ฉันกลับมาเก็บของที่ห้องเพื่อจะย้ายไปอยู่เชียงราย คุณแม่พี่ดนัยชื่อคุณกานต์เธอฝากให้ฉันดูแลลูกชายที่เธอรักที่สุด เธออาจเริ่มยอมรับฉันแล้วหรือแค่ไม่มีทางเลือกกันนะ
Ring tone...
"สวัสดีค่ะ" ฉันรับสายคุณกานต์อย่างสุภาพ
"ตอนนี้ดนัยออกจากโรงพยาบาลไปแล้วนะ พวกมันจะส่งดนัยโดยสารเครื่องบินไป คิดว่าอีก 1-2 ชั่วโมงคงจะถึงแล้ว เธอจะตามเขาไปตอนไหน?" คุณกานต์ถามฉันด้วยเสียงเรียบเฉย
"ตอนนี้นินเก็บของครบแล้วค่ะ อีก 1 ชั่วโมงจะเดินทางไปสนามบิน" ฉันบอกพลางเก็บเอกสารต่างๆเข้ากระเป๋า
"ฝากดูแลดนัยด้วยนะ" ฉันชะงัก เพราะเสียงของเธอแผ่วลงจนใจหาย
"ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ฉันพูดให้เธอเชื่อมั่นอีกครั้ง
"ตอนนี้พวกมัน ยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเธอและลูก เพราะฉะนั้นระวังตัวด้วยนะ"
"คุณเป็นห่วงนินหรอคะ" ฉันถามพลางยิ้ม
"เปล่า เพราะถ้าเธอเป็นอะไรไป จะไม่มีใครดูแลดนัยต่างหาก" เธอเริ่มพูดเสียงธรรมดากว่าเมื่อก่อนหน้านี้ ซึ่งฉันดีใจนะ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่ยังเป็นห่วงฉัน
ฉันเช็คอินแล้วรอเวลาที่เครื่องกำลังจะ Take off ฉันมองไปข้างนอกแล้วคิดถึงตอนที่ได้เจอพี่ดนัยครั้งแรก...
3 ปีก่อน
"ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ สายการบินนกยูง เที่ยวบินที่ JL112 พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง ณ ประตูทางออกหมายเลข 55 บลาๆๆ" สายการบินเริ่มประกาศเรียกให้ผู้โดยสารให้สแตนบายในการขึ้นเครื่อง ฉันรู้สึกประหม่านิดหน่อยเพราะไม่เคยเดินทางโดยการนั่งเครื่องบินมาก่อน เมื่อเข้าไปด้านในแล้วฉันก็เริ่มมองหาที่นั่งของตัวเอง ครั้งแรกฉันก็ได้นั่งติดกับหน้าต่างเลยหรอเนี่ย ฉันยิ้มปริ่มอย่างพอใจสักพักก็มีผู้โดยสารอีกคนมานั่งข้างๆ
"ขอโทดนะครับ ของคุณหรือเปล่า" เขาชี้ที่กระเป๋าเป้ของฉันที่วางอยู่ที่นั่งข้างๆ ฉันรีบคว้ากระเป๋ากลับมาถือไว้
"ขอโทษค่ะ" ฉันก้มหัวให้เขาเบาๆ เขากลับหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงและก็นั่งลงที่นั่งตรงนั้น
"ไม่เป็นไรครับ" เขาหยิบกระเป๋าตัวเองวางไว้หน้าตัก "บังเอิญจังเลยนะครับ" ฉันหันไปมองหน้าเขา เขายกกระเป๋าตัวเองขึ้นมาเพื่อบอกเป็นนัยๆว่ากระเป๋าเราเหมือนกัน ฉันหัวเราะเบาๆนั่นเป็นครั้งแรกที่เราสบตากัน
"ขณะนี้เครื่องกำลังจะ Take off แล้วค่ะขอความกรุณาผู้โดยสารนั่งประจำที่ของท่านด้วยนะครับ" เสียงจากกัปตันของเครื่องบินลำนี้ดังขึ้น ฉันคาดเข็มขัดรัดเอวไว้ภาพของผืนดินค่อยๆเล็กลงทีละนิด ฉันเกาะหน้าต่างมองลงไปด้วยความตื่นเต้น เมฆสีขาวเลื่อนผ่านสายตาฉันไป แสงอาทิตย์ที่ควรจะลับขอบฟ้าไปแล้วแต่กลับยังทอแสง ราวกลับว่ากำลังจะบอกว่า 'ฉันมาส่งเธอนะ' ฉันมองแสงอาทิตย์อยู่นานจนตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมื่อบินมาได้สักพักตอนนี้เครื่องเริ่มนิ่งแล้วน่าจะบินจนได้ระดับ ฉันรู้สึกอึดอัดเพราะตอนนี้ที่นั่งข้างหน้าเริ่มเอนเบาะมาด้านหลังเยอะเกินไป ฉันลุกขึ้นเพื่อไปบอกให้เขาเอาเบาะเอนกลับที่เดิม
"ขอโทษนะคะ" ฉันสะกิดคนข้างหน้า เขาหันขึ้นมามองอย่างสงสัย "รบกวนปรับเบาะกลับที่เดิมได้ไหมคะ ฉันนั่งด้านหลังคุณค่ะ ตอนนี้พื้นที่มันค่อนข้างแคบค่ะฉันรู้สึกอึดอัด" ฉันบอกพลางชี้ที่นั่งของตัวเอง
"Sorry I don't understand" เขาตอบฉันอย่างไม่ใส่ใจ
"You chair ของคุณมันเขยิบมาข้างหลังมากเกินไป" ฉันพยายามบอกแล้วใช้ภาษามือเพื่อให้เขาเข้าใจ แต่เขาก็ยังทำท่าเมินเฉย ฉันพยายามเรียกเขาให้หันมาสนใจ แต่เขาก็ใส่หูฟังนั่งอยู่ที่เดิม
"Excuse me .@#!%&*_!@#$%^_+$%" คนที่นั่งข้างฉันลุกขึ้นมารัวภาษาอังกฤษใหญ่เลย
"ใช่ ปรับเก้าอี้ของคุณเลยนะ" ฉันที่ไม่รู้เรื่องว่าเขาพูดอะไรกัน ได้แต่ผสมโรงกับคนข้างๆเท่านั้น พวกเขาคุยกันสลับไป-มา ฉันก็ได้แต่หันไปหันมาเพราะพยายามที่จะทำความเข้าใจบทสนทนาที่ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย
ครึก...ครึก.... เครื่องบินส่ายไปมาทำให้ฉันยืนไม่อยู่จึงต้องนั่งอยู่กับที่
"เรียนท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เครื่องบินของเรากำลังเผชิญกับพายุฝนอย่างหนักขอให้ทุกท่านนั่งประจำที่คาดเข็มขัดให้แน่นเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกท่านค่ะ บลาๆ" ตอนนี้เครื่องกำลังสั่นอย่างหนักราวกับรถมอเตอร์ไซต์ที่วิ่งอยู่บนถนนที่มีหลุมบ่อเต็มไปหมด พอมองไปข้างนอกที่มืดมิดฝนสาดอยู่ข้างนอกหน้าต่างอย่างหนักหน่วง ในใจฉันเริ่มหวั่นๆประสบการณ์เครื่องบินของฉันช่างน่าจดจำซะเหลือเกิน(ประชด) อีตาบ้าที่นั่งข้างหน้าเริ่มปรับเบาะของตัวเองขึ้นไปแล้ว หึ เวียนหัวล่ะสิท่า เครื่องยังสั่นไม่หยุดฝนด้านนอกก็ยังคงตกแรงอยู่ฉันรู้สึกว่าเครื่องบินวนอยู่ที่เดิมนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีประกาศใดๆอีกเลย
พุ๊พ....
หางตาฉันเหลือบเห็นปีกเครื่องบินฝั่งตัวเองมีสะเก็ดไฟ รู้สึกว่าเครื่องยนต์สั่นและลดระดับลงตอนนี้ฝนยังตกแรงอยู่ ฉันพยายามเพ่งมองปีกเครื่องบินอย่างใจจดใจจ่อ ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า เวลาผ่านไปไม่นานก็มีเสียงประกาศ
"เรียนท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้สายการบินนกยูง เที่ยวบินที่ JL112 กำลังจะทำการ Landing ขอความกรุณาท่านผู้โดยสารนั่งประจำที่แล้วรัดเข็มขัดของท่านเพื่อความปลอดภัยค่ะ" เสียงพนักงานต้อนรับบนเครื่องบนประกาศอีกครั้ง ไม่บอกก็ไม่มีใครลุกหลอกค่ะเครื่องสั่นขนาดนี้(คิดในใจ) ดูเหมือนว่าพายุฝนจะเบาลงแล้วสามารถทำการลงจอดได้ เครื่องค่อยๆลงแตะพื้นช้าๆวิ่งไปตามรันเวย์ โล่งใจอย่างบอกไม่ถูกในที่สุดฉันก็มาถึงจุดหมายปลายทางสักที
"ขณะนี้สายการบินนกยูง เที่ยวบินที่ JL112 จะทำการเทียบท่าอากาศยานดอนเมืองแล้วค่ะ สายการบินนกยูงขอขอบพระคุณผู้โดยสารทุกท่านที่ไว้วางใจบินกับเราค่ะ รบกวนเช็คสัมภาระของท่านแล้วออกทางประตูทางออก ทีละแถวนะคะ บลาๆ" สภาพข้าวของกระจัดกระจายทุกคนต่างก้มเก็บของอย่างกระวนกระวาย ฉันเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าตัวเองขึ้นมาพร้อมกับคนข้างๆ
"นี่ครับ" เขายื่นกระเป๋ามาให้อย่างใจเย็น "เป็นการบินที่ระทึกดีนะครับ" เขาว่าพลางหัวเราะเบาๆฉันได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มแหยๆให้กับเขา ผู้คนค่อยๆทยอยออกไปทีละแถวตามคำแนะนำของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ตอนนี้ฉันก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปเช่นกัน
กรี๊ด ด.....ด.... ทุกคนหยุดเดินแล้วชะโงกหน้ามองไปทางต้นเสียง
"ไฟไหม้!" ต้นเสียงตะโกนเสียงดัง ฉันรีบหันไปทางปีกเครื่องบินที่ฉันเห็นสะเก็ดไปเมื่อกี้ทันที แล้วก็ตามคาดฉันไม่ได้ตาฝาด เมื่อทุกคนที่อยู่บนเครื่องต่างตระหนักถึงเหตุการณ์ตรงหน้าพร้อมกัน ทุกคนก็เริ่มดันกันออกมาเพื่อที่จะออกไปให้พ้นจากเครื่อง ความตื่นตระหนกและแออัดนี่ทำให้ตอนนี้ฉันเริ่มที่จะหายใจไม่ออก เสียงผู้โดยสารโวยกันกันเจี๊ยวจ้าวฉันที่อยู่เกือบท้ายเครื่องจึงถูกกระชากไป-มา จนมายืนอยู่ด้านหลังสุด มือปริศนาเข้ามาจับมือฉันแน่น สถานการณ์เริ่มแย่ลงเมื่อตอนนี้ไฟดับทั้งเครื่อง เมื่อหันไปมองที่ปีกเครื่องบินตอนนี้ยังมีไฟลุกไหม้อยู่ อาจจะเป็นโชคดีก็ได้ที่ตอนนี้ฝนกลับมาตกหนักอีกครั้ง ฉันกำมือปริศนาแน่นแล้วเดินตามเขาออกมาอย่างไม่ลังเลในที่สุดฉันก็เดินมาเกือบจะถึงด้านหน้าเครื่องยนต์แล้ว
บึ้ม....
ไฟที่ลุกไหม้ตรงปลายปีกก่อนหน้านี้ ลามมาตรงกลางอาจจะเพราะแรงระเบิดเมื่อกี้ทำให้ทุกคนต้องเร่งฝีเท้าตัวเอง แต่เดินเท่าไหร่ก็ยังไม่ถึงด้านหน้าสักที
"ค่อยๆเดินนะคะ ผู้โดยสารที่ออกไปแล้วขอความกรุณาท่านเดินเข้าไปภายในสนามบินได้เลยค่ะ เพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้โดยสารท่านอื่นค่ะ" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง ข้างในนี้ร้อนขึ้นเรื่อยๆฉันรู้สึกเหนื่อยเหมือนออกกำลังกายกลางแจ้งอยู่ เหงื่อแตกพลั๊ก เสียงหวอรถดับเพลิง มาจากทางซ้าย ตอนนี้ใครพูดอะไรก็เริ่มหูอื้อไปหมดแล้ว ฉันรู้แต่เพียงว่าคนข้างหน้าพยายามหันมามองฉันตลอดเวลา และแล้วเราก็เดินออกมาจนถึงทางออก พนักงานคนหนึ่งวิ่งไปทางด้านหลังเราทันทีเพื่อเช็คว่ามีผู้โดยสารคนอื่นตกค้างหรือเปล่า ฉันถูกดึงออกมาโดยคนข้างหน้าและพนักงานต้อนรับบนเครื่องอีกคน
"บาดเจ็บไหมคะ" เธอ(พนักงาน)ถามฉันอย่างเป็นห่วง พลางสำรวจแขนและขาของฉัน
"ไม่เป็นไรค่ะ" ฉันบอกพร้อมกับโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร "เมื่อกี้เพื่อนร่วมงานของคุณวิ่งเข้าไปด้านในค่ะ" ฉันบอกเธอพลางชี้เข้าไปด้านใน เพื่อให้เธอทราบว่าข้างในนั้นยังมีคนอยู่
"ขอบคุณค่ะ เดินทางกลับโดยสวัสดีภาพนะคะ" เธอพาฉันมาส่งตรงกลางสะพานเทียบแล้ววิ่งกลับเข้าไปเช่นกัน ขอให้พวกคุณปลอดภัยนะคะ ฉันนึกในใจคนตรงหน้าค่อยๆปล่อยมือฉันอย่างอ่อนโยน
"ปลอดภัยแล้วนะครับ เรารีบออกไปให้ไกลจากตรงนี้ดีกว่า" ผู้ชายคนที่นั่งข้างๆฉันตอนอยู่บนเครื่องนี่เอง
"ขอบคุณนะคะ เอ่อ..... คุณชื่ออะไรคะ" ฉันถามด้วยความสงสัย
"ดนัยครับ แล้วคุณ?"
"นินนินค่ะ ขอบคุณนะคะคุณดนัยถ้าไม่ได้คุณ ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไง" ฉันหันไปมองเครื่องบนลำนั้นตอนนี้มีรถหลากหลายประเภทกำลังล้อมรอบเครื่องบินลำนั้นอยู่ ไฟยังลุกไหม้ที่บริเวณปีกเครื่องบิน ฝนกระหน่ำตกลงมา ราวกับฟ้ารั่ว'โชคดีแล้วล่ะ'ฉันพูดปลอบใจตัวเอง
"เราต้องแยกกันตรงนี้แล้วนะครับ" คุณดนัยเอ่ยขึ้นมา ทำให้ฉันหลุดจากภวังค์
"ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ไว้พบกันคราวหน้าให้ฉันได้เลี้ยงข้าวคุณนะคะ" เขายิ้มตอบอย่างเป็นมิตร
"ได้สิครับ เดินทางกลับดีๆนะครับ" เขาพูดพร้อมกับถอยหลังออกไปช้าๆ เราค่อยๆเดินห่างกันออกไปทีละนิด เมื่อฉันหันหลังกลับไปอีกทีเขาก็เดินออกไปไกลแล้ว
ฉันเปิดมือถือเผื่อใครจะโทรติดต่อเข้ามา แล้วก็เริ่มเดินออกไปด้านหน้าสนามบิน ก่อนหน้านี้การท่าอากาศยานประกาศว่ากระเป๋าเดินทางที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้นจะถูกลำเลียงออกมาในวันพรุ่งนี้ฉันจึงต้องหาห้องพักแถวนี้เพื่อรอรับกระเป๋า
ครืดๆ ครืดๆ เสียงโทรศัพท์สั่นอยู่ในกระเป๋า ฉันถือโทรศัพท์ขึ้นมาดู สายโทรเข้า 'แม่' ฉันกดรับสายอย่างจำใจ
"เป็นยังไงบ้างลูก แม่เห็นข่าวแล้วนะ ตอนนี้พ่อใกล้จะถึงสนามบินแล้ว ออกมารอที่ประตู 3 เลยนะ" เสียงแม่แปลกไปนิดหน่อย
"เดี๋ยวนะแม่ ไหนบอกว่าหนูไม่มีพ่อไง แล้วเกิดเป็นห่วงอะไรคะในเมื่อแม่ก็ไม่อยากให้หนูมาอยู่แล้ว" ปลายสายชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
"เธอเป็นใคร ดนัยอยู่ไหน" ปลายสายเปลี่ยนโทนเสียงเป็นเสียงดุทันที
"ดนัยไหน แม่คุยกับใครเนี่ย หนูปลอดภัยดีแค่นี้ก่อนนะสายซ้อน" ฉันกดวางสายอย่างรวดเร็วแล้วดูเบอร์ที่โทรเข้ามาอีกเบอร์ สายเรียกเข้า 'พ่อ' ฉันชักเริ่มสงสัยแล้วพลิกกลับไปดูเคสโทรศัพท์ปรากฎว่าไม่ใช่สีเดิม ตอนนี้โทรศัพท์ยังสั่นอยู่ฉันจึงกดรับสาย
"สวัสดีค่ะ" ฉันรับสายอย่างเกรงใจ
"นี่ใช่คุณนินนินหรือเปล่าครับ" เสียงที่คุ้นเคยเมื่อตอนที่เจอกันบนเครื่องถามอย่างสงสัย
"ใช่ค่ะ คุณดนัยใช่ไหมคะ"
"ใช่ครับ ตอนนี้กระเป๋าของเราน่าจะสลับกันน่ะครับ" ฉันก้มลงมองกระเป๋าในมือ เมื่อเปิดซิปออกมาไม่มีสิ่งของที่คุ้นตาเลย ทำไมฉันไม่เอะใจตั้งแต่ตอนที่แม่โทรมานะ
"คุณอยู่ไหนคะ เดี๋ยวนินไปหา"
"ไม่เป็นไรครับ คุณนินอยู่ไหนเดี๋ยวผมไปหาเอง" ฉันบอกพิกัดเขา แล้วรอให้เขามาหา วันนี้ช่างยาวนานเหลือเกินนะ หลายเหตุการณ์ถาโถมเข้ามาเฉียดตายอยู่หลายครั้ง ต้องขอบคุณคนแปลกหน้าคนนี้นะที่เข้ามาเป็นเรื่องดีๆของวันนี้ 'คุณดนัย'