ตอนที่ 80 ฉลาดจริงๆ
ในเมืองใหญ่ที่มีประชากรหลายสิบล้านคน ย่อมต้องมีโรงพยาบาลขนาดเลกขนาดใหญ่อยู่ไม่น้อย เสิ่นอี้ให้เธอทายงั้นเหรอ เธอจะทายถูกได้ยังไงเล่า
แต่ในเมื่อเสิ่นอี้ให้เธอทาย...งั้นก็น่าจะอยู่ในขอบเขตที่เธอพอจะทายได้อย่างนั้นใช่ไหม
เย่หนิงย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลกลาง แล้วสีหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป “คงไม่ใช่ที่โรงพยาบาลกลางหรอกใช่ไหมคะ ผู้ติดต่อคนใหม่ใช่หัวหน้าแพทย์แซ่โจวหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ครับ” เสิ่นอี้ส่ายหน้า “แต่ว่าก็เป็นที่โรงพยาบาลนั้นนั่นแหละ สำหรับคุณแล้วเขาถือว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า คุณมีเพื่อนเก่าอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เหรอครับ และเราก็เพิ่งเจอเขาเมื่อไม่นานมานี้ด้วย”
เพื่อนเก่าเหรอ?
เจอกันเมื่อไม่นานมานี้?
โรงพยาบาล?
จริงอยู่ที่เย่หนิงอาจจะไม่ถนัดในการวิเคราะห์ข้อมูล แต่เธอก็ไม่ใช่คนหัวช้า ยิ่งเสิ่นอี้เอ่ยอย่างชัดเจนออกมาขนาดนี้ด้วยแล้ว เธอจะไม่เข้าใจได้ยังไงกัน
“โรงพยาบาลถงคัง !” เย่หนิงทายถูก “เป็นโรงพยาบาลถงคังใช่ไหมคะ ?”
“ครับ โรงพยาบาลถงคัง” เสิ่นอี้มองไปที่เย่หนิงด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยออกมาว่า “ดูเหมือนว่าหลังจากที่คุยกับกู่เถียนโปเสร็จแล้วเราอาจจะต้องเชิญใครมาคุยต่อนะครับ”
หัวใจของเย่หนิงเต้นแรง คำพูดแฝงความหมายของเสิ่นอี้นั้น......
หรือว่า...ตู้ซื่อฮุยจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วล่ะก็...
“คุณกำลังสงสัย...ตู้ซื่อฮุยเหรอคะ”
“ผมไม่รู้ว่าเขาเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ แต่รองผู้อำนวยการแซ่ตู้ของโรงพยาบาลถงคังน่ะค่อนข้างน่าสงสัยทีเดียว คนคนนั้นมีความทะเยอทะยานมาก เขาอาจจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเอง ในวงการแพทย์นั้นชื่อเสียงของเขาก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้วนะครับ”
เย่หนิงยิ้มเจื่อนๆ ตู้ซื่อฮุยก็เป็นคนแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ จริงอยู่ที่เธอคบหากับเขาเป็นระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือน แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ตอนที่เลิกกันนั้น เธอไม่ได้รู้สึกว่ายังมีเยื่อใยอะไรเลยสักนิด เพราะคนแบบเขาไม่ควรค่าแก่การอาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งเรื่องที่เสิ่นอี้พูดเมื่อครู่นั้น หากพ่อของตู้ซื่อฮุยมีส่วนรู้เห็นจริงๆ แต่เธอก็ไม่เชื่อว่าตู้ซื่อฮุยจะไม่รู้เรื่องนี้ กลับกันบางทีเขาอาจจะมีบทบาทที่สำคัญในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป !
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้วเย่หนิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
หรือว่าที่พวกเขาได้พบกับตู้ซื่อฮุยที่มหาวิทยาลัยแพทย์คราวนั้น จะเป็นเพราะแบบนี้นี่เองเหรอ คงไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดจะลงมือกับจวงหมิงหานจริงๆ หรอกใช่ไหม
“ศาสตราจารย์จวงเขา.....”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เราส่งคนไปคอยดูแลเขาอย่างเงียบๆ แล้ว อีกทั้ง......” เสิ่นอี้ยิ้มออกมาบางๆ “ความสามารถของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเราเลย หากคนทั่วไปจะจัดการเขาน่ะ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ อีกอย่างคนคนนั้น วันๆ เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องทดลองที่มีการป้องกันที่เข้มงวดแน่นหนา ขนาดพวกเราอยากจะเจอเขาก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับคนอื่นแล้วยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่เลยล่ะ”
เย่หนิงถอนหายใจออกมา “งั้นก็ดีแล้วล่ะค่ะ แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว โรงพยาบาลถงคังก็ดูน่าสงสัยมากจริงๆ ด้วยนั่นแหละ”
โรงพยาบาลถงคัง ไม่ใช่โรงพยาบาลที่เก่าแก่อะไร เป็นเพียงโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แต่หากพูดถึงระยะเวลาก่อตั้ง ก็ถือว่าก่อตั้งมาไม่ใช่เวลาน้อยๆ แล้ว โรงพยาบาลนี้ก่อตั้งมาเป็นเวลาประมาณสามสิบกว่าปีได้
สามสิบกว่าปี !
เวลานี้......มันช่างเหมาะเจาะจริงๆ
พอคิดแบบนี้แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าโรงพยาบาลถงคังนั่นน่าสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
หากเป็นโรงพยาบาลถงคังจริงๆ......
เย่หนิงไม่รู้เลยว่าเธอควรจะพูดอะไรดี
โรงพยาบาลที่ควรจะต้องเป็นสถานที่ที่ช่วยชีวิตและช่วยเหลือผู้ป่วย แต่เพียงเพราะเงินแล้ว กลับยอมทำเรื่องบางอย่างที่น่ากลัวมากขนาดนี้ แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ไม่รู้ว่าในโรงพยาบาลแห่งนั้นมีแพทย์จำนวนกี่คนที่มีส่วนในเรื่องนี้ด้วย
น่ากลัวมากจริงๆ !
“เราจะปล่อยพวกเขาไปไม่ได้เด็ดขาด !” เย่หนิงขบฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง !
ปีศาจในคราบเทวดาพวกนี้ ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าพวกซาตานซะอีก !
“หากพวกเขาทำจริง ก็ต้องทิ้งหลักฐานไว้แน่ ! ตั้งแต่เกิดคดีขึ้นจนถึงตอนนี้ เวลายังผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าพวกเขามีเวลาไม่มากพอที่จะทำลายหลักฐานเหล่านั้นหรอกครับ แต่ที่ผมเป็นห่วงที่สุดตอนนี้ก็คือคนที่เป็นกุญแจสำคัญพวกนั้น เกรงว่าเมื่อพวกเขารู้สึกได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้วจะหลบหนีไปมากกว่า ! และการหลบหนีของพวกเขาครั้งนี้ พวกเขาก็อาจจะเอาเอกสารสำคัญอีกมากมายติดตัวไปด้วย! ถ้าหาวิธีรักษาผู้ป่วยเหล่านั้นไม่ได้ เรื่องมันก็จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ !”
การที่ตัวบงการหนีไป สำหรับพวกเขาแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สักเท่าไหร่นัก แต่กุญแจสำคัญมันอยู่ที่ยาถอนพิษนั่นต่างหาก !
การที่พวกเขาสามารถหายาถอนพิษพบต่าง เรื่องนี้ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด !
ตัวบงการหนีไป พวกเขาก็ยังใช้เวลาไปติดตามและจับกุมได้ แต่บรรดาผู้ป่วยในโรงพยาบาลนั่น พวกเขากำลังรอยาที่จะมาช่วยชีวิตอยู่ !
“หวังว่าพวกเขาจะไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปมากนัก” เสิ่นอี้พูดได้เพียงเท่านี้
ถึงจับตัวผู้บงการได้ เขาก็ไม่กล้าหวังอะไรมากนัก ด้วยเพราะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่ผู้บงการจะไม่ใช่ผู้รับผิดชอบหลักของโรงพยาบาลนี้
กับสถานการณ์แบบนี้ คนที่เคยมีประสบการณ์ย่อมรู้ดีว่า คนสำคัญมักจะไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการหรืออะไรแบบนั้นโดยตรง เมื่อถูกผลักออกมา จริงอยู่ที่อาจเป็นคนที่มีคุณค่าในองค์กรอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีแนวโน้มและมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่สามารถเชื่อมโยงไปถึงตัวการสำคัญได้ เป็นเพียงหมากที่พร้อมสลัดทิ้งได้ตลอดเวลา
พอเสิ่นอี้วิเคราะห์สถานการณ์ออกมาแบบนี้แล้ว เย่หนิงก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ! หลังจากความเพียรพยายามอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของผู้บงการ จับได้แต่พวกลูกน้องตัวเล็กๆ ไม่กี่คนเท่านั้น น่าเบื่อจริงๆ !
เหมือนกับทีมปราบปรามยาเสพติด มีการจัดเตรียมสายลับ ทางหนีทีไล่ ด้วยความตั้งใจที่จะกวาดล้างให้สิ้นซาก แต่สุดท้ายเจ้าพ่อค้ายากลับไม่ปรากฏตัว จับได้แค่พวกลูกน้องกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ต่อให้ไม่มีลูกน้องแล้ว บอสใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังก็ยังสามารถฝึกลูกน้องขึ้นมาใหม่ได้อยู่ดี !
สถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันนัก หากผู้บงการตัวจริงไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลถงคัง แม้พวกเขาจะจับคนในโรงพยาบาลได้ทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการปิดคดีโดยสมบูรณ์ ด้วยเพราะคนที่สำคัญที่สุดหนึ่งคนยังลอยนวลอยู่ เขายังคงสามารถก่อคดีอื่นต่อไปได้อีก
“อย่าท้อสิครับ” เสิ่นอี้กลับพูดปลอบใจเย่หนิงขึ้นมา “ถึงแม้จะเป็นแค่การเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็ถือเป็นความก้าวหน้าขึ้นหนึ่งนะ เราเจอจุดสำคัญแล้วไม่ใช่เหรอครับ อีกอย่าง เมื่อครู่ที่ผมเพิ่งพูดไป ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์ในแบบที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้นะครับ”
เขายกมือขึ้นขยี้ผมของเย่หนิง น้ำเสียงที่พูดฟังดูอ่อนโยน ท่าทางสนิทสนม
แต่เย่หนิงกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาแทน การกระทำที่ดูสนิทสนมแบบนี้ สำหรับเสิ่นอี้แล้วดูเป็นธรรมชาติมาก มันดูเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ แต่ว่า......ทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามันแปลกๆ นะ หรือว่าเธอจะคิดมากไปเอง
เย่หนิงยกมือขยี้ผมตัวเองอย่างอดไม่ไหว
เสิ่นอี้ตบไหล่เธอเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะครับ ไปหาคู่ปรับเก่าของเรากันอีกสักครั้ง”
กู่เถียนโปถูกนำตัวเข้าห้องสอบปากคำ เขานั่งอยู่ในนั้นมาหลายชั่วโมง จนตอนนี้ท่าทางของเขาดูจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยแล้ว
แน่นอนว่าเป็นเสิ่นอี้ที่จงใจเอาเขาไปทิ้งไว้อย่างนั้น สำหรับคนที่ดื้อดึงแบบเขา การบดทำลายความอดทนถือเป็นสิ่งที่จำเป็น
แล้วก็เป็นไปตามที่คิดไว้จริงๆ ทันทีที่พวกเขาผลักประตูเข้าไป กู่เถียนโปก็ถามออกมาด้วยความหงุดหงิด “คุณตำรวจสองคนนี้ พวกคุณอีกแล้วเหรอครับ คราวนี้จะถามอะไรอีกล่ะ อะไรที่พูดได้ ผมก็บอกไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอไง”
“อะไรที่พูดได้ ?” เสิ่นอี้จับจุดพิรุธในคำพูดของกู่เถียนโปได้ทันที “งั้นคุณมีอะไรที่พูดไม่ได้อีกใช่ไหมครับ”
กู่เถียนโปปิดปากฉับทันที
เสิ่นอี้ร้ายกาจมาก เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นจึงคิดว่าการไม่พูด เป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้น ยิ่งพูดมากก็ยิ่งผิดมาก
“ทำไมล่ะครับ” เสิ่นอี้ส่ายหน้า “คุณไม่คิดเหรอว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บความลับไว้อีกเหรอ”