มองไปรอบตัวผู้คนคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ แต่งตัวสวย-หล่อ บางคนถือช่อดอกไม้ บางคนถือกล้องถ่ายรูป มีผู้คนกระจัดกระจายอยู่เป็นหย่อมๆตั้งแต่เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ จนถึงวัยชรา คนเหล่านั้นรวมถึงฉันก็มีจุดประสงค์เดียวกัน คือการมาแสดงความยินดีกับบัณฑิตจบใหม่
"ไง! รอนานไหมคะคนเก่ง" ผู้ถามเดินเข้ามาทักทายฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มือของเขาถือใบปริญญาบัตรที่เพิ่งรับมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
"นานสิคะ พี่บอกว่ามาถึงตั้งแต่ตี 5 แล้วนี่นาหลังจากนั้นก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย แล้วนี่ก็จะบ่าย 4 โมงแล้ว" ฉันบ่นอุบพลางยื่นดอกไม้ในมือให้แก่เขา "ยินดีด้วยนะคะ สำหรับก้าวแรกสู่โลกใบใหญ่" เจ้าตัวรับดอกไม้พลางขยี้ผมฉันด้วยความหมั่นใส้
"กลับเลยไหมคะ" ฉันตั้งถามพลางลูบท้องให้คนฟังรู้ว่าหิว
"ไปสิคะ เดี๋ยววันนี้พี่เลี้ยงเอง" เขาเดินไปที่รถ เปิดประตูด้านหลังเพื่อเอาดอกไม้เก็บ เขากวักมือเรียกให้ฉันไปหาเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ด้านหลังรถ ฉันเดินเข้าไปด้วยความสงสัยพลางถาม
"มีอะไรหรอคะ" เขาไม่พูดได้แต่กวักมือเร็วกว่าเดิม ฉันเดินเข้าไปยืนใกล้ๆเขาเพื่อดูว่ามีอะไร
ลูกโป่งสีสรรค์ต่างๆวางเรียงรายเต็มไปหมดแล้วก็มีลูกโป่งที่ลอยอยู่ด้านบนเขียนว่า "Will You Marry Me" คนข้างๆค่อยๆคุกเข่าแล้วเปิดกล่องกำมะหยี่สีแดงออกช้าๆ ข้างในกล่องนั้นมีแหวนเงินประดับเพชรด้านบนหนึ่งเม็ด ตัวเรือนถูกหลอมอย่างเรียบง่าย
"แต่งงานกันนะคะ" คำพูดสั้นๆที่ทำให้ฉันตะลึง ฉันไม่ได้ยินเสียงใครเลยนอกจากเค้าคนเดียว รู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยเหมือนลูกโป่งที่อยู่ในรถ
"แต่งค่ะ" ฉันพูดด้วยอารมณ์ตื้นตัน รู้สึกว่าน้ำตาคลอเบ้า พลางยื่นมือข้างซ้ายให้พี่เขาสวมแหวน ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆที่เห็นเหตุการณ์ก็ร่วมเข้ามาแสดงความยินดี รวมถึงเพื่อนๆของพี่เขาด้วย
ฉันชื่อนินนินเป็นเด็กบ้านแตก เป็นนักร้องอยู่ผับกลางคืน ทำงานไปด้วยส่งตัวเองเรียนไปด้วย วันหนึ่งก็มีผู้ชายมาขอเพลง หลังๆเขาก็เริ่มมาร้านบ่อยขึ้นเราสองคนจึงเริ่มทำความรู้จักกันเขาชื่อพี่ดนัยความสัมพันธ์เราดำเนินมาเรื่อยๆนับแล้วก็ 3 ปีกระทั่งที่ฉันถูกขอแต่งงานในวันนี้
ฉันอยู่ในเหตุการณ์แห่งการแสดงความยินดีนั้นอยู่นาน ในที่สุดเราก็ได้ออกมาหาอะไรทานสักที
"อยากทานอะไรดีคะ" พี่ดนัยถามพลางขับรถ
"สปาเก็ตตี้ค่ะ" ฉันตอบพลางเล่นมือถือ ด้วยความเคยชินฉันเอื้อมมือไปเอาเข็มขัดมาคาดไว้ ขณะที่เข็มขัดกำลังจะล็อคอยู่นั้น บึ๊ม..ม...เสียงระเบิดดังมาจากด้านข้างรถ ฉันก็รู้สึกว่าตัวฉันถูกเหวี่ยงขึ้นไปติดเพดานรถ ฉันมึนไปพักนึงได้ยินเสียงพี่ดนัยตะโกนว่ายางแตก แล้วรถก็พุ่งไปชนอะไรสักอย่าง ซุ๊ม..ม...พอเริ่มได้สติฉันก็ค่อยๆปรับสายตามองคนข้างๆ พี่ดนัยไม่ขยับถุงลมนิรภัยพองออก ฉันเอื้อมมือไปเช็คชีพจรเขายังไม่ตาย ฉันพยายามเปิดประตูรถแต่มันเปิดไม่ออกรู้สึกว่ารถค่อยๆไหลช้าๆ พอมองไปนอกกระจกก็พบว่าด้านนอกน้ำท่วม นี่รถของเรากำลังจมน้ำ!
ฉันพยายามปลุกพี่ดนัยให้ตื่น เข็มขัดนิรภัยของเขาเหมือนขัดกับอะไรสักอย่างมันดึงไม่ออก น้ำเริ่มไหลเข้ามาในห้องโดยสาร แต่ปลุกพี่ดนัยเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมตื่น จนตอนนี้น้ำเริ่มท่วมเข้ามาถึงอกแล้ว ฉันตัดสินใจทุบกระจกรถแต่กระจกก็ไม่แตก ตอนนี้น้ำเริ่มขึ้นมาถึงคางแล้วพี่ดนัยก็ยังไม่ตื่น ฉันตื่นตระหนกและพยายามตะเกียกตะกายเมื่อใช้ทุกอย่างที่คว้าได้ในที่สุดกระจกก็แตกฉันเหยียบขอบกระจกเพื่อดันตัวเองขึ้นเหนือน้ำ เมื่อขึ้นมาเหนือน้ำแล้วรอบตัวเงียบสงัดแม่น้ำที่รถเราตกลงมามันกว้างมากๆฉันมองเห็นฝั่งลางๆจึงว่ายน้ำขึ้นไปพัก ตอนนี้เท้าของฉันเต็มไปด้วยเลือดฉันเริ่มเดินออกไปหารถที่สวนมาทั้งเปียกทั้งเจ็บ และแล้ว....
เอี๊ยด..ด...ด รถกะบะคันเก่าสีขาวจอดอย่างรวดเร็ว
"น้องครับไปโดนอะไรมา"
"พี่คะ ช่วยหนูด้วยค่ะรถหนูจมน้ำ" ฉันขอความช่วยเหลือพลางน้ำตานองหน้า "แฟนหนูยังอยู่ในรถค่ะ" พี่ผู้ชายเดินเข้าไปที่รถครู่หนึ่งก็มีผู้หญิงอีกคนเดินออกมาด้วย เธอเอาเสื้อตัวใหญ่มาคลุมตัวฉัน แล้วก็เอารองเท้ามาให้ใส่ ตอนนี้ฉันวิ่งนำพี่ผู้ชายมายังที่ที่ฉันขึ้นมาจากน้ำพลางชี้ไปทิศที่คาดว่ารถน่าจะอยู่ พี่ผู้ชายเดินมาตามมาพลางโทรหากู้ภัย ตอนนี้ในใจฉันกลัวไปหมด
ไม่นานรถกู้ภัยและตำรวจก็มาถึง พวกเขาเข้ามาดูที่เกิดเหตุใช้เวลาในการประสานงานไปมา
"น้องครับตอนนี้เราประสานไปยังรถเครนแล้วอีกประมาณ 30 นาทีรถถึงจะมา ตอนนี้เรายังทำอะไรไม่ได้มากนะครับ" ตำรวจท่านหนึ่งเดินมาบอกอย่างกังวล "ไปล้างแผลก่อนนะครับ" เขาว่าแล้วก้มลงมองที่เท้าของฉัน ตอนนี้เลือดเต็มเท้าไปหมด แต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บเลยมันชาไปจนถึงหัวใจแล้ว ฉันยังมีความหวังอยู่ไหม?