webnovel

ตอนที่ 7

"ยังตามหาเจ้าพัฒน์ไม่เจออีกเหรอ"

เพราะความหงุดหงิดของชายชรา ทำให้วีระได้เพียงพยักหน้าไม่กล้าแก้ตัว

"หรือว่า พัฒน์จะตายไปแล้วจริง ๆ ครับ คุณปู่ ใบมรณบัตรที่เราได้มาเป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้น สามสิบกว่าปีมานี่ จะไม่ได้ข่าวคราวเลยหรือครับ"

"ไม่มีทาง เจ้าพัฒน์ยังมีชีวิตอยู่แน่ ๆ"

เมื่อเห็นท่าทางสงสัยของหลาน ชายชราจึงบอกต่อ

"ถ้าเจ้าพัฒน์ตายไปแล้ว ติรมันตรามณีต้องกลับมายังแท่นบูชาเหมือนเดิม แล้วตอนนี้ ก็เหลือแค่บ้านเราบ้านเดียวที่จะปลุกปราณเลือดได้ เมื่อติรมันตรามณียังไม่กลับมาก็แปลว่า เจ้าของมันยังมีชีวิตอยู่"

"แล้วถ้าพัฒน์มีลูก"

"แกคิดว่า เจ้าพัฒน์จะมีอะไรกับผู้หญิงเพื่อให้มีลูกได้เหรอ"

"งั้นใบมรณบัตรนั่น"

"แกก็รู้ ถ้ามีเงิน อะไร ๆ ก็ไม่ยากเกินไปหรอก ตอนนั้นก่อนจะหายไป ปู่ว่าเจ้าพัฒน์ต้องเอาสมบัติส่วนหนึ่งออกไปด้วย อีกอย่าง ปู่ว่าเราอาจจะตามหาผิดทางแล้ว"

"หมายความว่าไงครับ"

"อย่าลืมว่า เจ้าพัฒน์ไม่มีวันแก่ ถ้าเขายังใช้ตัวตนเดิมตอนเกิด ยังไงก็ต้องมีคนสงสัย เจ้าพัฒน์น่าจะสร้างตัวตนใหม่ให้อายุสอดคล้องกับรูปร่างหน้าตา เราต้องตามหาเจ้าพัฒน์คนที่ยังอายุยี่สิบ"

"ผมลืมคิดไป ได้ครับ ผมจะให้นักสืบลองสืบหาคนที่หน้าตาเหมือนพัฒน์อีกที"

"ดี แล้วเพื่อนแกคนนั้นเป็นไงบ้าง"

"ผมก็ยังติดต่ออยู่ครับ ผมคิดว่า ถ้าพัฒน์จะติดต่อหาใครสักคน ต้องเป็นโก้นี่แหละครับ คุณปู่คงจำได้ว่า โก้เป็นความรักครั้งแรกและครั้งเดียวของพัฒน์ เป็นคนที่ทำให้เขาถึงกับยอมสละปราณเลือด ถ้าจะยังมีใครสักคนที่พัฒน์ไม่มีทางลืมก็เป็นเป็นโก้นี่แหละครับ"

"แกแน่ใจหรือว่า เจ้าพัฒน์จะยังคิดเหมือนเดิม สามสิบกว่าปี ป่านนี้อาจจะลืมไปหมดแล้วก็ได้"

"คนอื่นอาจลืม แต่ผมว่าพัฒน์ไม่ลืม คนที่ถูกเลี้ยงมาให้โดดเดี่ยวไม่ให้มีอารมณ์ความรู้สึก ถ้าเกิดความรักแล้วล่ะก้อ ยังไงก็ไม่มีวันลืมครับ"

"ให้เป็นอย่างที่แกคิดล่ะกัน ก็ยังเป็นโชคดีของเราที่เจ้าพัฒน์ไม่ได้ชอบผู้หญิง ไม่งั้นถ้าหายไปแล้วแต่งงานมีลูก เราจะไม่รู้เลยว่า ใครจะได้ครอบครองติรมันตรามณีรุ่นต่อไป"

"จะไปซักผ้าเหรอ กานต์"

วสวัตที่กำลังรดน้ำต้นไม้ถามเมื่อเห็นกานต์หอบของเสื้อผ้าที่ยังไม่ซักใส่ตะกร้าใหญ่มาใส่รถ

"เปล่า วันนี้ผมกลับบ้านเลยเอาไปซักที่บ้านเลย"

"แล้วกลับวันไหนล่ะ"

"คงวันจันทร์เย็น ๆ เลยล่ะ วันอังคารผมมีเรียน แล้ววัตอยากได้อะไรจากโคราชไหม บอกได้นะไม่ต้องเกรงใจ"

"ไม่ล่ะ ขอบใจ"

วสวัตวางสายยาง กานต์เลยเดินไปปิดก๊อกน้ำให้

"ต้นไม้รอบบ้าน ไม่ทำสปิงเกอร์ตั้งเวลาล่ะ รดน้ำทุกวันเหนื่อยแย่"

"ไม่หรอก เดินถือสายยางแบบนี้ ออกกำลังไปในตัว ดีกว่าไปฟิตเนตอีก"

"แต่บ้านวัตนี่มีแต่ไม้ใหญ่กับพวกไม้ใบนะ ไม่เห็นมีไม้ดอกบ้างเลย ไม่ชอบดอกไม้บ้างเหรอ"

"ดอกไม้ผมก็ชอบ แต่ถ้าปลูกดอกไม้มันต้องดูแลเยอะ ไม้ใบแบบนี้แค่รดน้ำอย่างเดียว วันไหนขี้เกียจไม่รดน้ำบ้างก็ยังได้"

"ไว้ผมหามาปลูกให้ไหม พวกดูแลง่าย ๆ ก็มีนะ อย่างดอกเข็มไง บ้านผมมีดอกเข็มเยอะนะ ปลูกแล้วจะได้มีสีสดใส ๆ บ้าง"

"อย่าเลย"

ชื่อดอกไม้ที่อีกฝ่ายบอกทำให้วสวัตหลุดปากทันที หากพอเห็นสีหน้าคนหวังดี เขาก็รีบบอก

"ผมกลัวไม่ได้ดูแลแล้วจะตายเปล่า"

"ไม่เป็นไร งั้นผมไปล่ะ"

"ขับรถดี ๆ นะ อย่าซิ่งนักล่ะ"

เพราะรู้ว่าน้ำเสียงเมื่อครู่ทำให้คนฟังตกใจ วสวัตจึงทอดเสียงนุ่มกว่าปกติแล้วยิ้มให้เต็มรอย ท่าทางนั้นทำให้สีหน้าคนที่ขับรถออกไปดีขึ้น

เมื่อรถคันเล็กแล่นลับสายตาไป เจ้าของบ้านมองไปรอบ ๆ ตัว มีแค่ไม้ใบเท่านั้นที่ปลูกไว้ เพราะยามใดที่คิดจะปลูกไม้ดอก ก็อดวาบลึกถึงสิ่งที่เคยมีคนทำให้ไม่ได้สักครั้ง เขาจึงพยายามผนึกความทรงจำนั้นโดยไม่ให้มีสิ่งใดทำให้หวนคิดถึงอีก หากตั้งแต่ได้พบกับกานต์ เหมือนหลาย ๆ ความทรงจำที่เคยถูกผนึกไว้จะถูกเปิดออกให้ระลึกถึงไม่วาย

"สวัสดีครับ อาโก้ อาวี"

กานต์ทักอากับเพื่อนที่ตั้งโต๊ะอยู่ในสนามหน้าบ้านอย่างคุ้นเคย เพราะเพื่อนอาคนนี้มักมาเยี่ยมอาเขาอยู่เสมอ ๆ ตั้งแต่เขายังเด็ก บนโต๊ะมีขวดเหล้าพร้อมกับแกล้มสองสามอย่าง วีระกวักเรียกหลานเพื่อนที่เห็นมาแต่เด็กจนเหมือนเป็นหลานตัวเองไปแล้ว

"ว่าไง ไอ้เสือ วันนี้กลับบ้านเหรอ ตอนนี้จากหลานมาเป็นรุ่นน้องอาแล้วนี่"

วีระทักด้วยชื่อที่เรียกจนเหมือนชื่อเล่นไปแล้ว แล้วตบที่นั่งข้าง ๆ

"สักแก้วไหม เป็นหนุ่มแล้วนี่ดื่มได้น่า ให้หลานดื่มหน่อยได้ไหมเพื่อน"

กานต์หันมองโก้ โก้พยักหน้าแล้วรินผสมบาง ๆ ให้

"แก้วเดียวพอ"

"โก้เอ๊ย หลานเป็นผู้ชาย ให้หัดดื่มไว้หน่อยสิ ไปไหนจะได้ไม่โดนมอม"

"ก็ให้ดื่มนี่ไง แต่ไม่ต้องหัดจนคล่องอย่างนายหรอก"

"น่านเข้าตัวจนได้ ว่าแต่เราเหอะ เรียนเป็นไงมั่ง"

"ก็หนักอยู่ครับ แต่ก็สนุก เพื่อนเยอะดี"

"ดีแค่นั้นน่ะนะ"

วีระหันไปทางโก้

"เพราะนายแหละ เล่าเรื่องคณะซะจนหลานสอบเข้าเป็นรุ่นน้อง"

"เขาเลือกของเขาเอง แล้วก็สอบติดน่ะ"

"วันนี้อาวีว่างเหรอครับ ถึงมานั่งจิบกับอาโก้ได้"

"ก็ไอ้ขวดนี้ไง อาเอามาให้ตั้งแต่มาบ้านแล้วยังกินไม่หมด วันนี้เลยต้องมาจัดการซะ ทิ้งไว้นานเดี๋ยวจะเสียซะก่อน"

"เหล้าทีไหนเสียวะวี"

"เห้ย ของมันนานก็เสียได้ทั้งนั้นแหละ"

กานต์แอบขำข้ออ้างในการมาดื่มเหล้าของเพื่อนอา รอบ ๆ โต๊ะมีต้นเข็มปลูกเรียงราย ดอกสีแดงสดตัดกับใบเขียวสะดุดตา

"เอ่อ...อาโก้ครับ ดอกเข็มพวกนี้ดูแลยากไหมครับ"

"ไม่ยากนะ แค่รดน้ำใส่ปุ๋ยนิดหน่อยก็พอ ทำไม จะปลูกมั่งเหรอ"

คำถามของกานต์ทำให้วีระตาวาวขึ้น เขามองต้นเข็มที่ปลูกไว้อย่างมีนัย สองอาหลานที่คุยกันไม่ทันสังเกตเห็นสายตาที่แปลกไปของคนมาเยี่ยม

"บ้านที่ผมไปเช่าน่ะครับมีแต่พวกไม้ใบ เจ้าของเค้าว่าไม้ดอกดูแลยากเลยไม่ปลูก ผมเลยถามอาโก้ให้แน่ใจ เผื่อไปแนะนำเขา"

"ต้นเข็มปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลเยอะ"

"ใช่ เคยมีเพื่อนอาอยู่คนชอบปลูกไม้ที่ดูแลง่าย ๆ แบบนี้"

ประโยคนั้นของวีระทำให้สีหน้าโก้เผือดลงเล็กน้อย กานต์ที่เหล้าเกือบหมดแก้วแล้วลุกขึ้นขอตัว

"ไว้ผมมาถามอาโก้อีกทีนะครับ เดี๋ยวผมเอาผ้าไปซักก่อน"

กานต์ลุกไปยกตะกร้าผ้าเข้าไปซักในบ้าน ขณะที่โก้มองต้นเข็มที่ปลูกไว้

"เห็นแล้วคิดถึงพัฒน์นะโก้ รายนั้นชอบนักดอกเข็มเนี่ย"

คนฟังคงมองไม้ที่ปลูกไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะดอกเข็มเป็นต้นไม้ที่คนในความทรงจำรักหนักหนา เขาคงไม่ขยันปลูกมาจนทุกวันนี้ เวลาที่มองดอกเข็มราวเขาได้ย้อนกลับไปในวันที่เคยใช้เวลาร่วมกัน

"กินเข้าไปได้ไง พัฒน์ ไม่สกปรกเหรอ"

โก้ถามเมื่อเห็นพัฒน์ดึงก้านดอกเข็มออกมาจากช่อ แล้วดูดตรงปลายก้าน

"สกปรกที่ไหน หวานดีออกลองไหม"

พัฒน์ดึงก้านดอกส่งให้ โก้รับไปอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อเห็นคนให้ดูดปลายอย่างอร่อยเขาก็ลองทำบ้าง แล้วก็ได้รสหวานแตะปลายลิ้น

"หวานใช่ไหม ดอกเข็มน่ะมีน้ำหวานอยู่ ดึงออกมาแบบนี้กินได้เลย"

"แล้วไม่กลัวยาฆ่าแมลงเหรอไง"

"ดอกเข็มปลูกง่าย โตเร็ว ไม่ต้องพ่นยาด้วย เราถึงเอามากินได้เลยไง"

"แน่ใจเหรอ"

"แน่ใจสิ เราชอบดอกเข็ม มันปลูกง่ายไม่ต้องดูแลเยอะ แล้วดอกมันสีแดงสดสวยจะตาย ออกดอกทีเป็นช่อใหญ่ แถมกินน้ำหวานได้อีก บ้านเราปลูกไว้ตั้งหลายต้น"

โก้มองช่อดอกเข็มในมืออีกฝ่าย หากวันนี้เขากลับรู้สึกว่า ดอกเข็มกับคนที่ถืออยู่ดูคล้ายกันจริง

"มีอะไรหรือโก้ มองเราแบบนี้ ดูนายแปลก ๆ นะ"

"เราแค่กำลังคิดว่า นายกับดอกเข็มนี่เหมือนกันเลยนะ"

"เหมือนตรงไหน สวยเรอะ คงไม่ใช่ว่าเราร้ายเหมือนเข็มทิ่มแทง"

ดวงตาที่มองอย่างไม่ไว้ใจว่าเขาจะตอบแบบไหนทำให้โก้อดหัวเราะไม่ได้ คนตัวเล็กไม่เคยซ่อนความคิดได้เลยสักครั้ง

"เปล่า เหมือนนายตรง ดูข้างนอกนายเป็นคนแข็ง ไม่กลัวใคร กล้าคิดกล้าทำ แต่ลึก ๆ นายอ่อนโยน คิดถึงคนอื่น เหมือนดอกเข็มอยู่เป็นช่อดูแข็ง แต่จริง ๆ แล้วพอดูแค่ดอกเดียวจริง ๆ กลับบอบาง"

คำบอกนั้นทำให้อธิพัฒน์หวามลึกในใจ เพราะไม่คิดว่า โก้จะมองตัวเองเป็นคนแบบนั้น วันนี้เหมือนเกราะที่เขามีมาแต่เด็กค่อย ๆ ถูกกะเทาะลอกออกจนถึงเนื้อใน

"เรียกว่าไงดี ดูแข็งแกร่งแต่บอบบาง ดูกระด้างแต่อ่อนโยน"

คนพูดเองยังตกใจว่า ทำไมครั้งนี้เขาคิดคำคล้องจองได้แบบนี้ แต่คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้เขาคิดแบบนี้จริง ๆ และเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เขารู้สึกว่า ภาษาไทยเขาดีอย่างเกินความคาดหมาย

"ขอบคุณนะ โก้"

คนเคยช่างพูดตอบแค่นั้น หากในดวงตาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี ความเต็มตื้นจนแทบเห็นน้ำใสคลออยู่ทำให้คนพูดรู้สึกดีที่พูดไปแบบนั้น คนสองคนนั่งด้วยกันโดยไม่มีคำพูดใดอีก ในความเงียบงันคล้ายมีสายใยบาง ๆ เชื่อมพันไว้ด้วยกัน

นับจากวันนั้น เขาก็เริ่มปลูกต้นเข็ม แม้จะบอกว่า เพื่อให้บ้านดูสดชื่นขึ้น หากในส่วนลึกแล้วเหตุผลที่เขาพยายามไม่รับรู้คือ สักวันจะให้คนที่โปรดปราดต้นเข็มนักมาดูว่า แปลงดอกเข็มของเขาสวยงามเพียงใด หากจนถึงวันนี้ คนที่เขาหวังให้มาร่วมชื่นชมก็ไม่เคยได้เห็นความตั้งใจของเขาเลย

"ที่นายปลูกต้นเข็มนี่ เพราะพัฒน์ชอบใช่ไหม"

วีระถามเพื่อนที่นิ่งไป ด้วยวัยที่อยู่มาเกินครึ่งอายุและการผ่านพ้นความผันผวนของชีวิต ทำให้โก้พยักหน้าตอบรับ เขาไม่มีความลับกับเพื่อนคนนี้ เพราะนอกจากวีระจะเป็นญาติกับอธิพัฒน์แล้ว ยังเป็นคนเชื่อมความสัมพันธ์ของเขากับพัฒน์มาโดยตลอด แม้จนวันที่การตัดสินใจของเขาทำให้คนตัวเล็กจากไป อีกฝ่ายก็ยังคงความเป็นเพื่อนกับเขามาโดยตลอด

"เราเคยคิดนะว่า วันนึงจะให้พัฒน์มาดูดอกเข็มแปลงนี้ แต่เสียดาย..."

"อย่าไปคิดมาก เราว่า วันนึง พัฒน์ต้องได้มาดูดอกเข็มพวกนี้น่ะ"

"เราไม่หวังแล้วล่ะ สามสิบกว่าปีแล้ว เขายังไม่เคยติดต่อมาเลย"

"เขาคงคิดว่า นายยังอยู่กับเมียนายมั้ง ถึงไม่ติดต่อมาเลย"

"นายติดต่อพัฒน์ไม่ได้จริง ๆ เหรอ"

"จริง"

คำตอบรับหนักแน่น

"เราอยากให้นายกับพัฒน์ได้ปรับควาเข้าใจกันจะตาย ถ้าพัฒน์ติดต่อมาทำไมเราจะไม่บอกนาย"

โก้พยักหน้ารับ แก้วต่อมาเขาเทเหล้าลงไปสีเข้มขึ้น สายตาคงมองต้นไม้ที่เขาตั้งใจปลูก ดอกเข็มช่อสวยสีแดงจัดจ้า คำที่เคยบอกพัฒน์ย้อนมาในความทรงจำ

"ดูแข็งแกร่งแต่บอบบาง ดูกระด้างแต่อ่อนโยน"

ไม่คิดเลยว่า จากวันที่คนถูกเปรียบลับหาย เขาได้ไม่ได้พบความอ่อนโยนนั้นอีกเลย คน ๆ นั้นคงใช้ความแข็งแกร่งที่เป็นเปลือกนอกกีดกั้นไม่ยอมหวนกลับมา

"พัฒน์ ทำไมนายใจแข็งนัก"