webnovel

ตอนที่ 076

ตอนที่ 76 วิเคราะห์เรื่องราว

“พวกเขาไปหาหมอมาแล้วจริงๆ เหรอคะ”

เสิ่นอี้พยักหน้า “ก็ไม่เห็นแปลกนี่ครับ พวกเขาไม่ได้สมัครใจยอมถูกคนพวกนั้นควบคุม เพราะงั้นการหาวิธีอื่นมาแก้ไขก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว”

เสิ่นอี้ว่าต่อ “ตอนนั้นที่หมู่บ้านว่างยาชุน ทุกครั้งจะมีชาวบ้านสิบกว่าคนไปหาหมอพร้อมกันเพื่อที่จะตรวจร่างกาย จากผลการตรวจนั้นจริงอยู่ที่หมอบอกว่าร่างกายของพวกเขาไม่มีอะไรที่ผิดปกติ แต่ผู้ป่วยเหล่านั้นก็ดูกังวลและหวาดกลัวมาก พวกเขามักจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะใกล้ตายอยู่ตลอดเวลา หมอที่ตรวจให้ตอนนั้นทุกคนล้วนรู้สึกแปลกใจ คิดว่าคนเหล่านี้อาจจะถูกลัทธิมืดล้างสมองมา จนเกือบจะส่งพวกเขาไปโรงพยาบาลจิตเวชอยู่แล้ว”

“ที่แท้คุณก็ตรวจสอบอะไรมาไม่น้อยแล้วนี่...” เย่หนิงเอ่ยออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม

แต่เสิ่นอี้กลับหัวเราะปลอบใจเธอแทน “คุณเป็นหมอนิติเวชนี่ครับ ไม่ใช่ว่าเชี่ยวชาญเรื่องสืบคดีมากกว่าผมหรอกเหรอ”

ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตาม แต่เย่หนิงก็คิดไม่ถึงว่าเสิ่นอี้จะสังเกตถึงความแปลกประหลาดของชาวบ้านในหมู่บ้านว่างยาชุนได้รวดเร็วแบบนี้ จนถึงขั้นที่ว่าให้คนไปตรวจสอบในหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน

“คุณรู้มาตั้งนานแล้วนี่ หึ ปิดมานานเลยสินะ”

เสิ่นอี้หลุดหัวเราะออกมา “ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบัง แต่เป็นเพราะว่ายังตรวจไม่พบเบาะแสกุญแจสำคัญอะไร พูดไปก็ไม่มีประโยชน์”

เย่หนิ่งเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วบางส่วน แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจ “งั้น...คุณเอาเรื่องพวกนี้ ทั้งก่อนและหลังมาเชื่อมโยงกันแล้วพอจะเดาอะไรได้บ้างไหมคะ และก็มีอีกเรื่องที่ฉันแปลกใจมาก คุณรู้ได้ยังไงว่ากู่ซานหมิงเป็นตัวปลอม ถึงแม้คุณจะรู้ว่าชาวบ้านพวกนั้นมีปัญหา แต่คุณเดาได้ยังไงว่ากู่ซานหมิงนั่นไม่ใช่ตัวจริง”

“คุณอยากรู้เหรอครับ” เสิ่นอี้ก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วช้อนตาขึ้นมองเธอ ประกายขบขันในแววตาของเขาเข้มขึ้น จนเธอรู้สึกตื่นตระหนก ขยับก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ลืมระวังขั้นบันไดที่อยู่ด้านหลังจนเกือบล้มลงกับพื้น

เสิ่นอี้รวดเร็วมาก เมื่อเท้าของเย่หนิงเหยียบกลางอากาศ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะหวีดร้องออกมา เขาก็คว้าร่างของเธอเอาไว้ได้ทัน ทว่ายังไม่ทันที่จะทรงตัวได้ หน้าของเธอก็ทิ่มเข้าไปในอ้อมกอดของเขา บริเวณจมูกชนเข้าไปเต็มๆ จนเจ็บไปหมด

“ฮือ...” เย่หนิงยกมือถูจมูก น้ำตาเกือบจะไหลออกมาซะแล้ว

“โดนเหรอครับ” เสิ่นอี้ประคองเธอ มองดวงตาที่คลอด้วยหยดน้ำใส ทั้งน่าหงุดหงิดและน่าขัน “ดูคุณสิ”

เย่หนิงถอนหายใจออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก เสิ่นอี้มองเธอด้วยความสนใจ และอยู่ๆ ก็ยื่นมือออกไปบีบจมูกที่ถูกชนจนแดงของหญิงสาวตรงหน้า “ไม่ระวังเอาซะเลย”

คราวนี้ไม่ใช่แดงแค่จมูกของเย่หนิงเท่านั้น แม้แต่ใบหูของเธอก็แดงเห่อขึ้นไปด้วย

แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะแม้แต่เมื่อครู่ตัวเองกำลังจะถามอะไรเธอก็ลืมไปหมดแล้ว หลังจากที่ชะงักไปชั่วขณะ หญิงสาวก็รีบเอ่ยถามเสิ่นอี้ต่อทันที “เสิ่นอี้ เดี๋ยวก่อนค่ะ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ !”

“ผมส่งคนไปตรวจค้นที่หมู่บ้านว่างยาชุนแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็น่าจะรู้ผล!”

“หืม? ผล ผลอะไรหรือคะ?”

“ยาเอย โครงกระดูกเอย อะไรพวกนั้นน่ะ”

เย่หนิงรู้สึกสั่นไหวขึ้นมาในใจ “ตอนกลางคืนพวกเขาปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ไม่กล้าออกไปข้างนอก หรือว่าเพราะว่าแบบนี้ เพราะเหตุผลที่คุณบอกจริงๆ เหรอ”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ !” เสิ่นอี้ดูมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนเป็นอย่างมาก “หรือว่าคืนนั้นที่เดินดูรอบๆ หมู่บ้าน คุณมองอะไรไม่ออกเลยหรือครับ”

มองอะไรออกอีกล่ะ ? ปัญหาที่พวกเขาพบก็ล้วนแต่พูดกันไปตั้งแต่คืนนั้นแล้วนี่

“พวกรอยข่วนนอกหน้าต่างกับรอยคราบเลือดที่จางลงไปบ้างแล้วพวกนั้น คุณไม่ได้สังเกตเลยหรือ”

“หืม ?” เย่หนิงรู้สึกมึนเบลอไปเล็กน้อย เธอไม่ได้สังเกตเลยจริงๆ ! ไม่ใช่เพราะปกติเธอไม่ได้สังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของปัญหา แต่เพราะในหมู่บ้านไม่มีไฟเลย มืดสนิทแบบนั้นจะไปเห็นอะไรได้กันล่ะ ? ถ้าเป็นตอนกลางวันก็ต้องเห็นแน่อยู่แล้ว

สายตาของคนคนนี้มันยังไงกันนะ

มันจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า

เขามองเห็นทุกอย่างเลยหรือยังไงกัน

“สายตาของคุณเท่าไหร่คะ ?” ความสงสัยและไม่อยากเชื่อฉายชัดบนใบหน้าของเย่หนิง

“ฮ่า ฮ่า ! ผมมองเห็นตอนกลางคืนได้ คุณเชื่อไหมครับ”

“พอเถอะค่ะ !” เย่หนิงไม่อยากคุยกับเขาต่อแล้ว !

สีหน้าของเสิ่นอี้ดูแปลกใจยามที่เอ่ยถาม “คุณเชื่อเรื่องผีดิบ แล้วทำไมถึงไม่เชื่อเรื่องมองที่ผมมองเห็นตอนกลางคืนล่ะครับ”

เย่หนิงนิ่งงัน......

เมื่อครู่ตอนที่เสิ่นอี้พูดถึงการมองเห็นตอนกลางคืนน่ะ เห็นๆ อยู่ว่าฝ่ายนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ล้อเล่น แล้วแบบนี้เธอจะเชื่อเขาได้อย่างไรกัน

เย่หนิงไม่พอใจ “งั้นทำไมคุณไม่พูดตั้งแต่วันนั้นล่ะคะ”

“แค่ดูแล้วคล้ายๆ แต่ตอนนั้นไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าใช่อย่างที่คิดจริงไหม ต่อมากู่ซานหมิงก็เข้ามา ผมก็เลยไม่สามารถไปพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเองได้ เพราะงั้นหลังจากนั้นผมก็เลยให้คนไปตรวจสอบดูว่าเป็นจริงหรือเปล่า”

“แล้วเป็นรอยข่วนกับคราบเลือดจริงไหมคะ”

“จริงครับ!”

“งั้นจากข้อมูลพวกนี้ คุณเดาอะไรได้บ้างไหมคะ”

“ไม่เลยครับ โลงศพพวกนั้นเราเองก็เปิดดูแล้ว DNA ที่เก็บมาจากร่างของคนพวกนั้นก็เอามาเปรียบเทียบกับข้อมูลในฐานข้อมูลของเราแล้ว DNA ของเด็กหนึ่งในนั้นเหมือนกับ DNA ของกู่ซานหยาที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนมาก มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นพี่น้องกัน”

“เด็กเหรอคะ” เย่หมิงเบิกตาโต “กู่ซานหมิงตัวจริงน่ะเหรอคะ”

“ใช่ ! เขาต่างหากที่เป็นกู่ซานหมิงตัวจริง !”

“เขา...ยังไม่ตาย ?”

“ตายไปแล้วครับ แต่ดูเหมือนศพจะไม่เน่าเปื่อย และใบหน้าค่อนข้างซีดขาว เราเก็บตัวอย่างเลือดจากร่างของเขามาด้วย”

“นะ นี่...” เย่หนิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

เสิ่นอี้เริ่มพูดต่อ “อีกอย่าง ตอนที่กู่ซานหมิงพูดเรื่องหมู่บ้านว่างยาชุนกับเราตอนที่อยู่ในโกดังน่ะ ถึงแม้เขาจะแสร้งทำเป็นหวาดกลัวมาก แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่แสดงออกมากลับดูเศร้าและจนปัญญาอย่างเห็นได้ชัด เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง แต่กลับไม่มีกำลังพอที่จะทำอะไรได้ โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงเรื่องสมัยเด็กของเขา ความเศร้าเสียใจนั้นยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม มันไม่ได้แสดงออกมาจากตัวเขา แต่ตอนที่เขาเล่าเรื่อง มันเหมือนเขาเป็นผู้ที่ยืนดูอยู่ตรงนั้นมากกว่า เหมือนไม่ใช่เขาเป็นผู้ประสบมันด้วยตัวเอง”

เป็นอีกครั้งที่เย่หนิงถึงกับตกตะลึง “เรื่องพวกนี้มันสัมผัสได้ด้วยเหรอคะ”

เสิ่นอี้หัวเราะออกมา “ที่จริงเมื่อครู่เป็นเพียงการคาดการณ์ของผมเท่านั้นครับ ค่อยๆ คาดการณ์ข้อเท็จจริงออกมาจากสีหน้าและปฏิกิริยาตอบสนองของเขา”

“ร้ายกาจมาก !” นอกจากคำชมเชย เย่หนิงก็ไม่รู้แล้วว่าควรพูดอะไร “เสิ่นอี้ คุณนี่รู้ไปหมดทุกอย่างจริงๆ เลยนะคะ !”

“คุณก็พูดไป” เสิ่นอี้ทำหน้าจริงจัง “ถ้าให้ผมมาผ่าชันสูตรศพผมก็คงทำไม่ได้หรอก เรื่องด้านนี้คุณถนัดมากกว่าผมตั้งเยอะนะ”

“ฮ่า !” เย่หนิงหัวเราะออกมาเบาๆ “ในที่สุดฉันก็มีเรื่องที่เก่งกว่าคุณบ้างแล้ว”

ยัยผู้หญิงคนนี้ ! เสิ่นอี้หัวเราะไปก็ส่ายหน้าไปด้วย “มีตั้งหลายอย่างที่คุณเก่งกว่าผม อย่างน้อยๆ คุณก็กินเก่งกว่าผมนะ”

ตาคนนี้นี่ ! เย่หนิงรู้สึกอยากบี้เขาให้ตายซะจริงๆ เลย !

“เสิ่นอี้ อย่าหนีนะ ! คุณหยุดอยู่ตรงนั้นเลย !” น่าเกลียดจริงๆ ! ตานี่กล้าหัวเราะเยาะเธอเหรอ กล้าล้อว่าเธอกินเยอะเหรอ จะอะไรเธอก็ทนได้หมด แต่ว่ากันว่ากินเก่งแบบนี้ เธอทนไม่ได้ !

เย่หนิงวิ่งไล่เสิ่นอี้จนกระทั่งวิ่งกลับมาถึงห้องทำงาน หายใจหายคอแทบไม่ทัน ไม่รู้เพราะโมโหหรือเพราะวิ่งเร็วจนหายใจไม่ทันกันแน่ “คุณ นี่คุณ...คุณจะวิ่งไปถึงไหน !”

เสิ่นอี้หลุดหัวเราะออกมา “ผมหยุดวิ่งแล้ว !”

“หึ ! เมื่อกี้คุณบอกว่าฉันทำไมนะ ? !”

เสิ่นอี้กระพริบตาปริบ ท่าทางบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ “ผมพูดอะไรเหรอครับ เมื่อกี้เราคุยเรื่องรูปคดีกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”