ณ เรือนเล็กในท้ายจวนเสนาบดี
เรือนซอมซ่อตั้งอยู่ท่ามกลางดงไผ่ที่ขึ้นกันแน่นขนัด แม้จะดูรกไปบ้างแต่เมื่อได้ยืนชมอยู่ริมหน้าต่างเช่นนี้ถือว่าต้นไผ่ที่โยกเอนไปตามสายลมและใบไผ่ร่วงโปรยปราย นับว่าผ่อนคลายอารมณ์ได้ไม่เลว
สตรีผู้หนึ่งยืนชมดงไผ่ที่อยู่นอกเรือนด้วยสีหน้าสบายอุรา ใบหน้ารูปหัวใจนั้นเกลี้ยงเกลานวลกระจ่าง ดวงตากลมโตสีอำพันสุกสกาวอ่อนหวานดุจดารา ตาหงส์เฉียงขึ้นน้อย ๆ ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด คิ้วเรียวอ่อนนั้นราวจับวาด ริมฝีปากอวบอิ่มดุจลูกท้อ ถือว่ารูปโฉมของสตรีผู้นี้ดูน่ารักและอ่อนหวานบริสุทธิ์ราวกับดอกบัวแรกแย้ม บนร่างกายของนางนั้นมีผ้าห่มผืนหนาเตอะปุปะคลุมอยู่ทั้งตัวจนไม่เห็นถึงรูปร่างที่แท้จริง
"คุณหนู!"
เสียงสดใสดังขึ้นที่หน้าห้องพร้อมกับเท้าของเจ้าตัวที่วิ่งเข้ามาดุจลมพายุ "คุณหนู ท่านไปยืนรับลมที่หน้าต่างเช่นนี้ได้อย่างไร ขืนอาการกำเริบขึ้นมาอีกจะแย่เอานะเจ้าคะ"
ดวงตาเฉลียวฉลาดคู่นั้นถลึงตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาแฝงความเป็นห่วงฉายชัด
" ไม่เป็นไรหรอกน่า อาหมิง แค่นิดเดียวเอง" เสียงอ่อนหวานปานน้ำผึ้งเอ่ยตอบกลับมา ดวงตาอ่อนหวานคู่นั้นที่มองสาวรับใช้คนสนิทมีแต่ความอ่อนโยนเต็มเปี่ยม
"ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู" สาวใช้ในชุดสีครามที่มีรอยเย็บปะเต็มตัวดึงร่างในผ้าห่มขึ้นมานั่งบนเตียง ก่อนจะรีบไปจัดการหน้าต่างที่เปิดอ้าให้เหลือแง้มไว้เพื่อพอให้มีสายลมโชยพัดเข้ามาบ้าง
คนบนเตียงมองร่างที่ลิ่วไปมาด้วยสายตาอ่อนใจระคนซาบซึ้ง มุมปากมีรอยยิ้มอ่อนโยนน้อย ๆ ประดับ อาหมิงเป็นคนที่ห่วงใยนางมาก นางเติบโตมากับอาหมิงตั้งแต่ยังเล็กจนทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับสาวใช้คนนี้ยิ่งกว่าเป็นสหาย ยิ่งกว่าเป็นพี่น้อง ทั้งมารดาของอาหมิงก็เป็นคนดูแลนางมาตั้งแต่เล็กทำให้นางแทบจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับสาวใช้คนนี้ไปแล้ว
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หันกลับมาหาผู้เป็นนายก็เห็นนางกำลังมองตนด้วยสายตาเหม่อลอย
สาวใช้ก้าวเข้ามานั่งลงข้างกายร่างที่อยู่ในผ้าห่ม ล้วงมือเข้าไปแตะเส้นชีพจรของอีกฝ่ายอย่างเบามือ
"คุณหนูรู้สึกไม่สบายหรือเจ้าคะ"
คุณหนูฉีอันหนิงยิ้มบาง ๆ ให้แล้วตอบกลับ "เปล่าหรอก"
ชีพจรของคุณหนูเต้นแผ่วเล็กน้อยไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่นางยังไม่วางใจ "ให้บ่าวไปต้มน้ำอุ่นมาให้ท่านดีกว่า" ที่เรือนแห่งนี้ความเป็นอยู่ไม่ต่างกับชาวบ้านยากจนเลยสักนิด แม้แต่ชายังไม่มี ยังดีที่มีน้ำพอให้ต้มกินกันได้อยู่
เอ่ยจบนางก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูได้ยินเสียงคนพูดมาตามหลัง "ลำบากเจ้าแล้ว"
เสียงอ่อนโยนดุจลมวสันต์ทำให้ใจของอาหมิงอุ่นวาบ หันหลังกลับมาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจริงใจ
"ไม่เลยเจ้าค่ะ เห็นคุณหนูสามารถเดินเหินเป็นปกติก็ทำให้บ่าวมีความสุขแล้ว" ทั้งสองนายบ่าวยิ้มให้กัน นางพยักหน้าคราหนึ่งสาวใช่คนสนิทก็ออกจากห้องไป
ห้องกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ฉีอันหนิงกวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยหน่าย แววตานั้นมีความเศร้าหมองแผ่ซ่านออกมา
พลันนั้นสายตาพลันเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งอยู่ข้างประตู คนผู้นั้นยืนกอดอกพิงกรอบประตูด้วยสีหน้าเบิกบานใจ
ใครกัน? แล้วมาได้อย่างไร?
นางยังไม่ทันได้เอ่ยถามร่างสูงโปร่งของสตรีในชุดสีม่วงสดใสก็ก้าวเข้ามาในห้องของนางแล้วไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ หยิบกาน้ำชามาเขย่าดูก็รู้ว่าไม่มีน้ำอยู่จึงวางกลับไว้ตรงที่เดิม
ดวงหน้าหวานใสมีสีแดงแผ่ขึ้นมาจาง ๆ "ขออภัยที่ข้าไม่มีน้ำชาไว้ต้อนรับแขก อีกเดี๋ยวบ่าวของข้ากำลังจะนำน้ำอุ่นมาให้ข้าพอดี ท่าน..."
หญิงสาวโบกมือกล่าวตัดบท "ไม่เป็นไร ๆ ข้าแค่มาเยี่ยมเยียนเจ้าเท่านั้น"
คุณหนูฉีขมวดคิ้วเข้าหากัน เยี่ยมเยียน?
หญิงสาวอาภรณ์สีม่วงมองร่างในผ้าห่มแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เจ้าป่วยรึ?"
เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าก็ไม่รู้จักนางเช่นกันแต่นางก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าเป็นโรคประจำตัวเช่นนี้มาตั้งแต่กำเนิดแล้ว"
"เสนาบดีฉีพ่อของเจ้าไม่เชิญหมอมารักษาให้หรือ?"
รอยยิ้มอ่อนหวานค้างไปชั่วครู่กลายเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเข้ามาแทนที่ นางส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
"เสนาบดีฉีไม่มีเวลาว่างมาสนใจข้าหรอก ข้าก็ไม่อยากจะหาเรื่องไปรบกวนท่านพ่อ ท่านป้าจินมารดาของบ่าวข้าจึงเชิญหมอชาวบ้านธรรมดามาดูอาการให้เท่านั้น"
"เจ้ามีความรู้สึกแค้นเคืองผู้ใดหรือไม่?" เสียงนั้นกล่าวถามต่ออย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาสนใจอยู่กับแก้วชาที่มีรอยแตกบิ่นบนโต๊ะของนาง
สาวน้อยยิ้มเย็นคราหนึ่งแล้วตอบ "แค้นแล้วอย่างไร ไม่แค้นแล้วอย่างไร ในเมื่อมันไม่อาจทำให้ชาตินี้ข้าเรียกร้องชีวิตที่มีความสุขได้ ชีวิตเช่นนี้...ข้าตายไปเสียคงจะดีกว่า"
เสียงอ่อนหวานนั้นเอ่ยอย่างเศร้าโศกนักจนมือทั้งสองที่คลำถ้วยไปมาชะงักครู่หนึ่งก่อนจะวางถ้วยลงแล้วหันมาสบสายตาคู่นั้นแล้วเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก
"กับภพชาติหน้าที่ไม่แน่นอน เจ้าจะยอมตายหรือ?" สาวน้อยตรงหน้าไม่กล่าวอันใด เพียงยิ้มบาง ๆ แต่แฝงความแน่วแน่จนทำให้ใครที่มองเกิดอาการขนลุกโดยพลัน
หญิงสาวหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนพลางบิดเอวไปมา "ข้าต้องไปแล้ว คุณหนูฉีอันหนิง ขอตัวก่อน" กล่าวจบสตรีผู้นั้นก็เดินออกจากห้องไป
สาวน้อยชะงักอย่างไม่เชื่อหู สตรีผู้นั้นรู้ว่านางเป็นบุตรสาวของเสนาบดีฉีทั้งยังรู้จักชื่อของนางอีกด้วย ในใต้หล้านี้ชื่อและตัวตนของนางแทบจะไม่ปรากฏที่ใดเลยด้วยซ้ำ แล้วเหตุใด...
"คุณหนู บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ" เสียงสดใสดังขึ้นพร้อมกับร่างบอบบางในชุดปุปะวิ่งลิ่วเข้ามาตั้งกาน้ำไว้บนโต๊ะก่อนจะรินน้ำอุ่นใส่ถ้วย จนเมื่อแก้วทั้งใบอุ่นขึ้นมาแล้วจึงค่อยยกถ้วยน้ำใบเล็กนั้นมามอบให้ผู้เป็นนาย
คุณหนูฉีรับถ้วยน้ำอุ่นนั้นมาแล้วเอ่ยถามสาวใช้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "แขกผู้นั้นเล่า?"
สาวใช้นิ่งงัน ถามต่อด้วยความฉงนใจ "แขก?...….แขกที่ใดหรือเจ้าคะ?"
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ ดวงตาหวานไหววูบคราหนึ่งแล้วตอบกลับเสียงแผ่ว "เปล่าหรอก ไม่มีอันใด"
คุณหนูฉีจิบน้ำอุ่นแล้วส่งรอยยิ้มให้สาวใช้ด้วยความอ่อนโยน อาหมิงยิ้มรับด้วยสีหน้าเบิกบานใจ เห็นคุณหนูยังคงยิ้มได้เช่นนี้ บ่าวอย่างนางก็ยินดียิ่งแล้ว
สำหรับคนบางคนถึงแม้จะยิ้มอย่างอ่อนโยนสดใสอย่างไรก็ตามที แต่ความในใจนั้นไม่อาจมีใครคาดเดาได้เช่นกัน
มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟัง