หญิงสาวที่เปลี่ยนชุดกลับมาอยู่ในชุดเดรสตัวเดิมที่สวมออกมาจากบ้านรีบส่งคืนชุดฟินาเล่แล้วเดินไปสะกิดเพื่อนสาวซึ่งนั่งกดโทรศัพท์มือถือฆ่าเวลา เมื่อฝ่ายนั้นหันหน้ามามินตรารีบเอ่ยทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะได้เปล่งเสียง
"รตี กลับกันเถอะ ฉันไม่อยากจะอยู่ที่งานนี้แล้ว"
ไม่รออีกฝ่ายตอบ เธอหันหลังกลับพร้อมออกแรงดึงฝ่ายที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น หากไม่สามารถเดินไปต่อได้เมื่ออีกฝ่ายฉุดแขนเธอไว้
"เดี๋ยวสิมิ้นต์ นี่แกเป็นอะไร ฉันเห็นแกแปลกๆ ตั้งแต่หลังเดินแบบเสร็จแล้ว แกใจเย็นนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปส่งแกเลย แต่ขอรอเจอคุณป้ามารตีแป๊บเดียว เพราะท่านส่งข้อความมาบอกให้ฉันรอเจอเมื่อกี๊นี้เอง"
"แต่..."
ไม่ทันที่มินตราจะได้เอ่ยต่อ เสียงผู้หญิงอีกคนดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"อยู่นี่เองหนูรตี หนูมิ้นต์ ขอบใจมากนะที่มาช่วยงานวันนี้" จากนั้นหันหน้าไปทางเพื่อนของมินตรา "นี่หนูรตี ป้าจะแนะนำให้รู้จักกับลูกชายของป้า"
พูดแล้วหันไปพยักหน้าทางด้านหลัง ชายหนุ่มทั้งสองคนเดินเข้ามาพร้อมกัน คนหนึ่งผิวขาวเนียน ส่วนอีกคนผิวเข้มกว่า รวมถึงไปหน้าก็สมสันกว่าอีกฝ่ายเช่นกัน รตีหันไปสนใจชายหนุ่มทั้งสอง ผิดกับมินตราที่พยายามมองเมินไปทางอื่น
ชายผิวขาวเดินเข้ามาขนาบข้างคุณมารตีพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงทักทายหญิงทั้งสองตรงหน้า คุณมารตียิ้มแล้วหันมาทางรตี
"หนูรตี นี่ชลธี ลูกชายป้าเอง รู้จักกันไว้เสียสิจ๊ะ... ชลธี นี่หนูรตีที่แม่เคยพูดถึงบ่อยๆ หนูรตีเปิดร้านกาแฟสวยมากเลยนะ กาแฟก็รสชาติกลมกล่อม ขนมก็อร่อย ลูกเองก็ทานขนมเค้กจากร้านหนูรตีเสียเยอะแยะเลยนี่ วันหลังก็หาโอกาสไปอุดหนุนสิ"
สองชายหญิงที่รู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกคุณมารตีทำหน้าที่แม่สื่อแม่ชักได้แต่จ้องหน้ากัน ชลธีดูพึงใจหญิงสาวตรงหน้าไม่น้อยจนต้องเอ่ยทักทาย
"ขนมร้านคุณอร่อยมากเลยนะครับ แล้วผมจะหาโอกาสไปอุดหนุน"
เพียงเท่านั้นแก้มของรตีปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้น หญิงสาวจำต้องพยักหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
"ค่ะ เชิญนะคะ"
คุณมารตีมองทั้งสองชายหญิงที่มองสบตากันด้วยความพึงใจ พลันนึกถึงชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ รีบหันกลับไปทางหญิงสาวสองคน
"ส่วนอีกคนชื่อเหล็กเพชรจ้ะ เพื่อนตาธี เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศไม่นานมานี้เอง... เหล็กเพชร นั่นรตีจ้ะ ส่วนอีกคนก็มินตรา เพื่อนของหนูรตีที่เหล็กเพชรไปช่วยเขาไว้เมื่อกี๊ไง ไม่นึกเลยนะว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจะทำให้โชว์ดูสมบูรณ์แบบได้ขนาดนี้"
มารตีพูดคุยอย่างมีความสุขโดยไม่ทันได้เห็นใบหน้าเจือรอยยิ้มจืดจางบนใบหน้ามินตรา เหล็กเพชรหันไปมองหญิงสาวที่คุณมารตีแนะนำแล้วเบี่ยงตัวมาจากด้านหลังคุณมารตี
"สวัสดีครับคุณรตี และคุณมินตรา ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณรตี... ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้งนะครับมินตรา"
คำทักทายเหล็กเพชรชวนให้ทุกคนงุนงง ยกเว้นมินตราที่ตั้งสติได้ก่อนรีบเอ่ยออกมาทันที
"คุณเหล็กเพชรคงจำคนผิดแล้วค่ะ เราไม่เคยพบกัน... นี่ดึกมากแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ" พูดจบแล้วหันไปไหว้ลาคุณมารตีแล้วหันมาพูดกับเพื่อนสาว "รตี แกไปส่งฉันที่บ้านที ก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้"
รตีเองก็ยังสงสัยกับคำพูดของเหล็กเพชร แต่เธอเห็นแก่เพื่อนมากกว่าจึงหันมาไหว้ลาบุคคลทั้งสามแล้วตามมินตราออกไป คุณมารตีมองหญิงสาวเพื่อนรักรตีด้วยความสงสัยแล้วหันมาถามเหล็กเพชร
"ทำไมเพชรพูดเหมือนรู้จักหนูมิ้นต์มาก่อนล่ะลูก แล้วทำไมหนูมิ้นต์ต้องทำท่าทีแบบนั้น"
เหล็กเพชรไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไร ชลธีเข้าใจท่าทีนั้นจึงเป็นฝ่ายกระซิบหูผู้เป็นแม่เพื่อเป็นบอกเรื่องทุกอย่างเอง เพียงเท่านั้นดวงตาหญิงสูงวัยเบิกกว้างขึ้นแล้วหันไปยังเพื่อนบุตรชาย
"ตายแล้วตาเพชร นี่เราเคยทำแย่กับหนูมิ้นต์ขนาดนั้นเชียวเหรอ ไม่ควรเลย ไม่ควรที่ป้าจะพาให้เธอสองคนมาพบกันอีกเลย"
---------------------------------------------------
"พ่อ! เรามีเรื่องต้องคุยกัน"
เสียงเรียกดังสนั่นจากหน้าประตูบ้านเป็นต้นเหตุให้ผู้ที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับการรับชมรายการโทรทัศน์สะดุ้งจนเกือบกระโดดจากโซฟา เมื่อตั้งสติได้รีบหันไปมองต้นเสียงพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
"ไอ้ลูกเวร ดึกดื่นป่านนี้จะเรียกดังทำไมวะ หูพ่อไม่ตึงเรียกเฉยๆ ก็ได้ยิน... มีเรื่องอะไรถึงต้องมาโหวกเหวกโวยวายยตอนนี้"
ฝ่ายบุตรชายไม่สนใจต่อความหงุดหงิดของชายตรงหน้า เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วจับพรตนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม จ้องหน้าผู้เป็นพ่อ แววตาจริงจัง
"ทำไมพ่อไม่บอกผมว่ามินตราเปลี่ยนไปมากขนาดนี้"
คราวนี้พรตจ้องตอบเหล็กเพชรด้วยความงุนงงที่เขาเอ่ยถึงหญิงสาวที่ไม่เคยสนใจแม้แต่ปลายหางตา เหตุใดคราวนี้ถึงมาถามถึงอดีตคู่หมั้นที่เขาเป็นฝ่ายทิ้งไปเอง
"ก็แกไม่ได้สนใจหนูมิ้นต์อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วฉันจะบอกแกทำพระแสงอะไร... เดี๋ยวนะ แล้วแกไปเจอหนูมิ้นต์ที่ไหน"
"ที่งานแฟชั่นโชว์ของแม่เจ้าธีไง หนูมิ้นต์ของพ่อได้เดินชุดฟินาเล่ด้วย ไม่เหลือคราบป้าแว่นคนเดิมเลย พ่อน่าจะเล่าให้ผมฟังสักนิดว่าเขาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้"
"แล้วแกจะอยากรู้ไปเพื่ออะไร"
คำถามจากผู้เป็นพ่อทำให้เหล็กเพชรเกือบพลั้งตอบกลับทันที พลันนึกได้จึงเปลี่ยนเป็นเก็บคำพูด นั่งหันหน้ามองไปทางอื่น
"ไม่มีอะไรนี่พ่อ คนเคยรู้จักกัน ก็น่าจะบอกเล่าความเป็นไปให้ผมฟังบ้าง"
"ไอ้เหล็กเพชร อย่าทำตัวปากแข็งเหมือนชื่อ ฉันเป็นพ่อแกฉันดูแกออก... ทำไม เห็นหนูมิ้นต์วันนี้แล้วเกิดหวั่นไหว อยากจะย้อนกลับไปหาเขาอีกรอบเหรอ"
เหล็กเพชรนั่งนิ่งไปสักพักแล้วหันหน้ามาหาบิดาพร้อมเสียงอ้อมแอ้ม
"แล้วพ่อว่ามันจะมีโอกาสเป็นไปได้ไหมถ้าคราวนี้ผมจะลองกลับไปทำความรู้จักกับเขาดูสักครั้ง"
คราวนี้พรตขยับตัวออกห่าง จ้องมองบุตรชายอย่างคิดไม่ถึง
"นี่แกจะบ้าเหรอไอ้เพชร คราวที่แล้วแกก็เป็นคนทิ้งเขาไปเอง แล้วมาวันนี้แกก็จะกลับไปขอโอกาสทำความรู้จักกับเขา ไม่คิดเหรอว่าแกจะโดนจับโยนออกมาจากบ้านนั้น"
"กลัวก็มีบ้างนะพ่อ แต่อยากลองรู้จักเขาให้มากขึ้นมันมีมากกว่าความกลัว ถ้าอย่างนั้นสู้หน้าด้านสักทีดีกว่า ผมยอมรับว่าเห็นมินตราวันนี้ผมก็ชอบทันที ยิ่งรู้ว่าทั้งสวยขึ้น ทั้งทำงานเก่งผมยิ่งสนใจ เรื่องอดีตที่เกิดขึ้นผมจะพยายามแก้ไขเอง ถ้าคราวนี้สำเร็จผมจะเต็มใจให้พ่อจับคลุมถุงชนเลย"
"ไอ้เพชร แกจะกลืนคำพูดตัวเองเหรอ ก็แกบอกเองว่าจะไม่มีวันแต่งงานกับหนูมิ้นต์เด็ดขาด"
"ใช่ ถ้าเขาให้โอกาสผม ผมก็จะยอมกลืนคำพูดตัวเองเลย"
ถ้อยคำจากปากลูกชายทำให้พรตดีใจไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เหล็กเพชรทำเอาไว้ก็ไม่สามารถสนับสนุนได้เต็มปากเต็มคำ
"แกก็ลองดูก็แล้วกันแต่พ่อคงช่วยอะไรแกไม่ได้ ยังไม่กล้าสู้หน้าไมตรีกับคุณติเขาเลย แต่พ่อจะขอแกอย่างเดียวเท่านั้น... หากครางนี้แกจะจริงจังขอให้แกรักหนูมิ้นต์จากภายใน ลบเลือนภาพภายนอกที่แกคิดว่าสวยงามไปให้หมด เพราะคงไม่มีใครพอใจที่แกจะรักเขาแค่เปลือกที่สวยงามหรอก"
---------------------------------------------------
ใต้เงามืดยามค่ำคืนมีเพียงหญิงสาวในชุดเดรสสีครีมนั่งอยู่ที่ชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้บ้าน มือทั้งสองข้างยกมือขึ้นจับเชือกไว้พลางปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามแรงแกว่งไกวของชิงช้าไม้ ใบหน้าหญิงสาวก้มมองพื้นหญ้าราวกับต้องการตัดขาดจากทุกสิ่งรอบกาย
ไม่นานนักเธอรับรู้ถึงการแกว่งของชิงช้าค่อยๆ ผ่อนลงพร้อมเชือกด้านหนึ่งถูกกระตุกเล็กน้อยให้แรงแกว่งไหวนั้นเบาลง มินตราหันไปมองผู้ที่เพิ่งเข้ามาแล้วเผยยิ้มน้อย
"พี่วุธนั่นเอง ยังไม่นอนเหรอคะ"
ฝ่ายที่ถูกถามยิ้มตอบ
"ผมรอคุณมิ้นต์กลับมาครับ นี่กลับมานานแล้วเหรอครับ ทำไมไม่เข้าไปในบ้านล่ะ"
"มาถึงสักพักแล้วค่ะ เข้าไปบอกคุณพ่อคุณแม่มาแล้ว แต่มิ้นต์ยังไม่อยากนอนค่ะก็เลยขอมานั่งเล่นที่ชิงช้าก่อน"
วรวุธส่งยิ้มให้หญิงสาวแล้วเดินไปยืนด้านหลังมือทั้งสองข้างจับเชือกเหนือมือเรียวงามของมินตราพร้อมออกแรงแกว่งไกวชิงช้าอย่างนุ่มนวล
"ปกติคุณมิ้นต์กลับมาแล้วก็เข้าบ้านทันที ยกเว้นเวลาที่มีปัญหาก็จะมานั่งที่ชิงช้าตัวนี้ คราวนี้ก็คงมีเรื่องอะไรให้คิดมากอีกแล้วใช่ไหมครับ บอกผมได้ไหม"
มินตราเงยหน้าขึ้นมองผู้ยืนด้านหลัง รอยยิ้มที่อาบใบหน้าค่อยๆ จางหาย
"พี่วุธรู้เสมอว่ามิ้นต์รู้สึกอย่างไร คราวนี้ก็เดาได้ถูกอีกแล้ว... ใช่ค่ะ มิ้นต์มีเรื่องที่ต้องทำให้คิดมาก แต่มิ้นต์ไม่รู้ต้องเล่าอย่างไร"
"คุณมิ้นต์ค่อยๆ เรียบเรียงก่อนก็ได้ครับ ผมพร้อมที่จะรับฟังเสมอ"
หญิงสาวนิ่งเงียบไปสักพักแล้วตัดสินใจเอ่ยออกมา
"พี่วุธจำเรื่องที่เกิดกับมิ้นต์เมื่อห้าปีก่อนได้ไหมคะ"
วรวุธนึกทบทวน เมื่อนึกได้ว่าเป็นเรื่องไหน เขาเลี่ยงไม่พูดว่าคือเหตุการณ์ใดออกมาด้วยเกรงว่าหญิงที่แอบรักจะสะเทือนใจ
"จำได้ครับ ทำไมเหรอครับคุณมิ้นต์"
"วันนี้มิ้นต์เจอผู้ชายคนนั้นในงานค่ะ"
สิ่งที่ออกจากปากมินตราพลอยทำให้ใบหน้าอาบยิ้มของวรวุธเหือดหายตามไปด้วย เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมินตราจึงต้องมานั่งชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่เวลานี้
"จริงเหรอครับ ไม่คิดนะครับว่าจะต้องมาเจอกันอีก แล้วคุณมิ้นต์ได้ไปจัดการเขาไหมครับ"
มินตราส่ายหน้าเบาๆ พลางใช้นิ้วเรียวยาวเขี่ยผมที่เลื่อนมาแตะใบหน้า แววตาคู่สวยจ้องมองไปยังท้องฟ้ายามราตรี
"ไม่ค่ะ มิ้นต์ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก แต่ดันโชคไม่ดีที่เขาเป็นเพื่อนกับคุณชลธี ลูกชายคุณป้ามารตีที่ยัยรตีให้มิ้นต์ไปช่วยสังเกตท่าทีวันนี้ เขาพยายามแสดงตัวว่ารู้จักมิ้นต์แต่มิ้นต์ก็ไม่สนใจเขาหรอกค่ะ คนที่ทำกับเราขนาดนั้นควรต่างคนต่างอยู่เสียมากกว่า แม้แต่คนรู้จักมิ้นต์ก็ไม่อยากมีให้เขา"
คราวนี้ใบหน้าวรวุธปรากฏรอยยิ้มอีกครั้งเมื่อมินตราแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากข้องเกี่ยวกับอดีตคู่หมั้นที่ทำให้แค้นฝังใจอีก
"ดีแล้วล่ะครับ คนที่เขาทำร้ายขนาดนั้นอย่าไปให้ค่าเขาเลย ตอนนี้คุณมิ้นต์ก็ไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จักแล้ว ต้องภูมิใจตัวเองนะครับที่ฝ่าฝันคำสบประมาทจนมาถึงวันนี้ได้"
มินตรานิ่ง คิดตามคำพูดของชายหนุ่มด้านหลังแล้วพยักหน้าน้อยๆ
"ก็จริงของพี่วุธนะคะ คงเป็นสิ่งเดียวที่มิ้นต์ต้องขอบคุณผู้ชายคนนั้นที่ฉีกหน้ามิ้นต์ในงานหมั้นจนทำให้มิ้นต์ลุกขึ้นมาดูแลตัวเองมากขึ้นเพื่อลบคำสบประมาท ต่อไปนี้มิ้นต์ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาเคยรังเกียจแล้ว และเขาก็ไม่ควรจะมีอิทธิพลกับมิ้นต์อีก"
"ใช่ครับ... นี่ดึกมากแล้ว คุณมิ้นต์กลับขึ้นห้อง นอนพักเถอะครับ ค่ำมืดแล้วเดี๋ยวจะถูกยุงกัดเอาเสียเปล่าๆ ผมจะเดินไปปิดไฟชั้นล่างในบ้านให้เอง"
มือแกร่งค่อยๆ ชะลอชิงช้าให้หยุดนิ่ง มินตรายันกายลุกขึ้นยืนแล้วหันไปยังชายคนสนิท รอยยิ้มน้อยปรากฏบนใบหน้า
"ขอบคุณนะคะพี่วุธที่อยู่เป็นเพื่อนจนมิ้นต์รู้สึกดีขึ้น ถ้าอย่างนั้นมิ้นต์ขอตัวก่อนนะคะ พี่วุธเองก็รีบพักผ่อนเหมือนกันนะคะ"
---------------------------------------------------
วรวุธเดินกลับเข้าไปในบ้านสีฟ้าหลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ในรั้วของบ้านตระกูลวรวัฒนประเสริฐ เขาอาศัยอยู่กับ 'วารี' ผู้เป็นแม่ ด้วยคุณไมตรีและติรกาเอ็นดูวรวุธมากเป็นพิเศษจนขอให้เขาช่วยดูแลมินตราเสมือนกับพี่น้อง ประกอบกับวารีเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านหลังนี้ ไมตรีจึงสร้างบ้านหลังเล็กให้แยกอยู่เฉพาะสองแม่ลูก ความกรุณาครั้งนี้ทั้งวรวุธและวารีซาบซึ้งยิ่งนัก
หากมีเพียงสิ่งเดียวที่วรวุธไม่สามารถทำได้คือเป็นพี่ชายที่แสนดีของมินตรา เพราะรู้ตัวดีกว่าเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น แต่เขาอยากมีเธอเคียงข้างเป็นคู่ชีวิตเสียมากกว่า
เขาเดินเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวแล้วทรุดนั่งลงบนเตียง เอื้อมมือเปิดลิ้นชักข้างหัวเตียงแล้วหยิบบางสิ่งออกมาถือไว้ ก้มลงมองรูปถ่ายที่อยู่ในมือ ภายในรูปปรากฏรูปชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายสวมชุดสูทสีเทาส่งให้บุคลิกดูภูมิฐานขึ้น ส่วนฝ่ายหญิงอยู่ในชุดราตรีสีแดงซึ่งช่วยขับผิวขาวนวลของเจ้าของร่างให้ผ่องพรรณยิ่งขึ้น เมื่อพินิจโดยใกล้จะเห็นว่าชายหญิงในรูปก็คือวรวุธและมินตรา
ชายหนุ่มผู้หน้าตาละม้ายกับบุคคลในรูปขยับรูปถ่ายในมือมาแนบอก แสนหวงแหนหญิงสาวในรูปเกินกว่าจะบอกใครได้ มินตราจะรู้ไหมว่าเขาดีใจแค่ไหนที่เธอไม่มีท่าทีจะกลับไปหาอดีตคู่หมั้น นั่นเท่ากับว่าเขายังมีสิทธิ์
เขายังจำเหตุการณ์วันนั้นได้อย่างแม่นยำและจำได้ว่าพยายามหลีกเลี่ยงแค่ไหนที่จะไม่ไปงานหมั้นของมินตรา ในครานั้นเขาพยายามบอกตัวเองให้ทำใจ แต่เมื่อกลับเข้ามาในบ้านกลับพบหญิงสาวนั่งอยู่บนชิงช้าเช่นคืนนี้ทั้งที่ยังแต่งชุดสำหรับพิธีหมั้น ใบหน้ามินตรายามนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตาจนบดบังรอยความสุขจากดวงตาคู่งามเสียสิ้น เห็นเช่นนั้นวรวุธรีบเดินเขาไปหาเธอเพื่อสอบถามสาเหตุ จนหญิงสาวจำยอมตอบ
'เขาทิ้งงานหมั้นค่ะ เขาเป็นผู้ชายขี้ขลาดที่หนีไปแบบนั้นแถมยังทิ้งข้อความให้มิ้นต์ได้เจ็บได้อาย มิ้นต์เกลียดเขา และมิ้นต์จะไม่ยอมให้ใครมาบังคับมิ้นต์เรื่องหาคู่อีกเด็ดขาด'
เพียงเท่านั้นความหวังบังเกิดในใจวรวุธอีกครั้ง เขาจึงใช้โอกาสนี้สร้างเนื้อสร้างตัวโดยที่เขาไม่ได้บอกให้ใครทราบว่าแอบนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจไว้ เขาตั้งใจจะบอกทุกคนพร้อมหญิงที่รักในวันที่เขามั่นใจว่าดีพอจะดูแลเธอได้ตลอดชีวิต และคงอีกไม่นานต่อจากนี้ที่เขาจะได้บอกทุกคนเสียทีว่ารักมินตรามากแค่ไหน
เขาเคลื่อนมือออกมาจากอก ก้มลงมองหญิงสาวในรูปราวกับว่าตอนนี้เธอยืนอยู่เบื้องหน้า
"ผมดีใจที่คุณมิ้นต์ไม่คิดจะกลับไปข้องเกี่ยวกับเขาอีก เพราะผมจะได้รู้ว่าผมยังมีโอกาส และผมก็คงยอมไม่ได้ที่จะให้เขามาพรากคุณมิ้นต์ไปจากผม... อีกไม่นานผมคงจะได้บอกให้ทุกคนรู้ว่าในใจผมมีแต่คุณมิ้นต์ตลอดเวลา และคุณมิ้นต์เป็นแรงผลักดันให้ผมอยากมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าทุกวันนี้ รอผมนะครับคุณมิ้นต์"
---------------------------------------------------
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายหนุ่มรีบเก็บสิ่งที่อยู่ในมือไว้ในลิ้นชักตามเดิมก่อนเอ่ยอนุญาตให้ผู้ที่เคาะประตูได้ยิน
สิ้นเสียงวรวุธ ประตูห้องถูกผลักออกพร้อมหญิงสูงวัยขยับเข้ามาหาใกล้
"คุณมิ้นต์กลับมาแล้วเหรอวุธ"
"ใช่ครับแม่ ผมก็เลยแวะไปปิดไฟบ้านใหญ่มาให้เรียบร้อยและกลับมาที่บ้านครับ"
"แต่ที่แม่เห็นวุธไม่ได้แค่ไปปิดไฟใช่ไหม วุธอยู่กับคุณมิ้นต์สองต่อสองที่สนามข้างบ้านก่อนที่ลูกจะเข้าไปปิดไฟบ้านใหญ่"
สีหน้าวรวุธกลับเป็นนิ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องโกหกจึงเอ่ยออกมา
"ก็เป็นไปตามที่แม่เห็นแหละครับ ผมแค่เห็นคุณมิ้นต์ไม่สบายใจก็เลยเข้าไปคุยด้วยแค่นั้นเอง"
"มันก็คงจะดีถ้าเป็นช่วงอื่นที่ไม่ใช่ค่ำมืดดึกดื่นแบบนี้ คุณมิ้นต์จะเสียหาย" วารีถอนหายใจเล็กน้อย เธอนิ่งไปราวกับใช้ความคิดว่าควรพูดดีหรือไม่ สุดท้ายตัดสินใจเอ่ย "แม่รู้นะว่าวุธรู้สึกกับคุณมิ้นต์อย่างไร แต่มันเป็นไปไม่ได้"
วรวุธเถียงทันควัน
"ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ครับ ผมเองก็ไม่มีใคร คุณมิ้นต์เองก็ไม่มีใคร ไม่มีอะไรเสียหาย อีกอย่าง ผมเชื่อว่าผมจะเป็นคนดูแลคุณมิ้นต์ได้ดีที่สุด"
"แต่วุธต้องไม่ลืมว่าเราเป็นใครในบ้านหลังนี้ จริงอยู่ที่คุณไมตรีและคุณติเมตตาลูกมา แต่นั่นก็ให้ลูกเป็นได้แค่พี่ชายและเพื่อนคุณมิ้นต์เท่านั้น มากกว่านั้นพวกเขาก็คงต้องการคนที่มีฐานะพอกับเขา ซึ่งไม่ใช่วุธ"
"แม่รอดูเถอะครับว่าอีกไม่นานผมจะต้องมีทุกอย่างที่คุณไมตรีและคุณติต้องพึงพอใจ และยอมให้คุณมิ้นต์คบกับผม ไม่มีวันที่จะจับคุณมิ้นต์คลุมถุงชนกับใครได้อีกแล้วเพราะคุณมิ้นต์คงไม่ยอม... เธอมีสิทธิ์เลือกและผมเชื่อว่าคุณมิ้นต์เองก็ต้องเลือกผม"
วารีฟังสิ่งที่บุตรชายพูดแล้วได้แต่ส่ายหน้าระอา เธอพยายามแล้วที่จะให้วรวุธไม่คิดไปไกล แต่ก็ดูเหมือนห้ามปรามยากเต็มที เธอรู้ว่าวรวุธแอบรักมินตรามาตลอดเช่นเดียวกับที่รู้ว่าวรวุธไม่มีวันได้รับอนุญาตให้สมหวังในรักแน่นอน เพราะทั้งไมตรีและติรกาต่างป้องกันโดยการให้วรวุธเป็นเสมือนพี่ชายของบุตาสาวเสียแล้ว และคาดหวังว่าคำว่า 'พี่ชาย' จะเป็นเครื่องเตือนสติชายหนุ่มให้รู้ตัวว่าสิทธิ์ของเขาเป็นได้สูงสุดเพียงเท่านั้น
---------------------------------------------------
ร่างงามเคลื่อนตัวลงมาจากบันไดแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องอาหารด้านซ้ายมือ ภายในห้องมีบุพการีทั้งสองนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่แล้ว ผู้เข้ามาใหม่รีบขยับตัวนั่งลงตรงตำแหน่งประจำ ติรกาส่งยิ้มให้บุตรสาว
"เช้านี้วารีไปจ่ายตลาดได้กุ้งสดๆ มาตั้งเยอะ แม่ก็เลยให้ทำข้าวต้มกุ้ง ลองทานดูนะจ๊ะว่ารสชาติดีไหม"
มินตราส่งยิ้มให้มารดาแทนการตอบรับ จากนั้นเธอใช้ช้อนตักอาหารตรงหน้าแล้วส่งเข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่ทันสังเกตว่าสาวใช้คนหนึ่งเข้ามายืนอยู่ริมห้อง
"คุณไมตรี คุณติ คุณมิ้นต์คะ มีคนมาขอพบค่ะ"
ไมตรีขยับเช็ดปากแล้วเอ่ยตอบสาวใช้
"ใครกันมาแต่เช้า หรือจะเป็นเรื่องงาน ถ้าอย่างนั้นให้เขาไปรอในห้องรับแขกก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไป"
สาวใช้รับคำแล้วเดินออกไป ทั้งสามพ่อแม่ลูกรีบทานข้าวต้มจนเสร็จจึงพากันมุ่งหน้าไปห้องรับแขก เมื่อเห็นว่าแขกที่มาเยือนเป็นใคร สมาชิกทั้งสามของบ้านต่างนิ่งงันไปพร้อมกัน เว้นเสียแต่ฝ่ายผู้มาเยือนที่ลุกขึ้นยืนไหว้ทำความเคารพแล้วเงยหน้าส่งยิ้ม
"สวัสดีครับคุณอาทั้งสอง จำผมได้ไหมครับ ผมเหล็กเพชร ชยาวัต ลูกชายคุณพรต ชยาวัตไงครับ"