webnovel

ตอนที่ 047

ตอนที่ 47 สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

เมื่อนำศพออกมาจากช่องแช่แข็งแล้ว กลิ่นเหม็นร้ายกาจนั่นก็ลอยออกมาตามไอเย็น กลิ่นเหม็นแผ่ซ่านจนตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องทดลอง

เหลียงเซิงบ่นอุบขึ้นมาทันที “นี่มันคืออะไรกันแน่เนี่ย กลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนเป็นบ้าเลย !”

“น่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ นั่นแหละ” ลู่เว่ยก็พูดบ่นเรื่อยเปื่อยอยู่ข้าง ๆ เช่นกัน “เสี่ยวเหลียง นายยังไม่เคยได้เข้าไปในหลุมนั่น ที่นั่นกลิ่นเหม็นยิ่งกว่านี้อีก เล่นเอาคนแทบสลบเหมือดไปเลย”

เย่หนิงจ้องเขม็งไปที่เขา “แกก็พูดไป แล้วตัวแกเองเหอะได้เข้าไปอยู่ในนั้นด้วยเหรอไง”

ลู่เว่ยหัวเราะออกมาแหะ ๆ “ก็แหม ผมก็ที่นั่นด้วยไม่ใช่เหรอครับ”

ร่างของผีดิบถูกหามไปวางไว้บนแท่นผ่าศพ จวงหมิงหานตรวจเช็คศพนั้นอย่างละเอียด

เย่หนิงมองอย่างอกสั่นขวัญแขวน ราวกับรู้สึกว่าศพนั้นจะลุกขึ้นมาตะโกนร้องเสียงดังก็ไม่ปาน

“แข็งโป๊กเลยแฮะ” จวงหมิงหานลองใช้ไม้เคาะเข้าที่แขนของศพ รู้สึกเหมือนกำลังจิ้มกระดานไม้อยู่อย่างไรอย่างนั้น แข็งทื่อไปหมดทั้งตัวเลย

“ต้องแข็งอยู่แล้วสิ ขนาดลูกกระสุนยังยิงไม่เข้าเลยนะคะ” เย่หนิงยังคงเชื่อคำพูดของเฝิงเยี่ยนฮวาย ไม่คิดว่ามันจะเป็นตามข้อสงสัยของเสิ่นอี้กับจวงหมิงหานแม้แต่น้อย

เสิ่นอี้พูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ “ใช้พวกยาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อของร่างกายเพื่อทำให้มันแข็งตัวกว่าปกติ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ”

ได้ยินดังนั้นเย่หนิงพูดขึ้นอย่างไม่ยอมรับ “แต่ก็เห็นอยู่ว่ามันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ? คนตายจะขยับได้อย่างไรกันเล่า ไหนคุณลองว่ามาสิคะ ?”

เสิ่นอี้มองเย่หนิงคล้ายจะยิ้มออกมา “คุณเชื่อขนาดนั้นเลยเหรอว่ามันคือผีดิบอายุร้อยปีน่ะ ?”

“นี่มันอะไรน่ะ ?” เหลียงเซิงมองแผ่นยันต์ที่ติดอยู่บนหน้าศพด้วยความแปลกใจ

“อย่าแตะนะ !” เย่หนิงร้องเสียงหลง “อย่าแตะต้องมันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเราได้ตายแน่ !”

“ยันต์สะกดวิญญาณนี่น่า” จวงหมิงหานเหลือบไปมอง “เมื่อติดสิ่งนี้ลงไป มันก็ขยับไม่ได้แล้ว”

“ยันต์สะกดวิญญาณ ?” เสิ่นอี้คาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย “จวงหมิงหาน นายรู้จักสิ่งนี้ด้วยหรอ ?”

“ในละครทีวีก็มีให้เห็นอยู่ไม่ใช่เหรอ ?” จวงหมิงหานพูดไปพลางยื่นมือจะไปดึงแผ่นยันต์ออก

“อย่านะ !” เย่หนิงกรีดร้องขึ้นมา แต่ไม่ทันเสียแล้ว จวงหมิงหานขยับมืออย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ดึงแผ่นยันต์สีเหลืองนั่นออกมา

“กรี๊ด คุณบ้าไปแล้วเหรอไง !” เย่หนิงอดไม่ได้ที่จะด่าออกมา เสิ่นอี้จึงตบหลังของเธอไปหนึ่งที “คุณเพ้อเจ้ออะไรอยู่”

“เขา...” ไม่ทันที่เย่หนิงจะพูดจบ เธอก็นิ่งชะงักไป ผีดิบนี่ไม่ขยับหรอกหรือ ?

เป็นไปได้อย่างไรกัน ?

ก็เฝิงเยี่ยนฮวายบอกว่าห้ามเอายันต์ออกนี่น่า ?

เย่หนิงยังคงตกตะลึงไม่หาย สายตาหันไปเห็นจวงหมิงหานใช้กรรไกรในมือตัดฉับ ๆ แล้วก็ตัดเชือกจุ่มหมึกทิ้งไปด้วย

ร่างของเย่หนิงนิ่งไปทันใด

นี่มัน......

ทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ ?

ทำไมผีดิบถึงไม่ลุกขึ้นมาอาละวาด ?

นี่มันเสียจรรยาบรรณผีดิบชะมัดเลย

จวงหมิงหานกับเหลียงเซิงที่ไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่ผีดิบลุกขึ้นมาอาละวาดมาก่อน จึงไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว แต่การที่เสิ่นอี้ทำหน้านิ่งเฉยแบบนี้มันหมาความว่าอย่างไรกัน ? ท่าทางของเขาดูเหมือนคนที่คาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้ว เหมือนเขาจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผีดิบตัวนี้จะไม่ลุกขึ้นมา

ส่วนลู่เว่ยนั้น......อย่าพูดถึงไอ้หนูนี่เลย หวาดกลัวจนแทบจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะแล้ว

ไอ้หมอนี่ทำตัวโอเวอร์ชะมัด ป่านนี้แล้วก็ยังจะกลัวอยู่อีก

เอาเป็นว่าตอนนี้จวงหมิงหานคิดที่จะผ่าชันสูตรผีดิบแล้วใช่ไหม ?

ถึงแม้ว่าตอนนี้ผีดิบยังจะไม่ลุกพรวดขึ้นมา แต่ในใจของเย่หนิงก็ยังคงกังวลอย่างสุด ๆ ภาพที่เกิดขึ้นบนภูเขานั้น เมื่อนึกถึงแล้วเธอก็ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย

ลู่เว่ยซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะสักพัก เมื่อไม่รู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวใดใดเกิดขึ้น ก็ค่อย ๆ มุดหัวออกมาดูอย่างเงียบ ๆ

เสิ่นอี้นั่งยอง ๆ ลงพูดคุยกับเขา “ไอ้หนูลู่ นายทำอะไรเนี่ย ?”

ลู่เว่ยหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขิน “ศาสตราจารย์เสิ่น ก็ผมกลัวผีดิบนั่นมันเปลี่ยนร่างนี่นา”

“ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย !” เหลียงเซิงรู้สึกตลกขึ้นมา “คน ๆ นี้ไม่รู้ว่าเสียชีวิตไปนานเท่าไหร่แล้ว ยังจะขยับได้อีกหรอครับ ?”

“มันขยับได้จริง ๆ นะ ที่ภูเขาน่ะมันเกือบจะเข้ามาทำร้ายพวกเราแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามศาสตราจารย์เสิ่นหรือไม่ก็คุณหมอเย่ดูสิ ไม่ใช่มีแค่ผมที่เห็นคนเดียว” ลู่เว่ยพูดจาฉะฉานอย่างมีเหตุมีผล

เย่หนิงพยักหน้า “ใช่ค่ะ ตอนที่อยู่บนเขา มันยังจะทำร้ายพวกเราเลย”

จวงหมิงหานอดไม่ได้ที่จะแสดงข้อสงสัยของตนเองออกมา “เป็นไปได้ไหมที่เวลานั้นมันจะยังไม่ตาย ?”

เย่หนิงชะงักไป

“ก็เป็นไปได้นะ” เสิ่นอี้มองไปยังสิ่งนั้น แล้วพูดขึ้นว่า “สภาพแบบนี้ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่มีชีวิตอยู่ ถ้าหากมีคนมาพูดกรอกหูซ้ำ ๆ ก็คงจะทำให้หลงเชื่อได้อย่างง่าย ๆ ว่ามันเป็นเพียงแค่ผีดิบ แต่เวลานั้นตอนที่มันโจมตีพวกเรา ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นมันตายไปแล้วจริง ๆ หรือเปล่า ?”

“สภาพเน่าเปื่อยซะขนาดนี้ยังจะไม่ตายอีกเหรอ ?” เย่หนิงพูดซุบซิบขึ้นอย่างไม่พอใจ

“ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบหรอกครับ เพียงเพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ พวกเราจึงต้องเชื่อคำพูดของเฝิงเยี่ยนฮวายอย่างง่ายดายอย่างนั้นเหรอ”

เย่หนิงไม่พูดอะไรออกมาอีก เธอไม่มีหลักฐานอะไรที่จะเอามายืนยันได้จริง ๆ ว่าตอนที่ “คน” นั้นออกมาโจมตีพวกเขา มันตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น การคาดคะเนของเสิ่นอี้กับจวงหมิงหานก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว

เพียงแต่ว่าเธอไม่อยากจะยอมรับเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกัน เธอถึงยังได้เชื่อคำพูดของเฝิงเยี่ยนฮวายอยู่ตลอด เธอรู้สึกว่าสิ่งนี้มันคือผีดิบจริง ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้เธอได้พบเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดมากจนเกินไป กลับกันนั้นถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เธอก็คงไม่ยอมรับคำพูดโป้ปดแบบนั้นอย่างง่าย ๆ แน่

แต่ถ้าการคาดคะเนของพวกเสิ่นอี้ถูกต้องล่ะก็ คงจะเป็นไปได้มากทีเดียวที่จะเป็นอย่างที่เสิ่นอี้พูดไว้ คงมีคนจิตใจต่ำที่คิดจะทำการทดลองอะไรบางอย่างในที่แหล่งเพาะเลี้ยงศพ คงจะเป็นการวิจัยว่าจะสร้างผีดิบอย่างไร แล้วมีเฝิงเยี่ยนฮวายเป็นคนรับผิดชอบทำหน้าที่เฝ้าดูแลสถานที่แห่งนั้น

พวกเขาพบถ้ำนั้นเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วยังนำสิ่งทดลองที่ผิดพลาดเหล่านั้นมายุ่งเกี่ยวกับคดีของพวกเขาอีก เฝิงเยี่ยนฮวายกลัวว่าพวกเขาจะพบความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เลยโผล่ออกมาเพื่อถือโอกาสทำลายสิ่งทดลองชิ้นนั้นลง แล้วสร้างทฤษฎีปลอม ๆ เกี่ยวกับผีดิบขึ้นมา หลอกลวงโดยใช้ความเชื่อใจของพวกเขา

เดิมทีสิ่งทดลองนั่นคงจะมีชีวิตอยู่ แต่พอถูกเฝิงเยี่ยนฮวายกำจัดแล้ว แน่นอนว่าก็คงไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้อีก แต่เฝิงเยี่ยนฮวายกลับโกหกพวกเขาว่าเป็นเพราะแผ่นยันต์นั้น อีกทั้งยังใช้สิ่งที่เรียกว่าเชือกชุบหมึกมัดเขาเอาไว้ เสแสร้งทำเหมือนจริง ให้พวกเขายิ่งหลงเชื่อคำพูดของเฝิงเยี่ยนฮวาย

เพราะคน ๆ นั้นได้ถูกเฝิงเยี่ยนฮวายฆ่าตายไปแล้ว หลังจากเกิดเรื่องเมื่อพวกเขาผ่าชันสูตรสิ่งนั้นจึงไม่พบการเต้นของชีพจรใด ๆ อยู่แล้ว ทีนี้ทฤษฎีผีดิบของเฝิงเยี่ยยฮวายก็จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมตอนที่ร่างของคนนั้นกำลังเน่าเปื่อยกลับยังไม่ตาย

อีกทั้งที่บอกว่าเป็นผีดิบนั้น เป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นแค่เรื่องลวงโลก เป็นแค่คำโกหก

“ผีดิบ” ตนนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างแน่นอน มีใครบางคนต้องการใช้ยาที่ทำให้ผู้ทดลองที่ได้รับยานั้นกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ราวกับศพที่มีชีวิตเช่นนี้

ดังนั้นตอนนี้แม้จะดึงทั้งแผ่นยันต์ก็แล้ว หรือตัดเชือกดำออกก็แล้ว แต่ศพก็ยังคงไม่ขยับ นั่นก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม ?

“เอ๊ะ ?” ลู่เว่ยก็พบจุดที่ไม่ชอบมาพากลบางอย่างบนตัวศพเช่นกัน “มันไม่ขยับแล้วนี่”

เหลียงเซิงไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี “นายพูดเล่นหรือเปล่า ? คนที่ตายไปแล้วจะขยับตัวได้อย่างไรกันเล่า ?”

“แต่ก่อนหน้านั้นมันบ้าคลั่งและดุร้ายมากเลยนะ” ลู่เว่ยไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว

จวงหมิงหานมองไปที่เขา “พวกคุณแน่ใจหรือเปล่าว่าตอนนั้นที่มันทำร้ายพวกคุณ มันตายไปแล้วจริง ๆ น่ะ ?”