webnovel

ตอนที่ 071

ตอนที่ 71 คำบอกรักที่น่าฟังที่สุด

ไม่ผิดไปจากที่เดาไว้เลยแม้แต่น้อย !

พวกอาๆ ป้าๆ พอไม่มีอะไรทำก็ชอบซุบซิบนินทา วุ่นวายเรื่องของคนนั้นคนนี้ไปทั่ว เพราะอย่างนี้นี่ไง เมื่ออาของเธอไปอยู่ที่ต่างประเทศแล้ว เย่หนิงถึงไม่เคยกลับไปที่บ้านนั้นอีกเลย เธอไม่อยากกลับไปจริงๆ

เมื่อก่อนพวกป้าๆ มักจะหาโอกาสพร่ำสอนคุณอาของเธอเสมอ แต่ตอนนี้คุณอาของเธอก็ไม่อยู่แล้ว พวกเขาจึงสอนคุณอาของเธอไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ความซวยจึงมาตกอยู่ที่เธอแทน ทุกครั้งที่เจอหน้าเธอก็มักจะเอาแต่เรื่องราวยุ่งยากมากมายมาให้เธอไม่หยุด ไม่จบไม่สิ้นกันสักที

“เสี่ยวหนิง เรียนจบแล้วสินะจ๊ะ ทำไมหนูยังไม่รีบแต่งงานอีกล่ะ ผู้หญิงเราเนี่ยถ้าอายุเลยยี่สิบห้าไปก็ถือว่าแก่แล้วนะ ยังไงก็รีบหน่อยนะจ๊ะ”

“เสี่ยวเย่ หนูอายุกี่ปีแล้วเนี่ย ทำไมยังไม่มีแฟนอีก ตอนที่ป้าอายุเท่าหนูนะ ลูกสาวป้าก็อายุสองขวบแล้ว”

“ป้าว่านะเสี่ยวหนิง หนูไม่ต้องเลือกให้มากนักหรอก หรือว่าหนูอยากเป็นเหมือนคุณอาของหนูล่ะ เลือกแล้วเลือกอีก จนเป็นสาวแก่แล้วยังไม่ได้แต่งงานเลย”

“เสี่ยวหนิง หนูจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะจ๊ะ ลองคิดดูสิว่าหนูเป็นสาวเป็นแส้จะมาทำงานแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน เอาแต่คลุกคลีอยู่กับคนตาย ให้ตายเถอะ ! แล้วผู้ชายที่ไหนเขาจะเอาหนูล่ะ ฟังป้าเถอะนะ รีบเปลี่ยนงานเถอะ ป้ารู้จักลุงคนหนึ่งที่เขาเปิดโรงเรียนอนุบาลอยู่ หนูไปเป็นครูสอนอนุบาลน่าจะดีกว่าตั้งเยอะนะจ๊ะ”

ปวดหัว ! พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เย่หนิงก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที คดีที่ว่าซับซ้อนพวกนั้น ยังไม่เคยทำให้เธอปวดหัวมากขนาดนี้มาก่อนเลย แค่นึกถึงพวกป้าๆ ที่เอาแต่พร่ำบ่นเธอตลอดเวลาก็รู้สึกปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว รู้สึกเหมือนถูกผู้คนรุมสาปแช่งก็ไม่ปาน น่ากลัวชะมัด !

เสิ่นอี้ทั้งรู้สึกแปลกและขำขึ้นมาในเวลาเดียวกัน “มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ ? อาสะใภ้ของคุณก็แค่อยากให้คุณกลับบ้านเมื่อมีเวลาสักครั้งเท่านั้นเอง เขาไม่ได้ให้คุณกลับไปตอนนี้สักหน่อย คุณจะกังวลไปทำไมกันครับ ?”

“คุณไม่รู้อะไรซะแล้ว ที่คุณอาสะใภ้ให้ฉันกลับไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีแน่ ไม่รู้ว่าพวกป้าๆ จะไปสรรหาคนแปลกๆ ที่ไหนมาจับคู่ให้ฉันอีก”

ตัวเธอนั้นไม่อยากที่จะกลับไปเลยจริงๆ แต่ว่าพวกอาๆ ป้าๆ ของเธอนั้นคงไม่ยอมแน่ อีกอย่างเธอไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาปฏิเสธดี

วุ่นวายจนน่าปวดหัวไปหมด !

“จับคู่เหรอครับ ?” เสิ่นอี้แปลกใจ

จวงหมิงหานเม้มปากยิ้มๆ แล้วมองเสิ่นอี้อย่างมีเลศนัย

เขาเริ่มเข้าใจอะไรแล้วล่ะ ผู้หญิงคนนี้นี่เก่งชะมัดเลย เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังทำให้ใครบางคน “ใส่ใจ” เธอเป็นพิเศษโดยที่เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นๆ เพียงแค่เสิ่นอี้ไปพูดกับพวกเธอสักคำล่ะก็ พวกเธอคงกระดี๊กระด๊าจนแทบทนไม่ไหวเลยล่ะ

ยิ่งคิดจวงหมิงหานก็ยิ่งรู้สึกขำ ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกชอบใจในความทุกข์ยากของเพื่อน ฮ่าๆ เสิ่นอี้นะเสิ่นอี้ ในที่สุดนายก็มีวันนี้ กรรมตามสนองนายเข้าให้แล้วล่ะ

ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้จวงหมิงหานจะกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ท่าทีแบบนั้นของเขา คิดว่าเสิ่นอี้ดูไม่ออกเหรอไงกัน ?

หลังจากหันไปมองจวงหมิงหานอย่างไม่สบอารมณ์แล้ว เสิ่นอี้ก็พูดกับเย่หนิงต่อ “ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่โตตรงไหนเลยนี่ครับ ถ้าคุณไม่อยากไปจริงๆ ก็แค่บอกอาสะใภ้ของคุณซะก็สิ้นเรื่อง”

“เฮ้อ ช่างมันเถอะค่ะ......ถ้าถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันล่ะกัน” เย่หนิงส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “แต่ยังไงตอนนี้ฉันยังไม่ว่างแน่ๆ”

ตอนนี้พวกเขากำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องคดีอยู่ คดีนี้ทำให้พวกเขาปวดหัวจนถึงกับต้องกุมขมับ แล้วจะมีเวลาไปห่วงเรื่องอื่นได้อย่างไรกัน

เย่หนิงตัดสินใจที่จะเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ล่ะกันครับ” เสิ่นอี้เห็นว่าตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยไปมากแล้ว พวกเขามีเรื่องมากมายที่กำลังรอให้ไปจัดการอยู่

“ก็ได้ค่ะ” เย่หนิงเองก็รู้สึกท้อ หลังจากที่เธอออกไปรับโทรศัพท์ เธอนั้นก็ไม่เหลือแรงอยู่อีกแล้ว

เสิ่นอี้ที่มองเห็นท่าทางของเธอก็รู้สึกตลกขึ้นมา เขาจึงเอื้อมมือไปลูบหัวของเธอไปมา “ดีแล้วล่ะครับ จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสักหน่อย เอาอย่างนี้ไหมครับถ้าคุณกังวลมาก เมื่อถึงตอนนั้นผมจะไปเป็นเพื่อนคุณเอง”

“จริงเหรอคะ ?” เมื่อได้ยินดังนั้น เย่หนิงก็ตาลุกวาว เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคำพูดที่เสิ่นอี้พูดว่าจะไปเป็นเพื่อนเธอนั้นฟังแล้วมันจะรู้สึกดีขนาดนี้

ท้องของจวงหมิงหานแข็งเกร็ง สีหน้าของเขาดูบูดเบี้ยวไปมากทีเดียว เนื่องจากเขาพยายามที่จะกลั้นขำเอาไว้

“ไปกันเถอะ เสร็จเรื่องคดีนี่แล้วเราค่อยว่ากัน จริงสิ หมิงหาน พรุ่งนี้ได้เรื่องยังไง อย่าลืมโทรหาฉันด้วยนะ” เสิ่นอี้พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะเดินจากไป

“โอเค นายวางใจได้เลย”

จวงหมิงหานรับปาก

เมื่อออกจากห้องทดลอง เขาก็เห็นว่าเย่หนิงยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ ดังนั้นก็เลยรู้สึกขำขึ้นมาอย่างมาก มือเอาแต่ลูบหัวของเธอไปมา แล้วพูดขึ้นว่า “การจับคู่มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ ?”

“ก็ต้องน่ากลัวสิ ! เสิ่นอี้คุณไม่รู้เหรอว่าการจับคู่มันเป็นเรื่องที่สำคัญขนาดไหน ไม่สิ... ต้องพูดว่าคุณอาสะใภ้ของฉันเป็นคนบอกว่ามันสำคัญต่างหาก สำคัญจนไม่รู้จะสำคัญยังไงแล้ว และคุณอาสะใภ้ของฉันคนนี้นะเธอก็เอาแต่พูดถึงเรื่องนี้มาตลอด คุณรู้ไหมคะ ฉันไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก คุณอาของฉันเป็นคนเลี้ยงฉันตั้งแต่เล็กจนโต ตอนไหนที่คุณอาไม่อยู่ ก็ให้ฉันไปอยู่ที่บ้านคุณอาผู้ชาย ให้ตายสิ คุณอาสะใภ้ของฉันดุมากเลยนะ ตอนเป็นเด็กฉันเคยเจอมากับตัวเลย เธอสามารถพูดบ่นจนคนแทบจะกลายเป็นบ้าได้จริงๆ จริงๆ นะคะ มันน่ากลัวจริงๆ นะ !”

เสิ่นอี้ยิ่งฟังก็ยิ่งขำ “แสดงว่า ถ้าคุณไม่กลับบ้านนี่ก็คงถูกบ่นแย่เลยใช่ไหม ?”

“แน่นอนสิคะ ฉันคงถูกบ่นตายเลย ไม่แน่สักวันเธอคงตามฆ่าถึงในเมืองแน่ อาจจะบุกเข้ามาที่ห้องสำนักงานเพื่อมาเทศนาฉันชัวร์ !”

เสิ่นอี้แทบจะกลั้นขำไว้ไม่ไหวแล้ว “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงน่ากลัวมากจริงๆ นั่นแหละครับ”

เย่หนิงเอาแต่พยักหน้า “น่ากลัว น่ากลัวสุดๆ ไปเลยล่ะ ยังกับอาวุธสังหารขนาดใหญ่แหนะ มีกำลังทำลายล้างสูงทีเดียว”

“ฮ่าๆ” ในที่สุดเสิ่นอี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว เขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ต่อไปถ้าหากพวกเราเจอกับผู้ร้ายดื้อด้าน เห็นทีต้องเชิญอาสะใภ้ของคุณมาแล้วล่ะครับ ให้เธอเป็นพนักงานสืบสวนพิเศษไปเลย ผมเชื่อว่าต่อให้ผู้ต้องหาจะปากแข็งขนาดไหน ก็คงทนอาสะใภ้ของคุณบ่นปากเปียกปากแฉะไม่ไหวแน่ๆ”

“ฮ่าๆๆ...” เย่หนิงเองก็อดขำออกมาไม่ได้เช่นกัน “สมกับเป็นเสิ่นอี้จริงๆ คิดเรื่องแบบนี้ออกมาก็ได้ด้วย”

ทั้งสองคนพูดคุยกันมาตลอดทางจนเดินมาถึงที่จอดรถ ก็เห็นตู้ซื่อฮุยกับแฟนของเขาเข้ามาขวางไว้ ตู้ซื่อฮุยนั้นก็เอาแต่ขอร้องวิงวอนตลอดทาง เอาแต่พูดเพราะหยอดคำหวาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโดนเสิ่นอี้ไล่ไปอย่างไม่ไยดี ตอนนี้พวกเขากำลังยุ่งอยู่ ไม่มีเวลาว่างมาพูดคุยไร้สาระกับพวกน่าเบื่อสองคนนี้หรอก

หลังจากที่ขึ้นรถแล้วนั้น เย่หนิงที่นึกถึงท่าทางของตู้ซื่อฮุยที่ตะลึงไม่กล้าทำอะไรเมื่อสักครู่ เธอก็อดรู้สึกขำขึ้นมาไม่ได้

“พวกเขาต้องคิดว่าฉันกำลังเป่าหูคุณอยู่แน่ๆ เลย” เย่หนิงไม่มีทางลืมสายตาของตู้ซื่อฮุยกับไต้ซานซานที่มองมาทางเธอได้หรอก สายตาพวกเขาราวกับจะฆ่าคนให้ได้

สายตานั่นทิ่มแทงชะมัด !

“อ่า ขอโทษทีนะ ที่คุณต้องกลายเป็นแพะรับบาปแบบนี้” เสิ่นอี้พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เหอะ ขอโทษแค่นี้เหรอคะ ?” เย่หนิงไม่พอใจ

“งั้นผมเลี้ยงข้าวคุณก็ได้ครับ” เสิ่นอี้ยิ้มขึ้น “คุณอยากทานอะไรล่ะ เดี๋ยวผมทำให้”

“ไม่ลำบากคุณเหรอคะ” เย่หนิงรู้สึกประหลาดใจ

“ลำบากตรงไหนกันครับ” เสิ่นอี้ยิ้มออกมาเล็กน้อย สายตานั่นช่างอ่อนโยนจนทำเอาเย่หนิงใจเต้นโครมครามขึ้นมาเสียแล้ว

สำหรับเธอนั้น เธอไม่ได้ต้องการผู้ชายที่เพอร์เฟค ขนาดเธอเองก็ยังไม่ได้ดีไปเสียทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ ?

แต่ว่าประโยคนั้นของเสิ่นอี้ ทำเอาเธอแทบจะทนไม่ไหวเลยจริงๆ

อยากทานอะไร เดี๋ยวผมทำให้

ดีชะมัดเลย สำหรับคนที่รักการกินอย่างเธอแล้ว ไม่มีคำบอกรักอะไรที่น่าฟังไปมากกว่านี้แล้วล่ะ

คำบอกรักงั้นเหรอ ? ไม่ๆ เย่หนิงตกใจจนต้องรีบลบความคิดนั่นออกไป นี่เธอกำลังคิดเพ้อเจ้ออะไรอยู่เนี่ย !

ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะเจอกับเรื่องแปลกๆ มามากเกินไป จนทำให้สมองเธอคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ เลย