webnovel

ตอนที่ 195

ตอนที่ 195 ห้องลับ

เย่หนิงรีบเดินเข้าไปในห้อง แล้วเปิดหน้าต่าง 

อากาศมืดครึ้ม เมื่อไม่มีแสงสว่างส่องเข้ามา ทำให้ภายในห้องยังดูมืดอยู่นิดหน่อย เย่หนิงเปิดไป กดสวิซต์ไฟหลายต่อหลายครั้ง ทว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงนึกขึ้นมาได้ว่าที่บ้านเก่าถูกตัดไฟไปก่อนหน้านี้แล้ว ขนาดสายไฟยังขาดเลย

ภายในห้องมีฝุ่นหนาเตอะ ทำให้สำลักฝุ่นเล็กน้อย มือหนึ่งของเย่หนิงปิดจมูก ส่วนอีกหนึ่งก็โบกมือ ต้องการปัดฝุ่นที่อยู่ตรงหน้าให้หายไป ที่บ้านเก่านี้เธอไม่รู้ว่าตนเองไม่ได้กลับมานานขนาดไหนแล้ว ก่อนหน้านี้ที่จะกลับมาก็รู้สึกเศร้าใจ คิดถึงพ่อและแม่ของตนเอง พอหวนคิดถึงจึงยิ่งไม่อยากกลับมา ตอนนี้พอคิดอย่างถี่ถ้วน เธอเป็นคนที่ไม่มีความกตัญญูเลยจริงๆ พ่อและแม่จากไปแล้ว แม้แต่ห้องของพวกท่านก็ยังไม่คิดปัดกวาดเช็ดถู

ถึงแม้ว่าที่นี่ แทบจะไม่มีของอะไรเลย 

เตียงหนึ่งหลัง ตู้หนังสือเก่าๆ หนึ่งหลัง โต๊ะหนังสือเก่าๆ หนึ่งตัว ตู้ใส่เสื้อผ้าขนาดใหญ่หนึ่งหลัง แล้วก็มีเก้าอี้อีกหลายตัว

ทุกตู้ไม่ได้ล็อค ถึงแม้ว่าเย่หนิงจะคิดว่าพ่อแม่ของเธอไม่มีของสำคัญอะไร แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องปล่อยเอาไว้แบบนี้เลย

กระจกทองแดงไม่ใช่กระจกธรรมดา พวกเขาต้องเก็บเอาไว้อย่างระมัดระวังอย่างแน่นอน 

"จะอยู่ในนี้เหรอ" เฝิ่งเยี่ยนฮวายหยิบไฟฉายออกมา เขาวางไฟฉายไว้บนโต๊ะ ตั้งใจมองรอบๆ แล้วพูดว่า "อาจจะไม่มีอะไรซ่อนเอาไว้จริงๆ ก็ได้!"

เย่หนิงพูดว่า "แน่นอน! หลังจากพ่อแม่เสียไป คุณป้าเป็นคนจัดของของพวกท่าน ของในห้องทั้งหมดล้วนถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าเป็นกระจกทองแดงอะไรนั่นจริงๆ ทำไมป้าของฉันจะไม่เจอเลยล่ะ! ก็ยืนยันได้แล้วว่าพ่อแม่ของฉันเอากระจกทองแดงซ่อนเอาไว้ หายากหน่อย แต่ลองหากันดูก่อนเถอะ ฉันหาทางซ้าย ส่วนนายรับผิดชอบหาทางขวา ตู้ โต๊ะ แล้วยังมีที่หัวเตียง ต้องค้นหาให้ละเอียด กระจกบานนั้นคาดว่าคงไม่ได้มีขนาดใหญ่นักหรอก อาจจะเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ที่สามารถซ่อนเอาไว้ได้"

“ได้" เฝิ่งเยี่ยนฮวายตอบรับ แล้วเริ่มค้นหาที่ตู้หนังสือก่อน ส่วนเย่หนิงค้นหาที่ตู้เสื้อผ้า ข้างในยังมีเสื้อผ้าอยู่บางส่วน มันถูกพับเก็บเอาไว้อย่างเรียบร้อย แล้วถูกคลุมด้วยพลาสติกเอาไว้เป็นอย่างดี เย่หนิงเหม่อมองอยู่สักพัก แล้วถึงนึกเรื่องที่ตนเองต้องทำขึ้นมาได้ กวาดสายตามอง มองในตู้บานนี้อย่างถี่ถ้วน

ไม้ทั้งหมดในตู้ไม่ได้หนามากนัก แต่เพราะไม่รู้ว่ากระจกทองแดงนั้นหนาขนาดไหน และมีรูปทรงยังไงกันแน่ เธอก็เลยไม่กล้าเผอเรอนัก หาทั้งสี่มุมของตู้ทีละนิ้วทีละนิ้ว แล้วค่อยๆ เคาะอย่างช้าๆ คลำหา อยากหาดูว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่ในตู้หรือไม่ ความจริงแล้วตู้นี้ไม่เล็กเลย ขณะที่กำลังเคาะ ความเจ็บก็แล่นเข้าสู่ปลายนิ้วอย่างรวดเร็ว เธอเอาโทรศัพท์มือถือออกมา ใช้โทรศัพท์มือถือเคาะเบาๆ เคาะอยู่สักพักก็มองเห็นเฝิ่งเยี่ยนฮวาย คาดไม่ถึงเลยว่าเขากำลังใช้กริชไม้ท้อเคาะอยู่ ทำให้เย่หนิงรีบตะโกนออกไปทันที "เฝิ่งเยี่ยนฮวาย นายยังมีกริชอีกไหม"

เฝิ่งเยี่ยนฮวายตกใจ ชั่วขณะหนึ่งกว่าจะตอบกลับไป เขาฉีกยิ้มแล้วรีบเดินมาหาเย่หนิงพร้อมทั้งยื่นกริชไม้ท้อให้แก่เธอ แล้วพูดว่า “ให้คุณใช้ก่อน"

พูดจบก็เอ่ยปากถามอีกครั้งว่า "พบอะไรเหรอ" 

“ไม่มี! หาในตู้เสื้อผ้ายังไม่เสร็จ......" ขณะที่เย่หนิงพูด เสิ่นอี้ก็โทรศัพท์มา

“ฉันไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ" เย่หนิงยัดกริชกลับไปให้เฝิ่งเยี่ยนฮวาย "เสิ่นอี้...เกิดอะไรขึ้น นานขนาดนี้แล้วเหรอ ไม่มีค่ะ กำลังหาอยู่...คุณรีบมาช่วยหาหน่อยสิ ฉันหาจนหัวหมุนแล้ว......"

เฝิ่งเยี่ยนฮวายแทบจะเอาหัวโขกกำแพง "อาหนิง คุณทำอะไร" 

เย่หนิงวางโทรศัพท์ เสมองเฝิ่งเยี่ยนฮวายอย่างไม่เข้าใจ "ทำไมอะไร" 

เฝิ่งเยี่ยนฮวายทั้งรีบร้อนทั้งโกรธเคือง "ผมบอกอะไรคุณไปอาหนิง คุณ คุณ คุณให้เสิ่นอี้เข้ามาทำไม"

"ให้เขาเข้ามาช่วยหาไง ไม่อย่างงั้นมีแค่พวกเราสองคน ไม่รู้ว่าจะต้องหาไปถึงตอนไหน" เย่หนิงไม่คิดว่านี่เป็นปัญหาอะไร

"ให้เขาเข้ามาช่วย คุณก็ยังเชื่อเขาอยู่งั้นเหรอ ถ้าเขาหาเจอแล้วไม่ให้พวกเราล่ะ ถ้าเขาชิงไป คุณจะทำยังไง คุณจะชิงกลับมางั้นเหรอ พวกเราหลายคนรวมกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย......" 

"พูดอะไร พูดลับหลังอยู่งั้นเหรอ! มีคุณสมบัติอะไรเอาผมมาพูดลับหลัง!” เสิ่นอี้พูดพลางเดินเข้ามาในห้อง มองเฝิ่งเยี่ยนฮวายด้วยสีหน้าไม่ดี แล้วพูดเสียงเย็นเยียบว่า "แย่งของจากนาย ขอโทษที ผมไม่สนใจจริงๆ นายมีของดีอะไรที่ทำให้ผมต้องแย่ง ดูจากความยากจนของนาย ผมยังจะแย่งของอะไรมาจากคุณได้อีกงั้นเหรอ เฝิ่งเยี่ยนฮวาย นายคงไม่ได้กำลังดูถูกตนเองอยู่หรอกนะ"

เฝิ่งเยี่ยนฮวายไม่สนใจคำพูดเย้อหยันของเสิ่นอี้ เพียงแค่มองเย่หนิงแล้วพูดอย่างรีบเร่งและโกรธเคืองว่า "อาหนิง ทำไมคุณถึงได้เลอะเลือนขนาดนั้น! คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเขาเป็นใคร คุณเชื่อเขาขนาดนั้น แต่คุณจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่หักหลังความเชื่อใจของคุณ ถ้า...ถ้าเขาหลอกลวงคุณจริงๆ ล่ะ ไม่กลัว ไม่กลัวเลยรึไง! อาหนิง คุณเคยคิดบ้างไหมว่าทำเช่นนี้แล้วจะมีผลลัพธ์ยังไง!"

เสิ่นอี้ไม่สนใจ "เครียดไปได้ ทำไม โลกถูกทำลายไปแล้วงั้นหรอ" 

เย่หยิงลังเลอยู่สักพัก แล้วจึงพูดกับเสิ่นอี้ว่า "เสิ่นอี้ พวกเรากำลังหาของที่สำคัญมากๆ อยู่น่ะ" 

เสิ่นอี้พยักหน้า ถามว่า "แล้ว" 

"หาไม่เจอ" เย่หนิงถอนหายใจ "แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าพ่อแม่ของฉันเอาของชิ้นนี้ไปไว้ที่ไหนกันแน่" 

เสิ่นอี้จงใจไม่มองไปที่เฝิ่งเยี่ยนฮวาย แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า " ถึงว่าทำไมเขาถึงต้องเครียดขนาดนี้ ของชิ้นนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับพวกเราผีดิบใช่ไหม ไม่อย่างงั้นทำไมเขาถึงเครียดขนาดนี้ แล้วก็ไม่กล้าให้ผมรู้ด้วย"

"ใช่ค่ะ" เย่หนิงยอมรับ 

"อาหนิง!" เฝิ่งเยี่ยนฮวายกระทืบเท้า! 

เจ้าหมอนี่ตรงหน้าของเขาไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิดเดียว ทว่าเย่หนิงกลับเอาแต่เชื่อใจเสิ่นอี้อยู่นั่นแหละ!

ความจริงแล้วเฝิ่งเยี่ยนฮวายคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเย่หนิงถึงเรียกเสิ่นอี้เข้ามา เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันมหาศาล เธอไม่คิดเลยหรือไงว่าหลังจากที่ความลับนี้เผยแพร่ออกไป จะส่งผลอย่างไรบ้าง 

ถึงแม้ว่าเสิ่นอี้จะไม่ได้อยากชิงเอาไปก็ยืนยันได้ยากว่าเขาจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดยังเป็น เขาคิดว่าเสิ่นอี้คนนี้ น่าสงสัยมากจริง!

น่าสงสัยมากๆ เลย! 

บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร สัญชาตญาณของเขาก็บอกเขาอย่างนั้น เขามักคิดเสมอว่าเสิ่นอี้คนนี้ กับราชาผีดิบมีความเกี่ยวข้องกัน

ขณะที่เฝิ่งเยี่ยนฮวายคิดอยู่เช่นนี้ ทันใดนั้นเสิ่นอี้ก็ยกยิ้มขึ้นมา "ให้ผมลองเดาเอาแล้วกัน เฝิ่งเยี่ยนฮวาย คุณไม่ต้องใช้สายตาแบบนั้นมองผมหรอก หรือว่าคุณลืมไปแล้ว ผมเป็นนักจิตวิทยา ผมอ่านใจได้ คุณเชื่อไหมล่ะ!" 

"ผมมองแล้วคุณจะทำไม!" เฝิ่งเยี่ยนฮวายคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เสิ่นอี้คนนี้เข้ามา เลยพูดตรงๆ ว่า "เสิ่นอี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ เชิญออกไป!"

เสิ่นอี้ไม่เพียงแต่ไม่ออกไป กลับยังพูดอนุมานต่อไปว่า "ยิ่งเห็นคุณอยากให้ผมออกไป เครียดเช่นนี้ ผมชักอยากเห็นว่าของอะไรกันที่ทำให้คุณเครียดได้ขนาดนี้ ไม่มีของอะไรที่จัดการกับผมได้หรอก ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ งั้นก็ไม่ต้องหาหรอก!"

เย่หนิงพูด “จริงเหรอคะ”

เสิ่นอี้ยิ้ม "ถ้าไม่ใช่ งั้นเป็นอะไรล่ะที่ทำให้เฝิ่งเยี่ยนฮวายผู้สืบทอดนักล่าผีดิบถึงเครียดได้ขนาดนี้"