อน โดยมิสนใจอีกว่ามันจะกลายเป็นตัวอะไร อสูร หรือ ยักษ์

ในช่วงกลียุคที่สุดพรแห่งอมฤตก็ไม่อาจส่งทอดได้ทั้งหมด เหล่าเทพไท้กลายกลับเป็นสิ้นฤทธา เผ่าพันธุ์ล่มสลายเมื่อปลายสมัยที่แดนดุสิตกับแดนมนุษย์ยังเชื่อมโยง เมืองดุสิตแห่งทวยเทพล่มสลายมีเพียงส่วนหนึ่งที่หนีรอดลงมาพักพิงยังแดนมนุษย์ จบสิ้นตำนานแห่งเผ่าพันธุ์ที่เคยยิ่งใหญ่

แต่เรื่องเลวร้ายที่พวกเขาได้ทำไว้มันยังไม่จบ การเริ่มต้นแห่งกลียุคจึงได้ลุกลามลงสู่โลกมนุษย์ด้วย เพราะเหล่าอสูรที่ถูกทิ้งไว้ในดินแดนดุสิตไม่ได้ล้มตาย กลับเพิ่มพูนกำลังพลเหลือคณานับ ขยายเผ่าพงศ์ครอบครองแดนดุสิตที่เสื่อมถอย แม้อสูรทดลองที่สร้างขึ้นนั้นส่วนใหญ่จะล้มเหลวกลายเป็นเพียงอสูรที่มีเพียงสัญชาตญาณไม่มีหัวคิดจิตใจ แต่เหล่าเทพไม่รู้ว่ามันยังมีตัวอ่อนส่วนหนึ่งที่สามารถพัฒนาจนเกือบกลับมาใกล้เคียงกับเผ่ายักษ์ ที่มีมันสมองและมีรูปโฉมที่ไม่ต่างเทพ

เหล่าอสูรผู้มีสมองนั้นสถาปนาตัวขึ้นเป็นเผ่าอสูร เผ่าพันธุ์อสูรนี้ขยายกำลังพลจากหลอดทดลองพราดพรวดรวดเร็วจนวันหนึ่งแดนดุสิตที่ล่มสลายก็ไม่อาจรองรับความหิวกระหายของพวกมัน ทรัพยากรถูกล่าล้างจนแทบไม่เหลือเพราะพวกอสูรระดับล่างมันกินไม่เลือก สุดท้ายพวกมันก็เริ่มรุกรานไปยังพื้นที่อื่น และเพราะแดนดุสิตกับแดนมนุษย์ยังยึดโยงกันผ่านประตูมิติที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ทำให้ต่อมาอสูรส่วนหนึ่งก็ผ่านประตูมิติเข้ามารุกรานในแดนดินนี้

เหล่ามนุษย์ผู้อยู่อย่างสุขสงบมาตลอดตกอยู่ในความหวาดหวั่น แต่เหล่าเทพที่แฝงตัวอยู่นั้นรู้ดีว่ามันคือความรับผิดชอบของพวกตน สุดท้ายจึงออกหน้าปกป้องมนุษย์โดยการกำจัดอสูร ทว่าเหล่าเทพที่เหลือเพียงหยิบมือไม่อาจต้านทานเหล่าอสูรที่โผล่มาทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่หยุดหย่อนได้ไหว แต่ด้วยพรแห่งอมฤต ก่อนที่เผ่าพันธุ์เทวัญและมนุษย์จะถูกรุกรานจนถึงกาลสาบสูญ พวกเขาจึงได้ทำพิธีประสาทพรหนึ่งขึ้นเพื่อมอบฤทธานี้ส่งต่อแก่มนุษย์บนโลกที่ตนเข้ามาพักพิงอาศัย

'พรภูมิ' คือชื่อของพรที่พวกตนมอบให้ แบ่งปันจากอมฤตลึกล้ำที่พวกตนได้ถือครอง เด็กมนุษย์ส่วนหนึ่งนับจากนี้ไปจะได้รับพรภูมิกลายเป็นผู้มีพลังทัดเทียมเทพเพื่อปกปักรักษาดินแดนแห่งนี้จากเหล่าอสูร และเพราะมนุษย์ไม่เคยมีพลังทั้งยังไม่รู้ว่าอสูรนั้นเกิดจากฝีมือของเหล่าเทพสร้าง พวกตนจึงมอบศรัทธาให้แก่เทพผู้ประสาทพรและยกให้เป็นผู้ปกครองตนในที่สุด

เวลาผันผ่าน เหล่าเทพผู้มาเยือนแบ่งดินแดนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ออกเป็น 5 ประเทศเพื่อให้ง่ายต่อการปกป้อง อันได้แก่ อินทรา จันทรา สุริยา ดารา อนันตา แต่ละประเทศสร้างกำแพงเมืองมหึมาเพื่อปกป้องพื้นที่ของตนจากพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ที่ถูกอสูรยึดครองไปแล้ว

กว่าหลายพันปีล่วงมาถึงปัจจุบันที่โลกก้าวหน้าไปมาก ด้วยวิทยาการที่เลิศล้ำทำให้พวกมนุษย์สามารถต่อกรกับอสูรได้มากขึ้น พวกเขาจัดตั้งโรงเรียนของเหล่าผู้ได้รับพรภูมิเพื่อจะได้ฝึกทักษะในการล่าอสูรตั้งแต่เยาว์วัย มีการวางกำลังเพื่อป้องกันกำแพงเมืองอย่างแน่นหนา

แม้เหล่ามนุษย์ผู้ได้รับพรภูมิจะมีพลังและความสามารถอันน่าอัศจรรย์ แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าเหล่าชนชั้นปกครองเพียงหยิบมือของอาณาจักรอินทราที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์แห่งเทวัญผู้ประสาทพรได้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีพร้อมทั้งพละกำลังที่เหนือกว่าคนทั่วไป ทักษะการรบ พลังเวทย์ อายุขัยที่ยืนนานและที่สำคัญคือรูปโฉมที่งามล้ำสมชาติพันธุ์ที่สืบสายมา

น่าเสียดายที่ความเลิศล้ำสัพพัญญูเพียงนั้นกลับไม่อาจดำรงเกรียงไกร ชนชั้นปกครองผู้สืบเชื้อสายที่เหลือรอดจากการสูญสลายของชั้นดุสิตจึงเหลืออยู่เพียง 5 ตระกูลเท่านั้น ซึ่งก็กลายเป็นราชาประจำ 5 ประเทศไป

แต่แม้ทุกสิ่งได้สรรค์สร้างให้คนเหล่านี้มีความพิเศษเหนือผู้ใดจนเป็นที่ริษยา ทว่าคำสาปสรรแห่งเผ่าพันธุ์ที่ติดตัวมาย่อมยังส่งผลกระทบ นั่นคือพวกเขานั้นจำเป็นจะต้องดื่มโลหิตเพื่อยังชีพให้อยู่รอด และไม่ใช่เพียงโลหิตของมนุษย์สามัญธรรมดา แต่ต้องเป็นโลหิตของผู้มีอำนาจแห่งพรภูมิในด้านของเวทมนตร์อาคมสูงส่งเพียงพอเท่านั้น นั่นจึงทำให้ผู้สืบสายพงศ์เผ่าแห่งเทวัญนั้นล้วนต้องมีนักเวทย์ข้างกาย เพื่อที่จะใช้วิชาอาคมที่ตนมียับยั้งและรักษาอาถรรพ์ของคำแช่ง และอีกอย่างคือเป็นคลังโลหิตที่จะขาดไม่ได้เป็นอันขาด

มีอีกอย่างที่เป็นความคับแค้นในอกของเหล่าเทพ นั่นคือคือพวกตนไม่อาจให้กำเนิดเทพเลือดบริสุทธิ์ได้ พวกเขาไม่อาจให้กำเนิดบุตรที่เป็นสายเลือดแท้นอกดินแดนดุสิต ดังนั้นเด็กส่วนใหญ่ที่ถือกำเนิดมาก็จะมีสายเลือดเพียงครึ่งเดียว อีกทั้งยังยากมากที่จะเกิดมาด้วย ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มียุวเทพถือกำเนิดออกมาเพียง 13 คนเท่านั้น ทั้งหมดเป็นเลือดผสม โดย 3 คนล่าสุดเพิ่งถือกำเนิดเมื่อ 18 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นเป็นรัชทายาทที่กำเนิดจากราชาที่เป็นเทพและมารดาที่เป็นคนจากเผ่านาค ซึ่งเผ่านาคก็ถือว่าเกือบเทียบเคียงเทวา ส่วนยุวเทพอีก 2 คนในรุ่นเดียวกับรัชทายาทนั้นเป็นบุตรของแม่ทัพคู่พระทัย และอีกคนเป็นบุตรของราชครู

รัชทายาทเป็นลูกครึ่งเทพ-นาคา บุตรชายของแม่ทัพก็เป็นลูกครึ่งเทพ-นาคา เป็นที่น่าแปลกใจนักเพราะบุตรชายของราชครูนั้นถือกำเนิดจากมารดาที่เป็นลูกครึ่งเทพกับราชครูผู้เป็นมนุษย์ที่ได้รับพรภูมิเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเด็กที่กำเนิดออกมาก็มีสัญลักษณ์แห่งเทวา

เมื่อยังเยาว์ ยุวเทพเหล่านี้จะยังไม่ต้องรับเลือดเพราะถือว่ายังบริสุทธิ์ จะเริ่มรับเลือดครั้งแรกก็ต่อเมื่อเจริญวัยถึงอายุ 13 ปี โดยจะสามารถรับเลือดจากนักเวทย์ของชนชั้นปกครองได้ แต่เมื่อใดที่อายุผ่านพ้นจนถึง 18 ปีแล้วก็จะไม่สามารถรับเลือดจากบุคคลใดนอกเหนือจากนักเวทย์ที่ถูกผูกพันธะของตนได้อีก

และเมื่อกล่าวถึงนักเวทย์ แม้ผู้ที่ได้รับพรภูมิจะมีมากมาย แต่ก็ได้ทักษะแตกต่างกันออกไปเป็น 5 สายหลักๆ ด้วยกัน คือ นักรบ นักฆ่า นักธนู นักบวช และ นักเวทย์ จริงอยู่ที่มีนักเวทย์อยู่มากมาย แต่นักเวทย์ที่ประสบความสำเร็จจนได้ยืนเคียงข้างชนชั้นปกครองนั้นถือว่าหายากเสียจนเลือดตาแทบกระเด็น บางครั้งแม้เก่งกล้าแต่หากไร้วาสนาก็ไม่อาจไขว่คว้าถึง

เพราะเหตุนี้เทวาที่ตอนนี้เหลือเพียงหยิบมือในชั้นปกครองก็ได้เฟ้นหาเหล่าคนที่มีพรภูมิแล้วเอาเข้าเรียนในโรงเรียนที่เรียกว่าอะคาเดมี่ที่ปกครองโดยพวกตน เพื่อให้เด็กเหล่านั้นเติบโตอย่างแข็งแกร่งแล้วออกมาต่อสู้กับอสูรได้อย่างเข้มแข็ง และเพื่อตามหานักเวทย์ที่เหมาะสมต่อทายาทที่กำลังเติบใหญ่หรือที่อาจถือกำเนิดออกมาในอนาคต ดังนั้นจึงไม่มีใครเลยที่มีพรภูมิแล้วจะไม่ถูกค้นพบ ส่วนใหญ่จะเจอตั้งแต่แรกเกิดเพราะมีสัญลักษณ์แห่งผู้ได้รับพรติดตัวอยู่

ว่ากันว่าใครหรือครอบครัวใดก็ตามที่มีบุตรในบ้านเกิดมาพร้อมสัญลักษณ์แห่งพรภูมิ ก็จะได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐทันทีเพราะถือว่าเป็นครอบครัวของผู้ปกป้องประเทศ และที่สุดในนั้นคือใครที่ได้รับพรภูมิในสายเวทย์แล้วได้รับเลือกให้เป็นคู่กับเทวาแล้วล่ะก็ครอบครัวก็จะเรียกได้ว่ายิ่งกว่าถูกรางวัลใหญ่ เพราะไม่มีสิทธิประโยชน์ใดมีค่ามากไปกว่าการได้ใกล้ชิดชนชั้นปกครอง อย่างในยุคนี้ที่มียุวเทพถือกำเนิดออกมา 3 คน นั่นย่อมหมายความว่าจะมีนักเวทย์จาก 3 ครอบครัวได้รับสิทธิพิเศษนั้น

อีกไม่นานทั้ง 3 ก็จะอายุครบ 18 ปีแล้ว แต่ก็นั่นแหละส่วนใหญ่แล้วพวกที่ได้รับเลือกก็จะมาจากตระกูลใหญ่ๆ เท่านั้น โดยเฉพาะในยุคสมัยแห่งทุนนิยมนี้

คนธรรมดาย่อมไม่มีสิทธิ์ใฝ่ฝันถึง

ประเทศที่ปกครองด้วยระบบชนชั้นมันก็เป็นแบบนี้

ไม่ว่าที่ใดก็ตาม...

Das könnte Ihnen auch gefallen

พยศนักรักซะเลย

“หยุดก่อน.. อย่าเพิ่งไป” “พี่คะ อย่าทิ้งนิดไว้ นิดกลัว” นิรดาร้องเรียกพลางสะอื้นไห้ ร้องเรียกอย่างสิ้นหวัง … “นิดครับ พี่อยู่นี่ นิดไม่ต้องกลัว มีพี่อยู่ ไม่มีอะไรต้องกลัว” น้ำเสียงตื่นตระหนกแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นของเดช ทำให้นิรดาพยายามลืมตาอันหนักอึ้งของตนขึ้น ภาพอันเลือนลางเหมือนความฝันปรากฎตรงหน้า นิรดายกมือขึ้นลูบไปที่แก้มสากอย่างอ่อนโยน แล้วก็หมดสติไปเพราะพิษไข้ ความหนาวเหน็บค่อยๆคืบคลานเข้ามา จนเธอพูดเพ้อไม่ได้สรรพ “หนาวเหลือเกิน พ่อค่ะ นิดหนาวเหลือเกิน แม่ข๋า ช่วยนิดด้วย” สิ้นเสียงนิรดา เดชสีหน้าแดงกล้ำ เป็นความผิดของเค้า ถ้าเค้ารู้ว่าร่างกายเธอไม่ได้แข็งแรงเหมือนทีืเธอชอบแสดงความอวดอ้าง เค้าคงไม่เผลอปล่อยให้เธอตกน้ำ จนล้มป่วยแบบนี้ เค้าต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นเธอได้หนาวตายแน่ “นิดพี่ขอโทษนะ” ไม่พูดเปล่า เดชค่อยๆถอดเสื้อผ้าที่นิรดาใส่ออกทีละชิ้น จนเหลือแค่บราเซียตัวจิ๋ว ทั้งๆที่พยายามหักห้ามใจแล้ว แต่ผิวขาวอมชมพูราวกับไข่มุกที่ปรากฎตรงหน้า ที่ตอนนี้ซีดเซียวจากการเปียกน้ำเป็นเวลานาน ก็ทำให้เดชแอบกลืนน้ำลาย จากนั้นก็ค่อยๆถอดชุดของตัวเองออกเพื่อหวังว่า ไอความร้อนจากตัวเค้า จะช่วยให้นิรดาอุ่นขึ้น… เดชหลุบสายตาลงแล้วค่อยๆประคองกอดเนื้อแนบเนื้อ ทุกอนูที่ผิวสัมพัสกัน ช่างอุ่น จนนิรดาเผลอขยับเข้าหาร่างหนา นั่นยิ่งทำให้เดชต้องใช้ความอดทนขั้นสุด ซึ่งเค้าก็ไม่รู้ว่ามันจะทนได้สักเท่าไหร่กัน

Jbatwise · Fantasy
Zu wenig Bewertungen
3 Chs

ท่วงทำนองในสายฝน (Melody in the rain)

สำหรับ “ท้องฟ้า” สายฝนคืออ้อมกอดอันอบอุ่น ตั้งแต่เล็กจนโตเธอมักหนีออกไปเล่นน้ำฝนอยู่บ่อย ๆ ทุกครั้งที่ฝนตก ท้องฟ้าจะรู้สึกอบอุ่นผ่อนคลาย ราวกับว่า “ใครบางคน” กำลังโอบกอด ปลอบประโลม และช่วยชะล้างความไม่สบายใจทั้งมวลให้หมดสิ้นไป โดยเฉพาะความเศร้าจากฝันร้ายที่หลอกหลอนเธอมาตั้งแต่เด็ก ภาพหญิงสาวในชุดสีแดงสดเปื้อนเลือดยังติดตาเธออยู่เสมอ ท่ามกลางสายฝนในคืนพระจันทร์เต็มดวง เลือดสาดกระจายไปทุกทิศ แต่หญิงสาวในชุดสีแดงก็ยังคงร่ายรำอยู่ท่ามกลางหยาดเลือดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น “ระบำสีเลือด” คือคำที่เธอใช้เรียกความฝันนั้น ความรักที่มีให้ต่อสายฝนและความหวั่นกลัวจากฝันร้ายนี้ผูกพันกับเธอมาตลอดตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบใหญ่ เป็นความผูกพันที่เธอเองก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้ กระทั่งวันหนึ่งสายฝนที่เธอรักก็ไม่ได้มาพร้อมกับเสียงสายฟ้าที่คุ้นชิน แต่กลับมีเสียงบรรเลงลอยคลอมาด้วย ท่วงทำนองประหลาดหากแต่ให้ความรู้สึกแสนคุ้นเคย ท้องฟ้าไม่รู้เลยว่านับตั้งแต่วินาทีนั้นชีวิตของเธอจะไม่อาจเหมือนเดิมได้อีก

Aksorn · Fantasy
Zu wenig Bewertungen
8 Chs

เครื่องบรรณาการของเทพงู - เล่ม 1 [TH] (รีอัพ+ย้ายนามปากกา)

เครื่องบรรณาการของเทพงู 蛇神之致敬 เล่ม 1 [ Tribute of the Serpent ] [เวอร์ชันภาษาไทย] โปรย : 简介 ในวสันตฤดูเดือนยี่ เวียนครบรอบในทุกสิบสองปี เป็นปีที่มนุษย์จะเข้าใกล้โลกของเหล่าทวยเทพมากที่สุด เจ้าสาวของท่านเทพหลงเหนียนได้รับการคัดเลือกแล้วในปีนี้ อาเป้ย ไม่เห็นด้วยกับการส่งเครื่องสังเวยแด่เทพ นางไม่เคยยินยอม! นางเพิ่งอายุสิบแปดปีไม่กี่วันมานี้โดยที่นางไม่เคยได้มีชีวิตเป็นของตนเองเลย นางไม่เคยได้ปิ่นปักผมเยี่ยงสตรี นาน ๆ ครั้งนานนางจะได้กินอาหารดี ๆ แล้วนี่มันเรื่องอะไร! ท่านเจ้าเมืองผู้สูงศักดิ์ผู้ปกครองแคว้นทั้งสิบหกแคว้น ทั้งที่ปกติจะมีธุระยุ่งวุ่นวายตลอดเวลา ยังอุตส่าห์มาส่งนางด้วยตนเอง พร้อมทั้งทหารองครักษ์ผู้เป็นจอมยุทธฝีมือเก่งฉกาจหกนาย ถืออาวุธครบมือเพื่อมาคุ้มครองนางไปส่งให้ถึงมือท่านเทพ "ไปเถิด บัดนี้ก็ถึงเวลาของเจ้าแล้ว เจ้าจะได้ไปอยู่กับเหล่าทวยเทพ เพื่อเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมืองและบิดามารดาของเจ้า การที่เจ้าเป็นสตรีจิตใจกล้าหาญยอมเป็นผู้เสียสละในวันนี้ ขอให้เจ้าจงภูมิใจ ข้าเองก็จะไม่ลืมเจ้าเช่นกัน... อาเป้ย" "ท่านคงไม่ลืมข้าแน่ล่ะใต้เท้า ข้าทราบดีว่าเส้นทางนี้มิใช่ไปเป็นเจ้าสาวของทวยเทพแต่อย่างใด ข้ากำลังจะไปเป็นอาหารงูต่างหาก" --------------------------- เรื่องราวการเสียสละของเครื่องบรรณาการ ผู้กลายมาเป็นสมบัติเทพปีศาจในเทวโลก --------------------------- "ดู ๆ ไปแล้ว... เจ้าในยามป่วยไข้ช่างงดงามนัก ยิ่งเสียกว่าพัดสีทอง น้ำเต้าวิเศษ กระจกหยินหยาง ข้าว่ามีสิ่งของหลายอย่างที่ข้าโปรดปราน ข้ามีของหายากอีกหลายชิ้น การที่เจ้าผ่ายผอมไปสักหน่อย ไม่ใช่ปัญหา..." เสียงของบุรุษเทพดังก้องในห้องสี่เหลี่ยม ประตูหน้าต่างเปิดกว้างให้ลมพัดผ่าน งูสีนิลสนิทเลื้อยคลานมากระซิบอยู่ข้างหูของนาง "...อย่างไรเสีย ข้าขอให้เจ้าเข้าใจว่าข้าไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการที่เจ้าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง หาใช่สตรีของข้าแต่อย่างใด" แล้วเหตุใดท่านต้องเอาอกเอาใจนาง ขนาดใต้เท้าจีกงและนางฟางเหนียงเอ่ยปากตำหนิว่าบุรุษไม่ควรอยู่ในห้องนอนตามลำพังกับสตรีซึ่งมิใช่ภริยาของตน และอาเป้ยมิใช่สมบัติธรรมดา นางมีใบหน้าอันงดงามมากพอจะทำให้ท่านกลายเป็นข่าวฉาวในเทวโลกได้ เทพอู่เฉินก็หาได้ฟังผู้ใหญ่ จำแลงกายเป็นอสรพิษ เปิดประตูหน้าต่างทุกบานอย่างเปิดเผย คอยเฝ้านางอย่างไม่ให้คลาดสายตา จะมีเพียงเวลาที่สตรีทั้งสองเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางเท่านั้น เทพอู่เฉินถึงออกไปยืนรอด้านนอกในร่างบุรุษ อาเป้ยคิดถึงบุรุษเทพปีศาจยามนี้ นางคิดว่าสมองของท่านน่าจะไม่ปรกติ "ข้าว่าข้าคงจะเป็นสมบัติที่ท่านโปรดปรานมากที่สุด มากกว่าชิ้นใด ท่านจึงหวงแหนข้าถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงเข้าใจผิดไปว่าท่านเป็นบุรุษเทพประหลาด การกระทำของท่านจึงมักขัดแย้งกันเองอยู่เสมอ" "เจ้าควรพักผ่อนให้มากกว่าพูดจาหยอกล้อกับข้า อาเป้ย ข้าไม่ใช่มิตรสหายของเจ้า" นางกำลังยิ้ม! หัวเราะเทพอู่เฉินด้วยเสียงแหบแห้งของนางอย่างไม่มีผู้ใดหาญกล้ากระทำมันมาก่อน ดวงตาเรียวรีของนางราวจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ จิ้งจอกไม่ว่าจะตระกูลไหน ล้วนมีนิสัยเช่นนางในเวลานี้ นางช่างทำตัวขวางหูขวางตา ทว่านำพาความรู้สึกชุ่มชื้นหัวใจอย่างน่าประหลาด เทพอู่เฉินนึกขัดหูขัดตานางนัก ทว่ายังคงจ้องมองดวงตากลมโต สดใสราวดอกไม้ผลิบานในสวนของทวยเทพ ในร่างอสรพิษ ชูคอตระหง่านอยู่ตรงหน้านาง "ใช่แล้วล่ะ... เป็นบุญของข้ายิ่งนัก ได้เป็นสมบัติอันโปรดปรานของท่าน... เทพอู่เฉิน"

ManGu_Author · Fantasy
Zu wenig Bewertungen
45 Chs