หลังจากรอประมาณครึ่งชั่วโมงรถเครนก็มาถึงที่นี่แล้ว
"ขอทางหน่อยครับ รถกำลังเคลื่อนที่เข้ามาแล้ว" เสียงเจ้าหน้าที่กำลังเคลียร์ทางเพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน ตอนนี้แผลที่เท้าถูกพันผ้าไว้เรียบร้อยแล้ว ฉันยืนอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอเจ้าหน้าที่ที่ตลิ่ง มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยทางน้ำลงไปดำน้ำเพื่อหาซากรถโดยได้รับแจ้งมาว่าตอนนี้ก็พบรถแล้วแต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปใกล้ตัวรถได้เนื่องจากน้ำตรงนั้นไหลเชี่ยวและมีกระแสน้ำวน รถพัดไปไกลกว่า 500 เมตร รถเครนจึงค่อยๆเคลื่อนไปช้าๆเพราะเจ้าหน้าที่เกรงว่าตลิ่งจะทรุด
ฉันเดินตามไปในใจก็ยังอธิฐานหวังให้เกิดปาฎิหารย์ ตอนนี้ฝนค่อยๆโปรยลงมาเหมือนกับจะตอกย้ำใจที่กำลังหนาวเหน็บให้แตกสลาย เจ้าหน้าที่กำลังวางแผนกันอย่างขมักเขม่น รถเครนค่อยๆหย่อนเครนลงไปแล้วยื้อยุดกับกระแสน้ำอยู่นานก็ค่อยๆยกท้ายรถขึ้นม าได้ ท่ามกลางฝนที่เริ่มตกหนักขึ้น รถค่อยๆขึ้นพ้นน้ำออกมาช้าๆน้ำไหลออกมาทางหน้าต่างที่ฉันทุบแตกเมื่อรถเอียงฉันมองเห็นร่างพี่ดนัยยังนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าซีดเซียว ฉันยืนบีบมือตัวเองจนรู้สึกเจ็บถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้กู้ภัยกำลังพยายามปั๊มหัวใจพี่ดนัยอยู่ ฉันวิ่งไปนั่งอยู่ข้างๆมือสั่นเทาค่อยๆเอื้อมไปจับใบหน้าเขาเบาๆน้ำตาไหลออกมาพร้อมกับฝนที่กำลังตกหนัก
"พี่ด..นัย พี่...ตื่น กรี๊ด....ตื่นสิค๊าาาาาา...." ฉันสะอื้นเรียกอยู่อย่างนั้น ในหัวเบาหวิวภาพตรงหน้ามันเลือนลาง ฉันเริ่มมองไม่เห็นอะไรแล้ว อยู่ดีๆทุกอย่างก็ดับวูบไป
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
ฉันค่อยๆปรือตาขึ้น มองห้องขาวๆที่มีม่านบัง 2 ข้าง รู้สึกเจ็บเท้ามากๆที่แขนมีสายน้ำเกลือระโยงระยาง พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย
"สวัสดีค่ะคุณลนิน ตอนนี้คนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลประชาพันธ์นะคะ"
"ผู้ชายที่ประสบอุบัติเหตุพร้อมกับฉันล่ะคะ" ฉันถามขึ้นมาทันที
"ใจเย็นๆก่อนนะคะ ตอนมาถึงเจ้าหน้าที่กู้ภัยพาคุณ 2 คนมาพร้อมกันค่ะ ผู้ชายคนนั้นยังอยู่ในห้อง ICU ตอนนี้ยังไม่พ้นขีดอันตรายค่ะ" พยาบาลค่อยๆเล่า
"ฉันหลับไปนานเท่าไหร่คะ" ฉันถามพลางลุกขึ้น
"อย่าเพิ่งลุกค่ะ 2ชั่วโมงค่ะตอนนี้ความดันเลือดคุณต่ำมากอย่างน้อยก็ให้น้ำเกลือถุงนี้หมดก่อนนะคะ" พยาบาลห้ามแล้วหันไปหาน้ำมาให้
"ดื่มน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวถ้าน้ำเกลือหมดแล้วดิฉันจะมาแกะสายให้" เธอพูดพลางดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ใหม่ "พักสักหน่อยนะคะ" ฉันข่มตาเพื่อนอนในหัวก็ฉายภาพเหตุการณ์อยู่ซ้ำๆเหมือนหนังที่ไม่มีวันจบ แต่ด้วยความเหนื่อยฉันจึงหลับไป
"แต่งงานกันนะ" ฉันสะดุ้งตื่นมองไปทุกทางแต่ไม่มีใครอยู่ข้างๆเลย ฉันถอดสายน้ำเกลือออกเลือดไหลออกจากหลังมือ ฉันจึงเอามืออุดเอาไว้แล้วลากตัวเองให้ลงมาจากเตียง
"ห้องฉุกเฉินไปทางไหนคะ" ฉันถามพยาบาลด้านหน้าเคาท์เตอร์ เธอชี้ไปทางซ้ายอย่างไม่ใส่ใจเพราะเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ฉันเดินไปเรื่อยๆก็พบกลุ่มคนประมาณ 3 คนยืนอยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน ตอนนี้ประตูค่อยๆเปิดออกช้าๆรถค่อยๆเลื่อนพาผู้ป่วยออกมา หลังจากนั้นผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดก็ร้องให้
"ดนัย ดนัยลูก" เธอเรียกเขาอยู่อย่างนั้น ฉันที่ได้ยินชื่อก็รีบวิ่งไปดู ปรากฎว่าใช่เขาจริงๆฉันและเธอคนนั้นจับมือเขาคนละข้างหลังจากนั้นเธอก็เริ่มตวาดออกมา
"เธอเป็นใคร?" เธอหันขึ้นมาตวาดฉันด้วยสายตาไม่เป็นมิตร "เอามือของเธอออกไปจากลูกชายของฉัน" เธอว่าพลางเอื้อมมือมาปัดมือฉันออก
"หมอว่าใจเย็นๆก่อนนะครับ ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ" คุณหมอพูดแทรกขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนหยุด "แต่เนื่องจากสมองของคุณดนัยขาดออกซิเจนนานเกินไป หมอก็ยังไม่รับรองว่าคนไข้จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่" คุณหมอก้มหน้าลงไปมองพี่ดนัย "หมอได้ทำสิ่งที่ควรทำไปหมดแล้วนะครับ ต่อไปก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคนไข้แล้ว"
"แล้วถ้าเราจะย้ายเขาไปรักษาที่อื่น ตอนนี้ได้ไหมครับ?" ผู้ชายอีกคนถามขึ้น
"หมอยังไม่แนะนำให้ย้ายไปที่ไหนครับ เพราะคนไข้เพิ่งพ้นขีดอันตราย อีก2-3 วันหมอจะให้คำตอบเรื่องการย้ายอีกทีครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวก่อนนะครับ" ผู้ชายคนนั้นกล่าวขอบคุณหมอแล้วเดินเข้ามาจับแขนพี่ดนัย
"อยู่ที่นี่อีกหน่อยนะ เดี๋ยวพ่อจะพาไปรักษาที่กรุงเทพฯ"
"เธอยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ" ผู้หญิงข้างๆหันมาถามฉันอย่างสงสัย
"หนูชื่อนินนินค่ะ หนูเป็นแฟนพี่ดนัย"
"เธอนี่เองที่ปล่อยให้ลูกชายฉันนั่งอยู่ในรถคนเดียว ส่วนตัวเองหนีเอาตัวรอด"เธอพูดพลางมองฉันด้วยสายตาโกรธเคือง "ดีใจด้วยนะที่รอดมาได้ ส่วนแฟนตัวเองก็ปล่อยให้เขานอนตายอยู่ในรถ" ชายที่ยืนใกล้ๆบีบแขนเธอเบาๆเพื่อห้ามปราม "คุณดลดูสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับลูกเราสิคะ เธอมันไม่มีหัวใจ ใยผู้หญิงง่าย" คราวนี้เธอเดินมาหาฉันแล้วผลักฉันออก "ไสหัวไปจากชีวิตลูกชายฉันซะ เธอมันก็เป็นแค่ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตดนัย" หลังจากนั้นเตียงของพี่ดนัยก็ถูกเข็นออกไปจนหายลับตา ในตาร้อนผ่าวน้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกแล้ว ฉันประคองตัวเองเพื่อเดินกลับไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย
"คุณลนิน พารภรณ์รับยาที่ช่อง 3 ค่ะ"
"ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไหร่คะ" ฉันถามพลางค้นกระเป๋า
"ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ"
"คะ? ทั้งค่ายาแล้วก็ค่ารักษาเลยหรอคะ"
"ใช่ค่ะ ญาติคนไข้มาจ่ายไว้ให้แล้วค่ะ"
"ญาติชื่ออะไรคะ?"
"คุณดลณษรค่ะ" ฉันรับยามาแล้วครุ่นคิดอยู่นาน นี่จะเป็นชื่อคุณพ่อของพี่ดนัยหรือเปล่านะ แต่จะให้กลับห้องไปตอนนี้เราก็คงนอนไม่หลับ ฉันเดินไปที่วอร์ดผู้ป่วย VIP เพื่อถามถึงห้องพี่ดนัย
"ขอโทษนะคะ คุณดนัยญกุล อมรตระกูล อยู่ห้องไหนคะ ฉันเป็นเพื่อนเขาน่ะค่ะ"
"คุณดนัยญกุล อมรตระกูล อยู่ห้อง 1124 ค่ะ แต่คุณต้องแลกบัตรก่อนนะคะ" ฉันหาบัตรประจำตัวประชาชนยื่นให้พยาบาลเพื่อทำประวัติ
"ห้องอยู่ทางซ้ายมือเดินเข้าไปด้านในสุดได้เลยค่ะ"
"ขอบคุณค่ะ" ฉันรับบัตรญาติที่พยาบาลมาแล้วเดินไปที่ห้องทันที ก่อนที่ฉันจะไปถึงก็มีคนเปิดประตูออกมา ฉันรีบหันหลังเพื่อเดินกลับแต่ก็ต้องหยุดชะงัก
"ผมจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้คุณดนัยมีสภาพเหมือนผักที่ถูกฟลีส ท่านประทานก็จิตใจอ่อนแอมากช่วงนี้เราต้องรีบทำโปรเจ็คให้สำเร็จนะครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีโอกาสอื่นแล้ว" ชายที่ใส่ชุดสูทอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆคุณแม่พี่ดนัยนี่นา ทำไมถึงคุยกับปลายสายด้วยประโยคที่น่ากลัวแบบนั้น