webnovel

ตอนที่ 070

ตอนที่ 70 เรื่องภายใน ?

“ใช่แล้ว ยาที่ฉันวิจัยและผลิตออกมาในตอนนี้ ทำได้เพียงควบคุมการแพร่ขยายอย่างบ้าคลั่งของแมลงดูดเลือดชั่วคราวเท่านั้น และไม่สามารถกำจัดพวกมันได้อย่างสิ้นเชิง และยาที่ใช้กำจัดแมลงดูดเลือดได้อย่างสิ้นเชิงนั้น ผลของมันก็รุนแรงเกินไป ถ้าหากจะใช้มันจริง ๆ สิ่งที่ตายก็คงไม่ใช่แค่แมลงดูดเลือดแน่”

“ทำได้แค่ควบคุมไว้ชั่วคราวเท่านั้นเหรอ ?” ผลลัพธ์นี้ เสิ่นอี้นั้นได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว ก็เลยไม่ได้รู้สึกผิดหวังมากเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะเขาก็ยังรู้สึกเสียดายมากอยู่ดี “น่าเสียดายนะ”

“เวลามีน้อยเกินไป สิ่งที่ฉันทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ถ้าหากให้เวลาฉันมากกว่านี้ บางทีฉันอาจจะหาวิธีที่จะรักษาสำเร็จก็ได้”

ถ้าหากจวงหมิงหานเก่งกว่านี้ เขาก็คงเป็นเทพแล้วล่ะ สิ่งมีชีวิตกับอาการป่วยที่แปลกประหลาดที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน ถ้าจะให้หาวิธีที่สามารถรักษาได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วันนั้น เขาคงทำไม่ได้แน่ แต่การคิดค้นยาที่มีผลระงับไว้เพียงชั่วคราวนั้น ก็คงไม่ยากเกินกว่าฝีมือของเขานักหรอก

“สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้ก็คือควบคุมการแพร่พันธุ์ของแมลงดูดเลือดในร่างของผู้ป่วยไว้ชั่วคราวเท่านั้น และฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้มีผลกระทบอะไรเกิดขึ้น”

“ถูกต้องแล้ว” เสิ่นอี้พยักหน้า “นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยล่ะ”

ไม่อย่างนั้นถึงแม้พวกเขาจะสามารถควบคุมการแพร่พันธุ์ของแมลงดูดเลือดพวกนั้นได้ แต่ถ้าผู้ป่วยเหล่านั้นยังออกอาละวาดดูดเลือดคนอยู่ล่ะก็ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร พวกเขาไม่มีทางที่จะหาเลือดจำนวนที่มากขนาดนั้นมาให้ผู้ป่วยเหล่านั้นได้แน่ พวกกระหายเลือดนั่นต้องการเลือดสด ๆ เป็จำนวนมากเลยทีเดียว เลือดเพียงนิดเดียวคงจะไม่สามารถทำให้พวกเขามีชีวิตรอดอยู่ได้

คลังเก็บเลือดในโรงพยาบาลนั้นมีไว้สำหรับช่วยชีวิตผู้ป่วย ถ้าหากให้พวกเขากินจนหมด แล้วผู้ป่วยที่เขาต้องการเลือดจริง ๆ ล่ะจะทำอย่างไร ?

ปัญหาที่น่าลำบากใจพวกนี้ ถ้าหากจวงหมิงหานสามารถแก้ไขได้ มันก็คงดีไม่น้อยแลยล่ะ

“ก่อนอื่นฉันขอพูดเกี่ยวกับยาตัวนี้กับพวกนายสักหน่อยนะ ยาตัวนี้มีฤทธิ์ในการควบคุมการเติบโตของแมลงดูดเลือดชั่วคราวเท่านั้น ไม่สามารถที่จะใช้ได้ในระยะยาว ต้องใช้ในเวลาที่กำหนดหนึ่งสัปดาห์หรือเจ็ดวัน หรือจะพูดได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกสัปดาห์ต้องให้ยาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง หนึ่งครั้งนั้นใช้ประมาณสิบกรัม ฉันทำเป็นยาเม็ดขนาดห้ากรัม กลืนได้อย่างสะดวก ดังนั้นพวกนายต้องให้ยาสองเม็ดในหนึ่งครั้ง”

“ยานี่จะไม่เกิดผลกระทบต่อตัวผู้ป่วย แต่ยานี่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยเช่นกัน และแมลงดูดเลือดก็ยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายของคนคนนั้นได้อีกด้วย แต่ฉันจะอาศัยเวลาในช่วงนี้ทำการวิจัยเพื่อที่จะคิดค้นยาที่สามารถรักษาอาการนี้ได้โดยเร็วที่สุด พวกนายว่าอย่างไร ถ้าหากพวกนายตกลง ฉันจะรีบเตรียมส่วนผสมเอาไว้ เพื่อทำยาให้เสร็จออกมาภายในวันพรุ่งนี้”

“ตอนนี้ก็คงไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วล่ะ” เสิ่นอี้พูดขึ้นอย่างปลง ๆ ถึงจะควบคุมได้แค่ชั่วคราว แต่ก็คงดีกว่าปล่อยไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลย

“โอเค” เสิ่นอี้ตัดสินใจแล้ว “ถ้าอย่างนั้นนายก็จัดการให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน นักศึกษาพวกนั้นคงรอนานกว่านี้ไม่ได้ พวกเราไม่อยากให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่านี้แล้ว”

“ตกลง เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะติดต่อพวกนายอีกที หลังจากที่ทำยาสำเร็จแล้ว ฉันจะได้ส่งไปที่โรงพยาบาลทันที ทำหนึ่งล็อต คงจะช่วยยืดเวลาไปได้อีกหลายวัน จากนั้นค่อยเพิ่มปริมาณการใช้ยาอีกที จริงสิ โชคดีที่ฝั่งพวกนายมีความคืบหน้าอะไรบ้างแล้ว ถ้าหากว่ารู้ตัวคนบงการได้ล่ะก็ บางทีอาจจะได้ยาแก้มาก็ได้”

พอได้ยินจวงหมิงหานพูดเช่นนี้ เสิ่นอี้ก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “แน่นอน พวกเราจะรีบจัดการโดยเร็วที่สุดเลย”

เอ๊ะ ? คำพูดนี้... เหมือนว่ามีความหมายอะไรแฝงอยู่เลยนะ

เย่หนิงดึงตัวของเสิ่นอี้ไว้ “เสิ่นอี้ พวกคุณพบอะไรแล้วใช่ไหม”

“ก็กู่ซานหมิงยังไงล่ะครับ ! คุณอย่าลืมเจ้ากู่ซานหมิงนั่นสิครับ เขาคือผู้ที่เป็นกุญแจสำคัญของคดีนี้เลยนะ พอเรากลับไป เราต้องสืบเรื่องจากเขาให้ดี ๆ เลยล่ะ”

โอ้โห ! เขาที่มีความมั่นใจขนาดนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ?

“เสิ่นอี้ คุณรู้อะไรกันแน่ ?” เย่หนิงรู้สึกร้อนใจ

“ผมเหรอ ? จริง ๆ แล้วผมก็พอรู้อะไรมาเยอะมากเหมือนกันนะ แต่ก็อยากจะให้กู่ซานหมิงมายืนยันกับพวกเราด้วยตัวเองอยู่ดี”

หืม ?

นี่เขากำลังเล่นเกมส์ปิดบังความลับอะไรอยู่เนี่ย ?

เย่หนิงเริ่มที่จะรู้สึกกลุ้มขึ้นมาแล้ว “บอกฉันก่อนไม่ได้เหรอคะ ?”

เสิ่นอี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่ได้ครับ”

เย่หนิงรู้สึกกลุ้มจนแทบจะข่วนกำแพงอยู่แล้ว ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้นะ นี่เขาตั้งใจใช่ไหม ?

เย่หนิงกระชากตัวของเขา แล้วหยิกเข้าไปที่แขน เธออยากจะหยิก อยากจะถีบเขาชะมัดเลย เสิ่นอี้นั้นก็ปัดป้องจนมือไม้พันกันไปหมด จวงหมิงหานที่ได้เห็นก็มองตาค้าง เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย นี่เขาพลาดอะไรไปอย่างนั้นเหรอ ทำไมภาพตรงหน้าของเขามันถึงได้ดูน่าตกใจอย่างนี้ล่ะ ?

นี่คือเสิ่นอี้คนนั้นที่เขาเคยรู้จักเหรอ ?

ทำไมดูแล้วรู้สึกเหมือนไม่ใช่เสิ่นอี้คนเดิมเลยล่ะ

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที เสิ่นอี้ก็เริ่มที่จะรับมือเธอไม่ไหวอย่างเห็นได้ชัด “เสี่ยวหนิง มือถือคุณดังน่ะครับ มือถือคุณดัง !”

“อย่ามาโกหก”

“ผมไม่ได้โกหกนะ มือถือคุณดังจริง ๆ”

เย่หนิงหยุดมือลง แล้วก็พบว่ามือถือของเธอดังขึ้นจริง ๆ ด้วย

“เหอะ !” เย่หนิงออกไปรับโทรศัพท์อย่างที่ไม่ค่อยจะยินยอมเท่าไหร่นัก

“ฟู่ !” เช่นนั้นเสิ่นอี้ก็ผ่อนลมหายใจออกมา แต่จวงหมิงกลับหัวเราะขึ้นมาจนท้องแข็ง “ฉันว่า...เสิ่นอี้ ไม่ใช่ว่านาย... ?”

“ฉันทำไม ?” เสิ่นอี้ทำเป็นไม่สนใจและไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

จวงหมิงหานขำออกมา “ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับเธอเป็นยังไงกันแน่ ?”

“อะไร อะไรเป็นยังไง ? เธอกับฉันก็เป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นแหละ นายก็เห็นนี่ ? เพื่อนร่วมงานน่ะ !”

“เพื่อนร่วมงานงั้นเหรอ คงไม่ใช่แค่นี้หรอกมั้ง” จวงหมิงหานไม่ได้เป็นคนที่หลอกง่ายขนาดนั้นสักหน่อย

เขาไม่ได้เพิ่งจะรู้จักเสิ่นอี้เป็นวันแรกเสียเมื่อไหร่กัน เสิ่นอี้เป็นคนยังไงเขานั้นรู้จักดี ภูเขาน้ำแข็งอย่างหมอนั่นน่ะ เป็นคนที่ไม่เคยสนใจใครมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงจะมีผู้คนชื่นชมมากมาย แต่เคยมีใครกล้าเข้าใกล้เขาในระยะสามฟุตซะที่ไหนกันล่ะ

ภูเขาน้ำแข็งอย่างหมอนี่แผ่รังสีรุนแรงมาก ถึงแม้ไม่ได้เข้าใกล้เขาแต่ก็อาจจะแข็งตายได้ มีใครเคยเห็นผู้หญิงที่ไหนกล้าเขาใกล้เขาแบบนี้กัน แต่ก็ช่างมันเถอะ แต่ที่เมื่อกี้ผู้หญิงคนนั้นลงไม้ลงมือกับเขา มันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ ?

ท่าทางของเสิ่นอี้นั้นดูจนมุมเป็นอย่างมาก “เธอก็เป็นคนแบบนี้แหละ ฉันเป็นผู้ชาย ยังไงก็ต้องยอมให้ผู้หญิงอยู่แล้วนี่ หรือนายจะให้ฉันรังแกเธออย่างนั้นเหรอ”

จวงหมิงหานส่งเสียงเหอะ ๆ อยู่ในใจ

ดูสิ คำพูดของเสิ่นอี้นี่น่าฟังชะมัด

ฉันเป็นผู้ชาย จะรังแกผู้หญิงแบบนั้นได้อย่างไรล่ะ

ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่เคยรู้ว่าเสิ่นอี้เป็นสุภาพบุรุษขนาดนี้นะ ?

จวงหมิงหานยังคงทำเสียงเหอะ ๆ ในลำคอต่อไป

เสิ่นอี้กระแอมขึ้นมาสองสามครั้งแล้วพูดขึ้นต่อ “ยาที่นายพูดถึงเมื่อกี้ ฉันขอดูอีกครั้งได้ไหม...คงไม่มีผลข้างเคียงอะไรหรอกนะ...นี่ ! ฉันกำลังพูดกับนายอยู่นะ นายจะจ้องหน้าฉันแบบนั้นทำซากอะไรกัน ?”

เขารีบเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาทันที แต่จวงหมิงหานเองก็ไม่ถามจี้อะไรเขาอีก ซึ่งตอนนั้นเองเย่หนิงก็กลับมาพอดี

“เป็นอย่างไรบ้างครับ ?” พอเห็นว่าเย่หนิงมีท่าทางกลัดกลุ้มใจ เสิ่นอี้ก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “หัวหน้าหยางโทรมาใช่ไหม ?”

“ไม่ใช่ค่ะ ที่บ้านฉันโทรมา”

“บ้านคุณเหรอ ?” เสิ่นอี้แปลกใจ

“คุณอาสะใภ้ของฉันเองค่ะ เธอบอกว่าถ้าหากมีเวลาก็ให้ฉันกลับไปหาสักครั้งน่ะ”

เย่หนิงนั้นอยู่กับอาผู้หญิงมาตั้งแต่เล็กจนโต อยู่ด้วยกันในบ้านหลังหนึ่ง แล้วยังมีอาผู้ชายอยู่ด้วยอีกคน ถึงจะต่างนามสกุลกัน แต่ก็ไม่ใช่คุณอาที่เธอสนิทเท่าไหร่นัก แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก เรื่องที่สำคัญก็คือที่บ้านของเธอมีอาสะใภ้อยู่ เธอเป็นคุณอาที่ดีบ้าง เรื่องเยอะบ้าง ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นบ้าง วัน ๆ เวลาไม่มีงานการอะไรก็ชอบซุบซิบนินทากัน คราวนี้ก็คงกำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องการหาคู่ให้เย่หนิงอีกแล้วแน่ ๆ น่ารำคาญชะมัดเลย

ตอนที่เธอยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั้น อาสะใภ้ของเธอก็เริ่มที่จะวุ่นวายกับเรื่องนี้แล้ว ราวกับว่าจะรีบให้เธอแต่งงานไว ๆ อย่างไรอย่างนั้น

เย่หนิงไม่อยากที่จะสนใจมันเลยสักนิด แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นเป็นเวลานานมากแล้วด้วย......

แต่พอคิดถึงว่าถ้าเธอกลับบ้านไปคราวนี้ก็คงไม่พ้นที่จะต้องฟังพวกอา ๆ พูดถึงเรื่องนี้อีกแน่ เช่นนั้นเย่หนิงก็อยากจะร้องไห้ออกมา

พวกอา ๆ มีเวลาว่างขนาดนั้นเชียวเหรอ แล้วทำไมต้องกระตือรือร้นที่จะหาคู่ให้เธอขนาดนี้กันด้วย เธอหวังเพียงแต่พวกอา ๆ จะหยุดวุ่นวายเรื่องการแต่งงานของเธอสักที !