webnovel

ตอนที่ 063

ตอนที่ 63 เข้าฝัน

หลังจากที่เย่หนิงตื่นขึ้นมา เธอก็ยังรู้สึกวิงเวียนอยู่ ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เธอนอนพลิกตัว แล้วหดตัวเข้าไปผ้าห่ม คิดอยากที่จะนอนต่ออีกสักหน่อย แต่กลับสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่ใช่สิ ! ทำไมเธอถึงมานอนที่เตียงได้ล่ะ เธอกำลังสืบคดีอยู่ไม่ใช่หรือ ?

คิดได้ดังนั้นเย่หนิงก็ดีดตัวขึ้นมานั่งอย่างทันที

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย ? นี่มัน......

หลังจากนั้นเธอก็ได้รู้สึกว่ามันมีเรื่องที่น่าตกใจมากกว่านั้นเสียอีก

ตอนนี้เธอกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย !

สาบานได้เลยว่า นี่มันไม่ใช่ห้องของเธออย่างแน่นอน

ห้องของเธอไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้

แล้วก็ไม่ได้เป็นระเบียบขนาดนี้ด้วย !

เย่หนิงกระโดดลงมาจากเตียง

เท้าเหยียบลงบนพื้นพรมที่อ่อนยวบและดูนิ่มลื่น เป็นพรมที่ให้ความรู้สึกที่นุ่มสบาย

แต่ว่า.......ที่นี่มันคือที่ไหนกันนะ ?

เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน ?

แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

เย่หนิงคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเธอหลับไปอย่างตั้งใจ เธอจำได้เพียงลาง ๆ ว่าก่อนหน้าที่เธอจะหลับไปนั้น เธอเองก็อยู่แต่ที่ห้องสำนักงานตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเธอจะหลับไป แต่ก็ควรจะนอนอยู่ที่ห้องสำนักงานไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเธอถึงตื่นขึ้นมาบนเตียงแบบนี้ได้ ?

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว นี่ก็ไม่ใช่เตียงของเธอด้วย !

เย่หนิงตกใจจนเหงื่อแตกพล่าน ก้มลงมองแล้วมองอีก เสื้อผ้าของตัวเองก็ยังคงสวมใส่อยู่อย่างครบถ้วน

หรือเธอคิดมากไปเองอย่างนั้นหรือ ?

หืม......นี่มันกลิ่นหอมอะไรกันนะ

กลิ่นหอมนั่นมันชวนดึงดูดเป็นพิเศษ ไม่รู้เหมือนกันว่ากลิ่นหอมนั่นมาจากที่ไหน มันหอมเตะจมูกเธออย่างเป็นที่สุด

หอมจังเลย !

นี่มันคือกลิ่นอะไรกันนะ ทำไมถึงได้มีกลิ่นหอมขนาดนี้

ไม่ได้การล่ะ หิวชะมัดเลย

กลิ่นหอมนั่นทำเอาท้องของเธอเริ่มที่จะร้องครวญครางขึ้นมาเสียแล้วสิ อยู่ ๆ ท้องของเธอก็เริ่มร้องประท้วงขึ้นมาด้วยความหิว

เย่หนิงไม่คิดอะไรอีกแล้ว เธอเปิดประตูแล้วพุ่งออกไปอย่างทันที

พอเข้าไปในห้องนั้น เธอก็ตกใจกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างทันที

สวรรค์ !

เธอเห็นอะไรอย่างนั้นหรือ ?

สีเขียวสีแดงนั้นต่างวางเรียงรายสลับกันบนโต๊ะนั่นอย่างละลานตา ของหวานสีขาวสีดำอยู่เคียงกัน สำรับข้าวที่ทำอย่างประณีต กลิ่นหอมชวนเตะจมูกเป็นที่สุด

อีกทั้งด้านข้างของโต๊ะอาหารก็มีหนุ่มหล่อคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นหนุ่มหล่อที่บนร่างของเขาสวมผ้ากันเปื้อนไว้

เธอรู้สึกตาสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็นของอร่อยที่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะพร้อมกับหนุ่มหล่อที่น่าดึงดูดยิ่งกว่าของกิน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย ?

สิ่งที่เย่หนิงนึกออกเป็นอย่างแรกคือ ตัวเองกำลังฝันอยู่ !

ไม่ผิดแน่

เธอต้องฝันอยู่แน่ ๆ

ไม่อย่างนั้นเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเธอได้อย่างไรกันเล่า

“ตื่นแล้วเหรอครับ ?” หนุ่มหล่อคนนั้นยิ้มออกมาน้อย ๆ เขาถามเธอขึ้นพร้อมกับถอดผ้ากันเปื้อนออก “พอดีเลย ผมกำลังจะไปเรียกคุณอยู่พอดี คุณรีบมากินสักหน่อยสิครับ เดี๋ยวจะหิวเอานะ”

เย่หนิงมองหนุ่มหล่อที่อยู่ตรงข้ามด้วยความตกตะลึง นี่ใครน่ะ ? เธอไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม ? เขาคือเสิ่นอี้อย่างนั้นเหรอ ?

นี่... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย !

ทำไมเธอถึงฝันถึงเสิ่นอี้อีกแล้ว

เย่หนิงลูบหน้าผากตัวเอง

นี่มันเวรกรรมชัด ๆ !

“อาหนิงครับ ?” เสิ่นอี้แปลกใจ “คุณเป็นอะไรไปน่ะ ?”

เมื่อได้ยินดังนั้นเย่หนิงก็ตกใจขึ้นมาอีกครั้ง

เขากำลังพูดอยู่อย่างนั้นหรือ ?

เธอไม่ได้หูฝาดไปเองอย่างนั้นใช่ไหม

เสิ่นอี้กำลังพูดอยู่จริง ๆ ด้วย !

ฝันนี้แทบจะเหมือนจริงเข้าไปทุกทีแล้ว และท้องของเธอก็ยิ่งรู้สึกหิวขึ้นมาทุกทีเหมือนกัน

น้ำลายของเธอกำลังจะไหลออกมาอย่างที่ห้ามไว้ไม่อยู่

“อาหนิง คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ?” เสิ่นอี้เดินมาข้างหน้าของเธอ แล้วถามอย่างใกล้ชิดสุด ๆ “คุณนอนหลับสบายหรือเปล่า”

เขายังเข้ามาแตะหน้าผากของเธออีก

มือของเขานั้นเย็นเล็กน้อย

เย่หนิงมองเสิ่นอี้อย่างเหม่อลอย

เสิ่นอี้เองก็มองเธออย่างแปลกใจเช่นกัน

“ฉัน......” สุดท้ายเย่หนิงก็ปริปากพูดออกมาว่า “ฉันไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหมคะ”

เธอคิดว่าเธอต้องถามเรื่องนี้ให้รู้เรื่องจะดีกว่า

เช่นนั้นเสิ่นอี้ก็ยิ้มออกมา “แน่นอนว่าไม่ได้ฝันครับ”

“ถ้าอย่างนั้น......” เย่หนิงมองไปรอบ ๆ “ถ้าอย่างนั้นฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรล่ะคะ”

“ก็คุณหลับไปนี่นา ผมเรียกอย่างไรคุณก็ไม่ตื่น จะให้ทิ้งคุณอยู่ในห้องสำนักงานก็ไม่ได้หรอกครับ ผมก็เลยพาคุณมาที่นี่ยังไงล่ะ”

“คุณอยู่ที่นี่เหรอ ?” เย่หนิงยิ่งรู้สึกแปลกใจมากเข้าไปอีก

ถึงแม้ว่าเสิ่นอี้จะเป็นหัวหน้าที่ส่งมาจากที่ว่าการมณฑลก็เถอะ แต่หอพักนี้ตกแต่ง “หรูหรา” เกินไปหรือเปล่า เฟอร์นิเจอร์ล้วนมีครบครันไปหมดทุกอย่างเลย

เขาเพิ่งมาอยู่ที่นี่ไม่กี่วันเองนะ ต้องเว่อร์วังอลังการขนาดนี้เลยเหรอไง

แต่ดูเหมือนว่าเสิ่นอี้จะอ่านความสงสัยในใจของเธอออก เช่นนั้นเขาจึงหัวเราะขึ้นมา “ผมต้องอยู่ที่เมืองตงไห่สักพักน่ะครับ”

“อ๋อ......” ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

“หิวแล้วใช่ไหมครับ รีบกินข้าวกันเถอะ คุณหลับไปหนึ่งวันเต็ม ๆ เลยนะ”

เย่หนิงอึ้งไป “ฉันหลับไปหนึ่งวันเต็ม ๆ อย่างนั้นเหรอคะ”

“ประมาณนั้นครับ ตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว”

เสิ่นอี้เตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้เธออย่างพิถีพิถัน เย่หนิงมองเห็นแล้วว่ามันล้วนเป็นของที่มียี่ห้อทั้งนั้นเลย

ถ้าหลังจากที่เธอใช้ของพวกนี้แล้วล่ะ เธอก็ต้องเอาของใช้พวกนี้กลับไปด้วยใช่ไหม แล้วก็ต้องเอาเงินให้เขาอย่างนั้นใช่หรือเปล่า ?

ถ้าไม่อย่างนั้น มันจะไม่น่าเกลียดเกินไปเหรอ ?

เรื่องหยุมหยิมพวกนี้ เย่หนิงไม่อยากเสียเวลาคิดให้มากความแล้ว ตอนนี้เธอกำลังหิว ในหัวเอาแต่คิดถึงอาหารเลิศรสเหล่านั้น หลังจากนั้นเธอก็แทบจะพุ่งเข้าหาโต๊ะอาหารทันที ส่วนพ่อหนุ่มหล่อเหลาคนนั้นก็ยังคงเอาใจใส่เธอถึงขั้นยกเสิร์ฟซุปให้อย่างดี

หอมชะมัดยาดเลย !

“ระวังร้อนนะครับ” เสิ่นอี้ไม่ลืมที่จะเตือนเธอ

“อาหารพวกนี้คุณทำเองหมดเลยเหรอคะ” เย่หนิงมองไปยังอาหารละลานตาดูน่าอร่อยที่วางอยู่บนโต๊ะเหล่านั้นแล้วถามเขาขึ้น

เสิ่นอี้ได้แต่พูดขึ้นยิ้ม ๆ ว่า “ก็ผมไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร ก็เลยทำอาหารง่าย ๆ ให้คุณทาน มีเวลาไม่มาก ผมเตรียมของไม่ทัน เลยพอถูไถทำให้คุณทานไปก่อนน่ะครับ”

แบบนี้เรียกว่าพอถูไถอย่างนั้นเหรอ เสิ่นอี้ต้องพิถีพิถันขนาดนี้ไหมเนี่ย

เย่หนิงซดซุปเข้าไปคำใหญ่ แล้วเธอก็รู้สึกแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

อร่อยชะมัดยาดเลย !

คนบ้าอะไรเนี่ย ฐานะทางบ้านก็ดี หน้าตาก็หล่อ ฝีมือทำอาหารก็ยังหาตัวจับได้ยากอีก

เอาเถอะ ถึงแม้บางครั้งเขาจะชอบพูดจาโอ้อวดไปเสียบ้าง ปากร้ายไปหน่อย......

แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไหร่หรอก

เย่หนิงคิดว่าการได้รู้จักการคนแบบนี้ เป็นความผิดพลาดในชีวิตอย่างมหันต์ !

เพราะอย่างนี้แหละ... จากนี้ไปจะยังมีผู้ชายคนไหนเข้าตาเธอได้อีกล่ะเนี่ย ?

หลังจากที่มีคนอย่างเสิ่นอี้มาเป็นตัวเปรียบเทียบแล้ว เย่หนิงก็คิดว่าเธอนั้นน่าสงสารมาก ที่หลังจากนี้ตัวเองคงจะขายไม่ออก !

“ไม่อร่อยเหรอครับ ? หรือว่าไม่ถูกปาก ?” เสิ่นอี้ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเย่หนิงต้องกินด้วยความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานขนาดนั้นด้วย

“ไม่ใช่นะคะ มันอร่อยมากเลย”

เสิ่นอี้รู้สึกหมดคำพูดขึ้นมาทันที คุณผู้หญิงครับ สีหน้าแบบนี้มันคืออร่อยอย่างนั้นเหรอ หน้าตาของคุณอย่างกับกำลังกินยาพิษเข้าไปอย่างนั้นแหละ

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็กินเยอะ ๆ เลยนะครับ...” เสิ่นอี้ก็ได้แต่พูดเช่นนี้ออกมา

“แน่นอนว่าต้องกินเยอะหน่อยล่ะ โอกาสแบบนี้ใช่ว่าจะมีเมื่อไหร่ก็ได้นี่” เย่หนิงรู้สึกเสียดายขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” เสิ่นอี้พูดอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร “ถ้าว่าง ๆ ผมทำให้คุณกินบ่อย ๆ เลยก็ยังได้นะ”

เย่หนิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เสิ่นอี้

เธอดื่มซุปด้วยท่าทางสงบนิ่ง ราวกับลืมไปหมดแล้วว่าที่เขาพูดไปเมื่อสักครู่นั้นหมายความว่าอย่างไร

ถ้าว่างจะทำให้เธอกินบ่อย ๆ เลยอย่างนั้นหรือ

นี่เขากำลังพูดเล่นอยู่ใช่ไหม

แต่เห็นท่าทางเขาแบบนี้แล้ว เหมือนว่าเขาไม่ได้กำลังพูดเล่นเลยนะ

เย่หนิงคิดอยู่สักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “ครั้งหน้าให้ฉันเลี้ยงคุณก็แล้วกันนะคะ”

“เยี่ยมไปเลย” เสิ่นอี้ตอบรับอย่างตรงไปตรงมา

“แต่ขอบอกล่วงหน้าเลยแล้วกัน ฉันทำอาหารไม่เป็น คงได้แต่พาคุณไปกินข้าวที่ร้านอาหารเท่านั้นนะ” เย่หนิงรีบอธิบายขึ้นมาทันที

ได้ยินดังนั้นเสิ่นอี้ก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ยังไงก็ได้ครับ”

“จริงสิ......” เย่หนิงรู้สึกกังวลเรื่องความคืบหน้าของคดีขึ้นมา เธอจึงถามเขาขึ้น “ฉันหลับไปตั้งวันนึง ทางหัวหน้าหยางมีข่าวคราวอะไรบ้างหรือเปล่าคะ”

“ยังไม่มีนะครับ ส่วนนักศึกษาสองคนนั้นที่ถูกวิสามัญไป ทางผู้ปกครองก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือเลย เอาแต่ขอนำศพกลับไป ดูเหมือนไม่มีทางจะได้ผ่าชันสูตรแล้วล่ะ แต่ว่านะ...ผมยังมีข่าวดีจะบอกคุณด้วยล่ะครับ”

“ข่าวดีงั้นเหรอคะ ?”

“ใช่แล้วครับ ข่าวดี อีกสักพักพวกเราจะไปที่มหาวิทยาลัยแพทย์กัน !”