webnovel

ตอนที่ 013

ตอนที่ 13 ยากเกินจะเข้าใจ

มิน่าล่ะถึงได้ระบุไว้ว่าไม่พบสาเหตุการตาย มีสาเหตุการตายตั้งมากมายที่ไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกได้ และแม้ว่าภายนอกจะมีบาดแผล ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถแยกออกได้ว่าบาดแผลไหนที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ชีวิต

แต่ถ้าให้เธอลองชันสูตรศพดูแล้วล่ะก็ บางทีก็อาจจะเจออะไรบ้างก็ได้ เย่หนิงในตอนนี้มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก

เสิ่นอี้มองเธอแล้วพูดขึ้นมาว่า “ได้ยินมาว่าในวงการหมอนิติเวชนี่ คุณหมอเย่มีฉายาแปลก ๆ ว่าหัตถ์ปีศาจ เพียงแค่ผ่านมือมีดผ่าตัดของคุณหมอแล้วล่ะก็ ไม่มีคดีไหนที่ความจริงจะไม่ปรากฏ ผมเชื่อว่าคุณหมอเย่จะไม่ทำให้พวกเราผิดหวังหรอกใช่ไหมครับ ?”

เย่หนิงคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก “คุณรู้จักฉันด้วยเหรอคะ ?”

เสิ่นอี้มองเธอด้วยสายตาที่มีความหมายอยู่ครู่หนึ่ง “ชื่อเสียงเรียงนามของคุณหมอเย่นี่ ผมได้ยินมาตั้งนานแล้วล่ะครับ”

เป็นเรื่องที่พบได้น้อยครั้งมาก

ถ้าหากเป็นอย่างที่ลู่เว่ยว่าไว้จริง ๆ เทพบุตรเดินดินที่สูงส่งอย่างเสิ่นอี้ คนที่สูงส่งเช่นเขาแบบนี้ จะมารู้จักผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอได้ยังไงกัน ? เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อชะมัด

เสิ่นอี้จะทำให้เธอประหลาดใจมากเกินไปแล้ว ไม่เว้นแม้แต่เรื่องนี้เลยหรือไงกัน

แต่ว่าตอนนี้จะมามัวแต่สืบสวนเรื่องนี้อยู่ไม่ได้แล้ว เรื่องที่เร่งด่วนตอนนี้คือต้องรีบผ่าชันสูตรศพของคนเหล่านั้น แล้วรีบหาสาเหตุการตายออกมาโดยเร็วที่สุด

ศพทั้งสามต่างก็ส่งมาถึงห้องชันสูตรศพแล้ว ศพรายแรกที่เย่หนิงจะชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตายออกมาก็คือ หวังจวิ้น

ใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์นี้เป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นชายคนหนึ่งเท่านั้น ร่างกายแข็งแรงเต็มไปด้วยพละกำลัง แต่กลับต้องมากลายเป็นเพียงศพที่มีร่างที่แข็งทื่อเท่านั้น

ความรู้สึกแรกที่เย่หนิงได้สัมผัสศพของเขา มันช่างเย็น เย็นจัดราวกับพึ่งออกมาจากห้องเย็นอย่างไรอย่างนั้น

โดยปกติแล้วด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ ถ้าหากไม่นำศพเข้าไปแช่ในห้องเย็น ร่างของเขาก็คงเน่าไปแล้ว

แต่นี่มันเย็นจัดเกินไป

เมื่อแตะดูเล็กน้อยก็รู้สึกหนาวจนเข้ากระดูก ความสัมผัสที่เย็นเฉียบทำให้ปลายนิ้วรู้สึกชาเล็กน้อย

อยู่ ๆ ในหัวของเย่หนิงก็ปรากฏภาพขึ้นมาฉากหนึ่ง เป็นภาพของเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนที่เธอกำลังจะผ่าชันสูตรร่างของเขา......ร่างนั้นก็เย็นเฉียบแบบนี้เช่นเดียวกัน

เมื่อนึกได้ดังนั้น เย่หนิงก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปที่เสิ่นอี้ที่กำลังยืนอยู่อีกฝากฝั่งของเตียง

เขากำลังมองร่างที่นอนอยู่บนเตียงชันสูตรอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยความตั้งใจ

ถ้าหากผู้ชายคนเมื่อคืนนั้นเป็นเขาจริง ๆ ล่ะก็ เย่หนิงคงต้องนับถือความแนบเนียนของการแสดงของเขาแล้วล่ะ

เว้นเสียแต่...นั่นไม่ใช่เขา

แต่บนโลกใบนี้จะมีคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะขนาดนี้เชียวเหรอ ? ขนาดเสียงพูดยังฟังดูเหมือนกันเลย

เสิ่นอี้เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วพูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ “คุณหมอเย่ คุณไม่มองศพ แต่เอาแต่มองหน้าผมทำไมเหรอครับ ?”

สีหน้าของหยางปินเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น ส่วนลู่เว่ยก็ตบหน้าผากตัวเองเข้าฉาดใหญ่

ใครจะรู้ว่าตอนนี้เย่หนิงรู้สึกอับอายมากแค่ไหน เธอได้แต่ละล่ำละลักพูดขอโทษ แล้วรีบหันไปตรวจสอบศพต่อโดยทันที

แต่เมื่อเธอหันกลับมาตรวจต่ออีกครั้งก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา

เหมือนเป๊ะเลย เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทุกอย่างเลย ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง !

ทั้ง ๆ ที่คนคนนี้เสียชีวิตไปหลายวันแล้วแท้ ๆ แต่กลับดูเหมือนมีชีวิตชีวา ไม่มีทั้งลมหายใจและชีพจร ลำตัวเย็นจัด ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าเขามีชีวิตอยู่เลย แต่เขากลับดูเหมือนคนที่มีชีวิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น เว้นเพียงแต่ผิวหนังนั้นขาวซีดเกินไป สีของริมฝีปากก็แดงฉ่ำจนดูผิดปกติ

ทั้งลำตัวส่วนบนและลำตัวส่วนล่างต่างไปไม่พบร่องรอยของบาดแผลที่สร้างความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว ขนาดเล็บยังคงมีสีชมพู รอยเลือดคั่งของศพก็ไม่มี

นอกเสียจากว่าศพนั้นพึ่งเสียชีวิตได้ไม่นานเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีรอยเลือดคั่งของศพปรากฏออกมาเลยล่ะ ?

พอมองดูแผ่นหลังที่สะอาดเรียบเนียนของผู้ตาย เย่หนิงยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหมดหนทางที่จะชันสูตรศพอีกต่อไปแล้ว

ลู่เว่ยกับหยางปินช่วยกันยกศพอีกสองศพออกมาตามคำขอร้องของเย่หนิง เย่หนิงก็ชันสูตรศพด้วยวิธีการเดียวกันอีกรอบหนึ่ง อาการบาดเจ็บเหมือนกับศพแรกไม่มีผิด

บนร่างไม่มีร่องรอยของบาดแผลที่ปรากฏอยู่เลยสักนิดเดียว ไม่มีลักษณะการแข็งตัวของศพ ไม่มีรอยเลือดคั่ง บนร่างก็ไม่พบการเน่าเปื่อยของศพเช่นเดียวกัน

ศพเหล่านี้เมื่อตรวจสอบดูแล้วก็มีลักษณะที่เหมือนกันทุกประการ ไม่เหมือนกับคนที่ไร้ชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากไม่ใช่เพราะไร้ลมหายใจกับชีพจรไปแล้วล่ะก็ พวกเขาก็แค่เหมือนคนที่หลับไปเท่านั้น คงไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว

ถึงแม้ว่าเย่หนิงจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่หยางปินก็สังเกตเห็นถึงความผิดนั้นปกติเช่นเดียวกัน

ลู่เว่ยลดเสียงถามขึ้นมาว่า “พี่เย่ตรวจเจออะไรบ้างไหมครับ ?”

เย่หนิงส่ายหน้า พูดขึ้นอย่างช้า ๆ “นี่มันไม่ปกติแล้วล่ะ ศพเหล่านี้ไม่มีร่องรอยบาดแผลก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมถึงไม่มีแม้แต่ร่องรอยของสาเหตุการเสียชีวิตอื่น ๆ อยู่เลยล่ะ”

เธอมองไปยังศพทั้งสามร่างที่วางเรียงกันอยู่ ครุ่นคิดสักพักก็พูดขึ้นว่า “ไม่เน่าเปื่อย ไม่แข็งทื่อ แม้กระทั่งรอยเลือดคั่งก็ไม่มี มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นศพที่ไหนที่เป็นแบบนี้มาก่อนเลย”

ถึงแม้หยางปินจะเป็นผู้ไขคดีมือฉมัง แต่พอเห็นศพเหล่านี้แล้วเขาก็ไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี พอได้ยินเย่หนิงพูดเช่นนี้แล้ว ก็พูดขึ้นว่า “บางทีเวลาอาจจะยังไม่นานพอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” เย่หนิงปฏิเสธข้อสันนิษฐานของหยางปิน “หัวหน้าหยางคะ ปกติการแข็งตัวของศพจะเริ่มเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ตายเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งถึงสามชั่วโมง โดยเริ่มที่ข้อต่อของศพ จากนั้นจะค่อย ๆ ลามไปทั่วร่าง กระบวนการเหล่านี้ ก็น่าจะใช้เวลาประมาณสิบสองถึงสิบแปดชั่วโมง”

“ปกติแล้วหลังจากผู้ตายเสียชีวิตไปแล้วภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็จะเกิดการแข็งตัวของศพขึ้นทั้งตัว อย่างเร็วที่สุดก็ไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่กระบวนการแข็งตัวของศพจะผ่อนคลายลงโดยสมบูรณ์นั้น จะใช้เวลาประมาณสี่สิบแปดถึงหนึ่งร้อยหกสิบแปดชั่วโมง หรือนั่นก็คือสามถึงเจ็ดวัน”

“แต่นั่นมันในกรณีอุณหภูมิปกติ ถ้าเป็นอากาศหนาวเย็นจะต้องใช้เวลาค่อนข้างช้า แต่ถ้าเป็นอากาศที่ร้อนอบอ้าว จะใช้เวลาค่อนข้างเร็ว การเน่าเปื่อยของศพก็ใช้หลักการเดียวกัน ถ้าอากาศร้อนชื้น ศพจะเน่าค่อนข้างเร็ว กลับกันถ้าอากาศเย็นและแห้ง ศพจะเกิดอาการเน่าค่อนข้างช้า”

เย่หนิงพูดเสร็จก็ถามหยางปิน “หัวหน้าหยาง วันนี้วันที่เท่าไหร่คะ ?”

หยางปินนิ่งอึ้ง “วันที่ 8”

เย่หนิงรีบพูดขึ้นมาทันที “วันที่ 8 ! การแข็งตัวผู้ตายคนสุดท้ายก็จะผ่อนคลายโดยสมบูรณ์ แต่ผู้ตายคนแรกกลับไม่ปรากฏอาการเน่าเปื่อยเลยแม่แต่น้อย มันจะไม่แปลกไปหน่อยเหรอคะ ?”

เสิ่นอี้พูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ “กระบวนการผ่อนคลายของศพนั้นมีเร็วบ้างมีช้าบ้าง การเน่าเปื่อยของศพก็ใช้เวลาไม่แน่นอนเหมือนกัน ถ้ามันจะประจวบเหมาะพอดีขนาดนี้แล้วล่ะก็ นับประสาอะไรกับผู้ตายทั้งสามคนนี้หายตัวไปไล่เลี่ยกัน ไม่แน่ว่าเวลาเสียชีวิตก็คงเรียงตามลำดับการหายตัวไปของพวกเขา”

เย่หนิงมองเขาแล้วถามออกไป “ถ้าไม่พูดถึงข้อสังเกตที่ผ่านไปสองข้อนั้น แล้วรอยเลือดคั่งของศพล่ะคะ ? รอยเลือดคั่งของศพจะเกิดขึ้นภายในสองถึงสี่ชั่วโมง ก่อนที่ศพจะเน่าเปื่อยนั้นก็ไม่มีทางหายไปแน่”

“อีกทั้งตอนที่พบศพ ศพทุกร่างต่างก็นอนหงายอยู่ รอยเลือดคั่งก็น่าจะไปรวมอยู่ตรงกลางหลังสิ แต่ทำไมร่างของพวกเขาถึงไม่มีรอยเลือดคั่งเลยสักนิดเดียว เว้นแต่พวกเขาจะพึ่งเสียชีวิตไปได้ไม่เกินสองชั่วโมง”

สีหน้าของหยางปินแย่ลงมาก สักพักก็ถามกลับมา “ไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นแล้วใช่ไหม ?”

เย่หนิงพูดออกมาอย่างไม่คิดจะอดกลั้นอีกต่อไป “มีเพียงคนที่มีชีวิตเท่านั้นถึงจะไม่มีรอยเลือดคั่ง !”

หยางปินสะอึกเสียหนึ่งที ลู่เว่ยรีบพูดขึ้นมา “ใช่แล้ว ! ถูกเผงเลย ! ถ้าหากผู้เสียชีวิต เสียชีวิตนานแล้ว ยังไงก็ต้องมีรอยเลือดคั่งปรากฏขึ้นมา เว้นแต่พวกเขาจะพึ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน”

หยางปินยังคงไม่ละเลิกความพยายาม “ไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นแล้วใช่ไหม ? อย่างเช่นถ้าเป็นเพราะสภาพแวดล้อมพิเศษบางอย่าง หรือยาประหลาดที่ทำให้ถึงตายล่ะ...”