ตอนที่ 68 ส่วนประกอบที่เหมือนกัน
“ผมมีวิธี แต่เป็นวิธีที่ใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่ทางแก้ระยะยาว พวกคุณเข้ามาดูสิ”
จวงหมิงหานเปิดแฟ้มข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ข้างในนั้นมีวิดีโออยู่มากมาย เขาเลือกเปิดขึ้นมาอันนึง “นี่คือข้อมูลการวิเคราะห์กับผลการสาธิตที่ผมทำไว้ แล้วก็ผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบผลการทดลองในหลายๆ ครั้งด้วย”
“นี่เป็นแบบที่หนึ่ง แนวโน้มการแพร่พันธุ์ของแมลงดูดเลือดภายใต้สภาพเลือดปกติ”
“นี่เป็นแบบที่สอง แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเลือด รวมทั้งการแพร่พันธุ์ของแมลงดูดเลือดหลังจากที่เติมยาแคปซูลสีขาวลงไป”
เสิ่นอี้พบความผิดปกติขึ้นอย่างทันที “เลือดกลายสภาพเป็นหนืดข้นขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ ?”
“ถูกต้อง เลือดนั้นมีความหนืดข้นขึ้นมา เป็นเพราะผลของส่วนผสมในตัวยาเป็นชนิดที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่น่าแปลกนะ พวกนายดูส่วนประกอบนี้สิ ก่อนหน้านี้มันก็เคยปรากฏมาก่อนด้วยล่ะ”
“เคยปรากฏมาก่อนอย่างนั้นเหรอ” เสิ่นอี้ตกใจ “ที่ไหนกัน ?”
“บนร่างของศพนั่น”
“อะไรนะ ?” เย่หนิงร้องเสียงหลง “หมายถึงผีดิบตัวนั้นใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว ตอนนั้นผมก็ได้เก็บของเหลวเหนียวหนืดมาจากผีดิบตนนั้นมาเหมือนกัน ส่วนประกอบในยาก็แทบจะเหมือนส่วนประกอบที่ตรวจสอบออกมาจากของเหลวผีดิบทุกอย่าง พวกคุณดูสิ......”
จวงหมิงหานรีบเปิดวิดีโออีกอันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “สองอันนี้ ผมได้ทำการเปรียบเทียบเรียบร้อยแล้ว พวกคุณดูเส้นโค้งนี่สิว่าเหมือนกันแทบทุกอย่างเลยหรือเปล่า ?”
“เหมือนกันจริง ๆ ด้วย” เสิ่นอี้พยักหน้า
เย่หนิงเองก็เริ่มเข้าใจแล้ว “นี่คือผลเปรียบเทียบของการวิเคราะห์ส่วนประกอบใช่ไหมคะ ?”
“ถูกต้องครับ ผลการเปรียบเทียบออกมาเหมือนกันจริง ๆ ส่วนประกอบในตัวยาแคปซูลสีขาว ส่วนใหญ่ตรวจสอบออกมาได้ และก็รู้ว่ามันคืออะไร เช่น ในพวกยาสลบกับยาชาจะมีส่วนผสมนี้อยู่... ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีฤทธิ์อะไรกันแน่ แต่ที่ชัดเจนเลยก็คือสิ่งนี้ก็คือตัวแปรที่สำคัญที่สุดเลยล่ะ”
เย่หนิงรีบพูดขึ้นมาทันที “แสดงว่า จริง ๆ แล้วที่ควบคุมการแพร่พันธุ์ของแมลงดูดเลือดได้ก็เพราะในยาแคปซูลมีส่วนผสมของตัวยาที่ไม่สามารถระบุได้ชนิดนี้ใช่ไหมคะ ฤทธิ์ของมันคืออะไรกันแน่ เพียงแค่ทำให้เลือดมันเหนียวหนืดขึ้นมาเท่านั้นเองเหรอ มันคงไม่ธรรมดาอย่างนั้นหรอกมั้งคะ”
“มันไม่ธรรมดาขนาดนั้นหรอก” จวงหมิงหานอธิบายขึ้น “ส่วนสำคัญที่สุดของตัวยาชนิดนี้ก็คือการควบคุมการแพร่พันธุ์ของแมลงดูดเลือด และทำให้เลือดนั้นหนืดขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในการออกฤทธิ์รองของมันตามปกติ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เย่หนิงเข้าใจแล้ว
เสิ่นอี้จ้องไปที่เอกสารบนคอมพิวเตอร์ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสนใจส่วนประกอบของยาชนิดนี้เป็นอย่างมาก “ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรอย่างนั้นใช่ไหม ?”
“ยังไม่รู้เลย ถึงจะรู้ว่าส่วนประกอบของสองสิ่งนี้เหมือนกัน แต่ก็เป็นส่วนประกอบที่แปลกประหลาดมาก...” จวงหมิงหานส่ายหัว “จะว่าอย่างไรดีล่ะ อย่างน้อยก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยเห็นส่วนประกอบชนิดนี้มาก่อน ในข้อมูลและบันทึกการวิจัยทั้งหมดก็ไม่พบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องนี้เลย”
เสิ่นอี้ครุ่นคิดอยู่สักพัก “ตอนนี้เราเจอตัวแปรสำคัญเข้าแล้ว มันก็คือส่วนประกอบชนิดนี้แหละ จากผลการวิจัยของนาย ก็รู้เลยว่าส่วนประกอบของตัวอย่างสองชนิดนี้มันเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นส่วนประกอบที่พวกเราเก็บมาจากบนตัวศพก่อนหน้านั้น มันสร้างขึ้นด้วยตัวเองหรือมีคนผลิตมันขึ้นมาล่ะ ?”
จวงหมิงหานชะงักไป “นายหมายความว่าไง ?”
เย่หนิงร้องเสียงหลงขึ้นมา “ไม่มีทางหรอกน่า !”
จวงหมิงหานเองก็เข้าใจแล้วเช่นกัน “เสิ่นอี้ นายหมายความว่า บนร่างของศพที่พวกนายเอามาคงมีส่วนประกอบที่แปลกประหลาดอยู่ ซึ่งเป็นไปได้สองอย่าง คือหนึ่งมันผลิตได้ด้วยตัวเอง และสองเป็นไปได้มากที่เขาจะเป็นผลงานทดลองชิ้นหนึ่ง ซึ่งผลการทดลองนั้นส่งผลให้เขากลายสภาพเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้เขาคงได้รับยาแคปซูลมากเกินไป ยานั่นเลยไปเปลี่ยนแปลงร่างกาย ดังนั้นของเหลวในร่างกายที่ฉันเก็บมาจึงเป็นส่วนประกอบที่เหมือนกัน”
“ใช่แล้ว ความเป็นไปได้อย่างที่สองนั้นมีค่อนข้างสูง แต่ฉันก็ไม่ได้ยกความเป็นไปได้อย่างแรกทิ้งไปหรอกนะ” เสิ่นอี้พูดทฤษฎีของตนเองออกมา
“ความเป็นไปได้อย่างแรกเหรอ ?” จวงหมิงหานครุ่นคิด “แต่คนปกติจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกันล่ะ ?”
“แล้วถ้ามันเป็นผีดิบจริง ๆ ล่ะคะ” เย่หนิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
จวงหมิงหานหันไปมองเย่หนิงด้วยความรู้สึกประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ แล้วหันกลับไปมองเสิ่นอี้
เสิ่นอี้ยิ้มขึ้นอย่างไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ “ก็แค่ผีดิบเอง ไม่ใช่ของแปลกอะไรหรอก ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลยนี่”
จวงหมิงหานรู้สึกหมดคำพูดขึ้นมาทันที “แค่ผีดิบอย่างนั้นเหรอ ? พูดเหมือนนายเคยเห็นผีดิบมาก่อนอย่างนั้นแหละ”
“ฉันไม่เคยเห็นหรอก” เสิ่นอี้ยอมรับอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร “ศพก็เห็นมาไม่ใช่น้อย แต่ไม่เคยเห็นศพที่เปลี่ยนแปลงได้เลย”
“เอาล่ะ” ในที่สุดจวงหมิงหานก็สรุปขึ้น “ฉันคิดว่าความเป็นไปได้อย่างที่สองนั้นมีอยู่มากกว่า ความเป็นไปได้อย่างแรกมันออกจะ...ไม่น่า...ไม่น่าเชื่อไปสักหน่อย”
เย่หนิงยังคงไม่ยอมแพ้ “แต่มันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอคะ ?”
จวงหมิงหานไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี “คุณเป็นหมอนิติเวชไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมคุณยังเชื่อเรื่องพวกนี้อีก”
ได้ยินดังนั้น เย่หนิงก็แอบพึมพำเบา ๆ ฉันเป็นหมอนิติเวชอย่างเดียวที่ไหนกันละคะ ฉันก็เป็นนักล่าผีดิบด้วยนะ แล้วคุณยังจะมาพูดเรื่องเชื่อไม่เชื่อกับฉันอีกเหรอ
เสิ่นอี้ยิ้มขึ้น “คดีนี้มีอะไรที่น่าประหลาดจริง ๆ ด้วยนั่นแหละ หมู่บ้านนั่นก็มีความแปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด มีหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยเจอมาก่อน”
“นายก็เชื่อด้วยอย่างงั้นเหรอ ?” จวงหมิงหานหันไปมองเสิ่นอี้ด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด “ก่อนหน้านี้นายก็พูดแบบฉันไม่ใช่หรอกหรือไง ?”
“ฉันจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอกน่า ที่สำคัญก็คือความจริงเท่านั้นเอง สิ่งที่ฉันอยากรู้ก็มีแค่ความจริงเท่านั้น ดังนั้นถึงมีความเป็นไปได้อยู่หนึ่งในหมื่น ฉันก็ไม่สามารถที่จะละเลยมันหรอก”
“จะเอาอย่างนั้นก็ได้” จวงหมิงหานก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “แต่ความเป็นไปได้อย่างแรกนั้นมัน......มีอยู่น้อยมากเลย ร่างกายคนเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดแบบนี้ได้อย่างไรกันเล่า ?”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จวงหมิงหานเองก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา “น่าเสียดายนะ น่าเสียดายที่ศพนั่นมันสูญสลายไปหมดแล้ว ถ้าอยากจะชันสูตรมันอีกก็คงทำไม่ได้แล้วล่ะ”
“ฉันว่ามีใครบางคนตั้งใจที่จะทำมันให้หายไปต่างหากล่ะ” เสิ่นอี้พูดอย่างไม่รีบร้อนอะไร “อยู่ดี ๆ ศพจะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันได้อย่างไรกัน ระหว่างนั้นต้องมีคนที่ใช้อุบายบางอย่าง เพื่อที่ไม่อยากให้พวกเรามีโอกาสที่จะชันสูตรศพได้”
“ก็จริงนะ” จวงหมิงหานถอดหายใจออกมาอย่างรู้สึกปลง “คนเป็นพูดโกหกได้ แต่คนตายไม่สามารถที่จะพูดโกหกได้ ไม่รู้ว่ามันมีความจริงมากน้อยเพียงใดที่อยู่กับตัวศพนั่นบ้าง น่าเสียดายที่ตอนนี้เราไม่มีทางที่จะหาความจริงได้แล้ว ถ้าให้พึ่งพาข้อมูลเล็กน้อยพวกนี้ก็คงไม่สามารถที่จะพิสูจน์อะไรได้”
ระหว่างนั้นมีคนใช้อุบายบางอย่างงั้นเหรอ ?
ทันใดนั้นเย่หนิงก็นึกถึงคำพูดของเฝิงเยี่ยนฮวายกับคุณอาของเธอขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัวจนตัวสั่น
หรือว่าข้างกายของพวกเขาจะมีผีดิบอยู่ ?
ไม่ใช่สิ ! ข้างกายของเธอคนสองคนนั้นก็เป็นคนที่มีชีวิตอยู่นี่นา แล้วจะมีผีดิบจากที่ไหนกัน ? ผีดิบจะปลอมตัวได้เนียนขนาดนี้เลยเหรอ ? แบบนั้นมันก็เป็นเหมือนหนังเรื่องพลิกตำนานโปเยโปโลเยเลยล่ะสิ (หนังเรื่อง “โปเยโปโลเย” เป็นเรื่องที่ปีศาจสาวไปหลงรักบัณฑิตหนุ่ม ในที่นี้จะเปรียบเปรยว่าปลอมตัวได้แนบเนียนเหมือนกับในละคร)
“อาหนิง ? อาหนิงครับ !” เสิ่นอี้เรียกเย่หนิงไปหลายรอบ แต่เธอเพิ่งจะสติได้ขึ้นมา
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ ?” เสิ่นอี้รู้สึกแปลกใจมาก “ผมกำลังพูดกับคุณอยู่นะครับ”
“หา อะไรนะคะ ?” เย่หนิงยังคงมึนงงอยู่
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นใช่ไหมครับ ?”
“หมายถึงศพคนนั้นเหรอคะ ?” เย่หนิงถามอย่างไม่ได้คิดอะไร
“ใช่ครับ”
เย่หนิงพูดขึ้นเสียงอ่อน “เรื่องนี้......ฉันก็เคยบอกกับคุณไปแล้วนี่...”
อยู่ ๆ เสิ่นอี้ก็ยิ้มขึ้นมา “คุณเคยคิดถึงความเป็นไปได้อื่นบ้างหรือเปล่าครับ ?”