webnovel

ตอนที่ 162

ตอนที่ 162 ซ้อนทับ

เขาก้มศีรษะ เหลือบมองเธอที่อยู่ในอ้อมแขน ผมยาวร่วงหล่น สัมผัสบนใบหน้าของเธอ จนรู้สึกเย็นๆ และจั๊กจี้เล็กน้อย 

เย่หนิงเอื้อมมือไปจับเส้นผมของเขาโดยไม่รู้ตัว

เขาขมวดคิ้ว น้ำเสียงอบอุ่นและน่าหลงใหลพูดขึ้น "เด็กดี อย่าซน" 

เสียงนี้ น้ำเสียงที่พูดนี้ 

เป็นเสิ่นอี้ชัดๆ 

เย่หนิงยังไม่หายสงสัย "เสิ่นอี้เหรอ" 

เขาถอนหายใจ "คุณเลอะเลือนไปแล้วเหรอ"

ชั่วขณะนั้นเย่หนิงกลอกตามองรอบๆ "คุณ...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น" 

เธอดึงผมของเขาอีกครั้ง มองด้วยท่าทางขึงจัง คล้ายกับอยากทึ้งผมเขาให้หมดหัวใจจะขาด!

เสิ่นอี้เงียบไปสักพัก แล้วจึงพูดว่า "กลับไปแล้วผมจะบอกคุณ พวกเราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ!"

เขาหันกลับไปมองเล็กน้อย คล้ายกับว่าอยากจะแน่ใจว่าผีดิบพวกนั้นไม่ได้ตามมาแล้ว 

พอคิดถึงฉากที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ เย่หนิงกล่าวขึ้นอย่างหวาดหวั่นว่า "เมื่อกี้ เมื่อกี้คืออะไร" 

"ผีดิบ" เสิ่นอี้พูดเสริมอีกครั้ง "แต่เป็นฝีมือของคน!"

"คนเหรอ" เย่หนิงตกตะลึง

"ไม่ต่างจากสถานการณ์ที่หมู่บ้านว่างยาชุนเลย มีคนใช้ประโยชน์จากสุสานแห่งนี้สร้างผีดิบ"

"สร้างผีดิบ เพราะอะไร" 

"ผมก็ไม่รู้ว่าเพราอะไร แต่มั่นใจได้ว่าคนที่ทำอย่างนี้ต้องมีใครชักนำอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้พวกเรายังต้องตรวจสอบกันต่อครับ” 

"ใช่ ใช่เหรอ" เย่หนิงถามตะกุกตะกัก "เอ่อ เอ่อ พูดให้ชัดเจนหน่อยได้ไหม" 

เสิ่นอี้พูดช้าๆ "คือแบบนี้ครับ พวกเราสงสัยว่าคนพวกนั้นลอบใช้ประโยชน์จากสุสานสร้างผีดิบพวกนี้ และคนเหล่านั้นในหมู่บ้านว่างยาชุนเป็นคนคนเดียวกัน ที่พวกเขาทำทั้งหมดนี้ จุดประสงค์ชัดเจน แต่อยากทำอะไรนั้น ตอนนี้พวกเราเองก็ไม่แน่ใจนัก ความเป็นไปได้มากที่สุดคืออยากสร้างผีดิบกลายพันธุ์ให้สำเร็จ”

"คนคนนั้น ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร" เย่หนิงยังไม่เข้าใจ 

"ความเป็นอมตะ" เสิ่นอี้กล่าวเสียงเรียบ "ถ้าทำสำเร็จ อายุขัยสิบกว่าปีก็จะเปลี่ยนเป็นร้อยกว่าปี กระทั่งพุ่งสูงเป็นพันปี! อมตะไม่แก่ไม่เฒ่า นี่เป็นเป้าหมายที่ผู้คนนับไม่ถ้วนเสาะแสวงหาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!" 

"อมตะงั้นเหรอ เป็นผีแบบนั้นน่ะเหรอ" พอเย่หนิงคิดถึงซากศพที่เน่าเหม็นเหล่านั้น กลับจะอาเจียนออกมา "กลายเป็นผีแบบนั้น เป็นอมตะแล้วจะมีความหมายอะไร"

"เช่นนั้น การทดลองของพวกเขาถึงยังทำไม่สำเร็จ ยังต้องทดลองต่อ แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านว่างยาชุนคุณก็คงจะเห็นแล้ว ไม่บอกคุณก็คงมองออกว่าพวกเขาเป็นผีดิบใช่ไหม"

เย่หนิงตกตะลึง

เธอไม่ได้ตระหนักถึงมันเลย ชาวบ้านพวกนั้นที่หมู่บ้านว่างยาชุน ความจริงแล้วทั้งหมดเป็นผีดิบเหรอ! 

แม้ว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ก็เถอะ

แต่สิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่าผีดิบ ผีดิบในจิตสำนึกดั้งเดิมของพวกเขาคล้ายกับว่าไม่เหมือนกันเลย

ผีดิบในจิตสำนึกดั้งเดิม ก็คงจะเป็นเหมือนสิ่งที่พวกเขาพบบนภูเขา

ไม่รู้ว่าถูกฝังอยู่ในดินโคลนมานานขนาดไหน ถึงได้เหม็นเน่า เป็นชิ้นส่วนศพ แล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นผีแบบนั้น

ชาวบ้านพวกนั้นที่หมู่บ้านว่างยาชุน เธอไม่เคยตระหนักถึงมันจริงๆ แต่พอพูดขึ้นอีกครั้ง ถ้าเป็นเช่นนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยอมรับได้ ทุกคนไม่มีอะไรแตกต่างจากคนปกติเลย ชาวบ้านของหมู่บ้านว่างยาชุนก็เป็นแค่ตัวทดลองเท่านั้น พวกเขายังต้องใช้ยาต่อ ถ้าไม่มียา ไม่มีการควบคุมการใช้ยาก็จะกลายเป็นบ้าเหมือนกับนักเรียนพวกนั้น สูญเสียเลือดจนตาย หรือเป็นเพราะกระหายเลือดจนเป็นคลั่ง

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เย่หนิงพูดว่า "งั้นก็เหมือนกัน เป็นปีศาจ! ไม่เหมือนกับคนปกติ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนพวกนั้นคิดอะไรอยู่!"

"เป็นแค่ขั้นตอนของการทดลองเท่านั้น" เสิ่นอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เพื่อค้นหาความเป็นอมตะไม่แก่ไม่เฒ่า มีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้ ไม่อย่างงั้นทำไมถึงต้องทดลองตลอด กระทั่งเอาคนเป็นมาทดลองอย่างไม่เสียดายชีวิต ปกติแล้วคืออยากพัฒนายาที่ดีกว่า!"

"บ้าคลั่ง!" เย่หนิงร้องเหอะออกมา "อยากมีชีวิตอมตะ แต่ไม่กลัวสวรรค์"

เสิ่นอี้ฉีกยิ้ม แล้วไม่พูดอะไรอีก ทันใดนั้นเย่หนิงก็คิดปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ เสิ่นอี้เขาก็เป็น......

เธอจับใบหน้าของเขาอย่างอดไม่ได้ 

เย็นจริงๆ ด้วย

เธออดสั่นขึ้นมาไม่ได้ 

เสิ่นอี้มองเธอ เขาเองก็ไม่พูด ฝีเท้าที่กำลังก้าวอยู่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลยสักนิดเดียว เย่หนิงเองก็เพิ่งค้นพบว่าเขาวิ่งมาตลอดทาง ไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือไง 

เขาไม่เหนื่อยก็ไม่เป็นไร แต่เหมือนกับว่าเขาไม่ได้หายใจเลย! 

คนคนนี้ ยังเป็นคนอยู่ใช่ไหม 

เมื่อความคิดนี้ปรากฏเข้ามา ทำเอาเธอตกใจ เธอมองเสิ่นอี้อย่างเหม่อลอย โดยที่ไม่พูดอะไรอีกเลย

"ทำไมเหรอครับ" เสิ่นอี้มองเธอยิ้มๆ เหมือนกับว่ามองทะลุเข้าไปในใจของเธอได้

เย่หนิงยังคงตกอยู่ในห้วงความคิด นี่มันจริงหรือว่ากำลังฝันไป 

ขณะที่คิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ แสงไฟที่อยู่ไม่ไกลสะท้อนเข้ามาจนทำเอาตาลาย เธอยกมือบังขึ้นโดยไม่รู้ตัว สักพักจึงเห็นได้ชัด ไฟรถ!

มีรถกำลังขับเข้ามาแล้ว! 

ความเร็วของเสิ่นอี้ไม่ลดลงเลยสักนิดเดียว กลับวิ่งปรี่ตรงไปที่รถ เย่หนิงตกใจร้องเสียงหลง "จะชนแล้ว จะชนแล้ว!" 

"อย่าดูถูกกันสิครับ!" เสิ่นอี้กล่าวไม่ทันจบ เขาก็มาหน้ารถแล้ว 

นี่เป็นรถจากสถานีตำรวจของพวกเขา 

ที่มีหยางปินเป็นคนขับรถ! 

เย่หนิงสติหลุดไปอีกครั้ง!

เสิ่นอี้กลับเหมือนกับรู้ก่อนแล้ว เขาไม่พูดอะไร เปิดประตูรถแล้วอุ้มเธอเข้าไปในรถก่อน แล้วก็รีบขึ้นรถตามไป 

"เสี่ยวหนิง คุณไม่เป็นไรใช่ไหม" หยางปินหันศีรษะมามองเย่หนิงอย่างวิตกกังวล

"ไม่เป็นไร......" ไม่ง่ายเลยที่เย่หนิงจะพูดสามคำนี้ออกมา 

แต่พอพูดจบก็รู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งตัว!

เมื่อกี้ล้มลงไปแรงจริงๆ มือกับเท้าน่าจะได้รับบาดเจ็บ

เสิ่นอี้เองก็รู้ เขาก้มศีรษะ ตรวจดูบาดแผลของเธอ แล้วพูดว่า "กลับไปคงต้องทายาเสียหน่อย"

ยังดีที่เป็นแค่แผลเล็กๆ น้อย สำหรับเสิ่นอี้แล้ว นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ระหว่างทางที่เขามา เขาทั้งตกใจและวิตก กลัวว่าตนเองจะมาช้าเกินไป

ตอนนี้พอคิดย้อนดูแล้ว เขายังหวาดวิตก โอบร่างของเย่หนิงเข้าไปในอ้อมอก แล้วพูดกระซิบว่า "ไม่เป็นไรแล้ว! แค่บาดแผลภายนอกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่เป็นไรครับ"

เส้นผมของเขาไล้บนลำคอของเธอจนรู้สึกจั๊กจี้

ทั้งยังเย็นมากๆ อีกด้วย เย็นเชียบเลย

เย่หนิงเต็มไปด้วยคำถาม แต่กลับว่าไม่รู้ว่าควรถามจากตรงไหนดี ยิ่งหยางปินอยู่ที่นี่แล้วด้วย เลยรู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นไม่สะดวกที่จะพูดออกมา เย่หนิงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้

ทว่าหยางปินและเสิ่นอี้กลับเอาแต่พูดไม่หยุด ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคดีของเมิ่งซินถง เซียะยุ่นผิง เขายกชื่อนี้ขึ้นมาพูดหลายต่อหลายครั้ง

เย่หนิงได้ฟังถึงเข้าใจ เซียะยุ่นผิงคนนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าเขาก็คือฆาตกรที่ฆ่าเมิ่งซินถง 

แม้จะเหนือเกินความคาดหมายจริง ทว่ากลับไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี

เซียะยุ่นผิง! 

คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฆาตกร! 

นี่มันเกินความคาดหมายชะมัดเลย

อีกอย่างความสัมพันธ์ของเซียะยุ่นผิง อ้ายหลุนและอู๋เหวินคังก็น่าตกใจมากๆ เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเขาจะเป็นนักเรียนที่อู๋เหวินคังอุปการะ 

"ตอนนี้เซียะยุ่นผิงเป็นยังไงบ้าง" เสิ่นอี้ถาม