ตอนที่ 51 นรกบนดิน
ขณะที่พวกเย่หนิงมาถึงโรงพยาบาลนั้น ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกหนักอึ้งจนพูดไม่ออก
ทั่วทั้งโรงพยาบาลมีแต่เสียงร้องไห้ดังระงม แม้รถตำรวจยังไม่ทันจะได้พ้นเขตประตูโรงพยาบาล แต่ก็เห็นหมอพยาบาลและคนป่วยจำนวนไม่น้อยที่ออกมายืนด้านนอก ทุกคนต่างอยู่ในอาการหวาดผวา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ตั้งแต่ปากทางเข้าโรงพยาบาลจนถึงแผนกผู้ป่วย พื้นที่กักกันโรค ในทุก ๆ ที่ต่างมีรอยเลือดอยู่เต็มไปหมด
ถนนคอนกรีต สนามหญ้า แม้กระทั่งกำแพงโรงพยาบาลเดิมทีที่มีสีขาวนวล ต่างถูกละเลงไปด้วยสีเลือดสด ๆ รอยคราบเลือดที่พบเห็นในทุกที่ยิ่งมีสีแดงก่ำเมื่ออยู่ภายใต้หลอดไฟสีขาวนวล ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกสยดสยองอย่างไม่ยากนัก
เย่หนิงรู้สึกว่ามือของตนเองเริ่มที่จะเย็นเฉียบขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ไม่คิดว่าเสิ่นอี้ที่อยู่ข้างเธอนั้นจะทันสังเกตเห็น ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกมากุมมือของเธอไว้ แล้วลดเสียงลงพูดว่า “อย่าเพิ่งกลัวไปก่อนสิ”
มือของเขาช่างอบอุ่น นุ่มนวล เรียบเนียนเหมือนดั่งหยกงาม
เย่หนิงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองเขา เสิ่นอี้เองก็หันหน้ามามองเธอเช่นกัน ในสายตาของเขานั้นปรากฏความรู้สึกอ่อนโยนที่ช่างหาได้ยากนัก
ทันใดนั้นในใจของเย่หนิงก็รู้สึกสงบขึ้นมา “ศาสตราจารย์เสิ่น...”
“อย่ากลัวไปเลย ไม่มีอะไรหรอก” เขาลดเสียงพูดเพื่อปลอบเธอ
เย่หนิงพยักหน้า แล้วเดินตามเสิ่นอี้เข้าไปที่ระเบียงทางเดินยาวอย่างช้า ๆ
ภาพความวุ่นวายอลหม่านตอนนี้ได้ถูกควบคุมให้สงบลงแล้ว
แต่สิ่งที่เห็นนั้นกลับหนักหนาเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้อย่างมาก ตอนที่พวกเขาได้ฟังเรื่องราวผ่านทางโทรศัพท์ก็ไม่ได้ฟังอย่างชัดเจนเสียทั้งหมด
วันนี้เวลาตีสองกว่า ที่โรงพยาบาลได้เกิดเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยลุกขึ้นอาละวาด ผู้ป่วยที่มีอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมามีจำนวนราวสิบกว่าคน
พอตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าทั้งหมดนั้นมีสิบหกคน
นักศึกษาเดิมที่มีจำนวนสามสิบสี่คนอยู่บนรถ รวมถึงคนขับรถและผู้ช่วยศาสตราจารย์จางลี่ รวมทั้งหมดเป็นสามสิบหกคน ไม่รวมถึงนักศึกษาที่เสียชีวิตไปหกคนนั้น ตอนนี้ก็จะเหลืออยู่แค่ยี่สิบแปดคน แต่คนป่วยคราวนี้กลับมีถึงสิบหกคน
ในผู้รอดชีวิตจำนวนยี่สิบแปดคนนั้น นักศึกษาจำนวนเกินกว่าครึ่งที่แทบจะออกอาการในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
พวกเขาไม่สามารถที่จะคิดในแง่ดีได้เลยว่าจำนวนผู้รอดชีวิตที่เหลือยี่สิบคนนั้นจะสามารถหนีชะตากรรมครั้งนี้ได้พ้น แต่กลับกันนั้นเกรงว่าเวลาที่นักศึกษาสิบสองคนนั้นเหลืออยู่คงจะมีไม่มากแล้ว
ทั้งเสียชีวิตอย่างกระทันกัน ทั้งอยู่ ๆ ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา......
แล้วยังมีเหตุการณ์ที่แย่กว่านั้นเกิดขึ้นอีก
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สิบสองคนที่เหลืออยู่คงไม่มีทางที่จะอยู่รอดปลอดภัยแน่นอน
ด้านนอกของห้องกักกันโรค มีเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจดังระงมไปทั่ว เหล่าผู้ปกครองต่างกอดเด็ก ๆ ที่ตัวเปื้อนเลือดเอาไว้ในอ้อมกอด พร้อมทั้งส่งสียงร้องไห้ออกมาไม่หยุด
ด้านข้างรายล้อมไปด้วยตำรวจที่พกปืนหลายนาย รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และแพทย์อีกจำนวนหลายคน
แม้แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ยังออกมาด้วย สภาพของเขาดูเหมือนจะเพิ่งถูกปลุกให้ตื่น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในตอนนี้ ในใจรู้สึกสับสนงงงวยเป็นอย่างมาก จ้องมองสภาพระเกะระกะที่อยู่รอบ ๆ จิตใจนั้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว
“ท่านผู้อำนวยการเฉินครับ” เสิ่นอี้รีบเดินเข้ามาทักทายเขา
“ศาสตราจารย์เสิ่น สารวัตรหยาง พวกคุณมากันแล้ว” ผู้อำนวยการเฉินยิ้มออกมาเจื่อน ๆ อยากจะพูดอะไร แม้แต่คำพูดเดียวก็คิดไม่ออก
เสิ่นอี้ตบบ่าเขาเป็นการปลอบประโลม
ที่จริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ ความรับผิดชอบนั้นไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล แต่เพียงแค่เห็นโรงพยาบาลของตัวเองเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ผู้อำนวยการเฉินก็อดที่จะรู้สึกใจคอไม่ดี พวกเขาต่างเข้าใจในจุด ๆ นี้ดี
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ล่ะครับ ?” สีหน้าของหยางปินแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เขาดึงตัวตำรวจนายหนึ่งเข้ามาถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
เย่หนิงกับเสิ่นอี้ค่อย ๆ ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดจากเหล่าแพทย์พยาบาล รวมถึงพวกตำรวจ
คำถามอย่างเช่นเหตุการณ์เกิดนี้ขึ้นเมื่อไหร่ ก็ไม่มีใครที่จำได้อย่างชัดเจนเลย พยาบาลที่อยู่เวรก็จำได้แค่เพียงว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเวลาประมาณตีสอง เหมือนกับว่าหลังจากเวลาตีสองก็ได้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว
เริ่มจากมีนักศึกษาคนหนึ่งวิ่งพุ่งออกมาจากห้องผู้ป่วยอย่างกะทันหัน เขาเข้ามาจับตัวด้านข้างของแพทย์ที่อยู่เวรไว้ แล้วอ้าปากกัดเขา
พยาบาลที่อยู่เวรได้ยินเสียงร้องด้วยขึ้นด้วยความเจ็บปวด จึงรีบเข้าไปดู เธอตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า จึงรีบร้อนคิดเรียกหาคนเข้ามาช่วยเหลือ แต่ไม่คาดคิดว่ากลับมีนักศึกษาจำนวนมากที่พุ่งตัวหนีออกมาจากห้องผู้ป่วยอย่างไม่หยุด เธอรู้สึกตกใจจนรีบวิ่งหนีลงตึกไป หลังจากนั้นทั้งแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยทั้งตึกต่างตกใจกลัวขึ้นมา เรื่องราวหลังจากนั้นจึงตามมาด้วยความสับสนอลหม่านไปหมดเช่นนี้
ไม่มีใครจำได้อย่างชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นักศึกษาที่ดูเหมือนบ้าคลั่งขึ้นมาตรงเข้าไปทำร้ายผู้คนไปทั่ว เห็นใครเมื่อไหร่ก็กัดเมื่อนั้น แถมยังบุกไปในบริเวณกักกันโรคจนถึงแผนกผู้ป่วยอื่น ๆ ถึงแม้จะมีเพียงแค่สิบกว่าคน แต่กลับทำให้ทั้งโรงพยาบาลตกอยู่ในความโกลาหล ทั้งสถานที่แห่งนั้นมีแต่ความสับสนไปหมด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้รับการแจ้งเตือนจึงรีบร้อนเข้ามาช่วยคุมตัวนักศึกษาเหล่านั้นไว้ แต่ไม่คาดคิดว่านักศึกษาเหล่านั้นจะมีพละกำลังมากมายมหาศาลจนน่าหวาดกลัว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนสองสามคนไม่สามารถที่จะต้านทานไว้อยู่ ไม่มีใครที่สามารถจะควบคุมตัวนักศึกษาเหล่านั้นได้เลย อีกทั้งพวกเจ้าหน้าที่ต่างก็ถูกกัดหรือไม่ก็ถูกข่วนจนได้รับบาดเจ็บ
โชคดีที่สถานีตำรวจอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากที่แจ้งความไปแล้ว สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินทางมาถึง ภาพที่เห็นตรงหน้าล้วนดูสับสันวุ่นวายจนไม่เป็นระเบียบ ไม่รู้ว่ามีผู้ที่ถูกนักศึกษาเหล่านั้นเข้าทำร้ายเป็นจำนวนเท่าใด ได้ยินแต่เสียงร้องห่มร้องไห้ดังไปทั่วบริเวณ แม้แต่ผู้ปกครองของนักศึกษาที่เข้ามาห้ามยังถูกกัดจนบาดเจ็บไปด้วย
เมื่อตำรวจหลายนายที่มาถึงได้เห็นเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้า พวกเขาจึงรีบเรียกทีมกำลังเสริมจำนวนสามกลุ่ม ใช้ทุกกระบวนท่าในการต่อสู้ ถึงจะสามารถคุมตัวนักศึกษาที่คลุ้มคลั่งออกอาละวาดเหล่านั้นไว้ได้
ท่ามกลางคนที่ออกอาละวาดทั้งสิบหกคนนั้น มีจำนวนสิบเอ็ดคนที่ถูกคุมตัวกลับเข้าไปในโรงพยาบาล สามคนที่ยังหาตัวไม่พบ เกรงว่าขณะที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายไม่มีใครดูแลนั้น พวกเขาถือโอกาสหลบหนีออกจากโรงพยาบาลไปเสียแล้ว ส่วนนักศึกษาที่เหลืออีกสองคน ถูกตำรวจวิสามัญจนเสียชีวิตคาที่
ขณะนั้นเหตุการณ์ก็กำลังคับขันอย่างมาก มีนักศึกษาหนึ่งคนเข้ากัดพยาบาลอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปต่างก็เข้ามาช่วยไว้ไม่ทัน จึงได้ยิงเขาจนเสียชีวิต ส่วนนักศึกษาอีกคนเหตุการณ์ก็ไม่ต่างกันมากนัก เขาจับตัวของผู้ป่วยแล้วกัดเข้าที่คอของเขาจนเลือดไหล คนจำนวนสองสามคนนั้นไม่สามารถที่จะดึงตัวเขาได้อยู่ สุดท้ายเขาจึงถูกยิงวิสามัญจนเสียชีวิต
หลังจากที่ตรวจสอบเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว พวกเขาก็ได้ทำสถิติรวบรวมจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มีนักศึกษาถูกส่งกลับเข้าโรงพยาบาลจำนวนสิบเอ็ดคน และยังมีคนที่ไม่ออกอาการจำนวนสิบสองคนที่ถูกล็อกข้อมือไว้ชั่วคราว ด้านนอกของห้องผู้ป่วยมีตำรวจเฝ้าคุ้มกันอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีก
สามคนที่หนีไปต่างรู้ตัวว่าเป็นใครแล้ว หนึ่งในนั้นปรากฏอย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์จางลี่
นอกจากนักศึกษาสองคนที่ถูกวิสามัญไปแล้วนั้น ในโรงพยาบาลยังมีแพทย์จำนวนหนึ่งคน พยาบาลจำนวนสองคน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งคนและผู้ป่วยอีกหนึ่งคนที่ถูกกัดเข้าที่คอ เข้ารับการรักษาไม่ทันจนทำให้เสียเลือดมากเกินไปจนเสียชีวิตลง
รวมทั้งหมดแล้ว......เสียชีวิตไปเจ็ดราย
ผู้บาดเจ็บมีอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
บาดเจ็บสาหัสหกคน บาดเจ็บเล็กน้อยสามสิบกว่าคน ทั้งหมดต่างถูกกัดหรือถูกข่วนจนได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น
หยางปินที่มองรายงานที่อยู่บนมือนั้น สีหน้าเคร่งขรึมของเขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา
มีคนตายเพิ่มอีกเจ็ดราย
นับวันสถานการณ์เลวร้ายลงจนดูเหมือนยิ่งจะจัดการยากทุกที
ก่อนหน้านั้นพวกเขากังวลเกี่ยวกับปัญหาการแพร่ระบาด กังวลว่าจะมีคนมากมายได้รับผลกระทบ แต่ว่าตอนนี้ การแพร่ระบาดนั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่กลับมีคนได้รับผลกระทบมากมายถึงเพียงนี้
เย่หนิงหันไปมองเสิ่นอี้ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ก่อนหน้าที่มาถึง เสิ่นอี้ยังพูดปลอบเธออยู่เลยว่า อย่างน้อยคงไม่มีใครบาดเจ็บหรือล้มตาย แต่ว่าตอนนี้ล่ะ ?
เสียชีวิตไปแล้วเจ็ดคน บาดเจ็บสาหัสอีกหกคน บาดเจ็บเล็กน้อยอีกสามสิบกว่าคน
ผลที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ ทำให้จิตใจของเธอล้วนรู้สึกหนักอึ้งจนพูดอะไรออมาไม่ได้
ช่างน่าสลดใจยิ่งนัก !