webnovel

ตอนที่ 004

ตอนที่ 4 ชันสูตรศพ

เดิมทีเย่หนิงคิดว่าจะวางศพทิ้งไว้ก่อน แต่พอนึกได้ว่ายังมีงานต่อในวันพรุ่งนี้ ดูท่าแล้วเธอคงไม่มีเวลาแน่ ๆ จึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาทั้งคืนนี้ชันสูตรศพ รีบหาสาเหตุการตายของหนุ่มคนนี้ให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นคาดว่าคืนนี้เธอก็คงนอนหลับอย่างไม่เป็นสุขแน่

แต่เมื่อไม่มีใครมาช่วยเหลือเธอ จึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ลำบากมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่คนผู้นี้สวมใส่อยู่นั้น...เหมือนที่ลู่เว่ยพูดไว้ไม่มีผิด เป็นศพคนโบราณจริง ๆ ด้วย อีกทั้งผมสีดำยาวกับหน้าตาที่งดงามนั่นแล้ว เย่หนิงก็อดที่จะนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ คนผู้นี้คงไม่ได้ข้ามเวลามาจากอดีต แล้วหลังจากนั้นก็ถูกฟ้าผ่าตายหรอกนะ

แต่ว่านอกจากนี้แล้ว เธอก็คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้สมเหตุสมผลอย่างไรดี

เย่หนิงหมดแรงไปอย่างมหาศาล ในที่สุดเธอก็สามารถถอดเสื้อผ้าของคนผู้นี้ออกจนหมด สำหรับเธอแล้วการเป็นคนโบราณเป็นสิ่งที่ยุ่งยากยิ่งนัก ใส่เสื้อผ้าทำไมตั้งหลายชั้น ? ซ้อนแล้วซ้อนอีก แบบนี้จะไม่ให้เธอเหนื่อยได้อย่างไรกัน !

แต่ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ พ่อหนุ่มหล่อคนนี้...ตอนสวมเสื้อก็ดูดีอยู่หรอก แต่พอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแล้ว...กลับดูดียิ่งกว่าเดิมอีก !

เย่หนิงเกือบจะต้องปิดตาตัวเองเสียแล้ว แต่ต้องปิดจมูกเสียก่อน เพราะเลือดกำเดาของเธอจะไหลออกมาซะแล้ว !

“ไม่ได้ ไม่ได้ ! ฉันเป็นหมอนิติเวชนะ ฉันต้องไม่วอกแวกสิ !” เย่หนิงพึมพำอยู่ในใจ “กามตัณหาคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือกามตัณหา กามตัณหาคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือกามตัณหา ! หาสาเหตุการตาย สาเหตุการตาย สาเหตุการตาย !”

หลังจากที่เธอพึมพำอยู่ในใจจนแทบนับครั้งไม่ถ้วน เย่หนิงจึงตั้งสติได้ พร้อมที่จะเริ่มตรวจหาบาดแผลของศพแล้ว

เมื่อดูจากภายนอกแล้วนั้น บนลำตัวของศพเหมือนจะไม่มีบาดแผลอะไรเลยสักนิดเดียว รูปร่างสูงยาวเข่าดีเช่นนี้งดงามราวกับหยกขาวแกะสลักชิ้นงาม ไม่พบแม้แต่จุดด่างพร้อยตรงไหนเลย รวมถึงรอยแผลเป็นด้วย

ถึงแม้ว่าอุณหภูมิของศพจะเย็นเฉียบ แต่ผิวที่ขาวเนียนราวกับหิมะนั้นกลับเต็มไปด้วยความหยุ่นนุ่ม ถ้าไม่ดูจนแน่ใจแล้วว่าเขาไม่มีลมหายใจและชีพจรแล้ว เย่หนิงก็คงคิดว่าเขายังไม่ตายอย่างแน่นอน

เธอชันสูตรมาก็หลายต่อหลายศพ เห็นคนตายมาก็มากมายนัก แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นศพที่มีท่าทีที่นิ่งสงบขนาดนี้มาก่อน ราวกับว่าเขาเพียงแค่นอนหลับสนิทอยู่เท่านั้นเอง ที่สำคัญไปกว่านั้นคือหน้าตาของเขาที่พอมองแล้วก็ไม่เหมือนคนที่ตายไปแล้วสักนิด ริมฝีปากยังคงนุ่มนวลเหมือนกับกลีบดอกไม้

ที่บริเวณรูจมูกไม่พบว่ามีอาการเลือดออก ไม่มีคราบโคลน ไม่มีเศษหินดินทราย นิ้วเล็บก็ไม่เปลี่ยนสี สองมือสะอาดสวยงาม สีหน้าดูเป็นปกติ ไม่มีรอยเลือดคั่งหรือรอยที่เปลี่ยนไปเป็นสีเขียวคล้ำ ไม่เหมือนว่าโดนยาพิษหรือโรคร้ายแรง และก็ไม่เหมือนคนถูกรถชนเลยด้วยซ้ำ

เย่หนิงตรวจสอบศพอย่างละเอียดเป็นพิเศษอีกครั้ง ก็ยังคงไม่พบบาดแผลหรือจุดที่น่าสงสัยใด ๆ ถ้าจะมีจุดที่ผิดปกติแล้วล่ะก็ น่าจะเป็นอุณหภูมิของร่างกายที่ลดต่ำลงมาก ราวกับว่าเพิ่งย้ายออกมาจากห้องแช่เย็น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ศพก็ควรจะแข็งทื่อสิ และผิวหนังก็ไม่น่าจะนุ่มนวลเหมือนอย่างตอนนี้

ไม่ว่าส่วนไหนก็ดูเหมือนถูกแช่แข็งมา

เป็นเรื่องที่น่าแปลกชะมัด !

ศพที่แปลกประหลาดขนาดนี้ เธอเพิ่งจะเคยพบเคยเห็นจริง ๆ !

ร่องรอยบาดเจ็บที่ทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตอยู่ตรงไหนกันนะ ? สมองเหรอ ? หรือว่าตรงอื่น ?

เย่หนิงหยิบมีดขึ้นมา มองศพผู้ชายรูปงามตรงหน้า แล้วพลางสั่นศีรษะ ถ้าไม่ระวังเธอคงทำศพเละแหง ๆ

ทันใดนั้นเอง หลอดไฟที่อยู่เหนือศีรษะก็กระพริบขึ้นมา !

ชั่วพริบตานั้นเย่หนิงรู้สึกว่าอุณหภูมิของห้องชันสูตรศพลดลงอย่างกะทันหัน รอบ ๆ บริเวณนั้นเหมือนกับมีลมหนาวโหมพัดเข้ามา เย่หนิงจามเสียงดังรุนแรงไปหนึ่งที แล้วไฟก็ดับลง !

“ผีหลอก !” เย่หนิงยกมือขึ้นเช็ดจมูก “ไฟคงไม่ได้ดับหรอกใช่ไหม ?”

เธอวางมีดผ่าตัดลงบนถาด ตามมาด้วยเสียงกระแทกดังปังเบา ๆ ดูเหมือนเธอจะยังได้ยินเสียงถอนหายใจอยู่เบา ๆ ด้วย

แล้วก็...มันดังอยู่ที่ข้าง ๆ หู !

เย่หนิงรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมา

เธอถูกผีหลอกเข้าให้แล้ว !

หลังจากนั้นเธอก็...ด่าขึ้นมา !

“ไอ้หนูลู่ แกเล่นบ้าอะไรเนี่ยหา ! รีบโผล่หัวออกมาให้ฉันเห็นเดี๋ยวนี้นะ !”

ไม่เห็นจะต้องเล่นกันขนาดนี้เลยนี่นา !

แต่สิ่งที่ตอบเธอกลับมา มีเพียงความเงียบและไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ

ฝนด้านนอกหยุดตกไปนานแล้ว ได้ยินเพียงเสียงน้ำฝนที่ตกกระทบกับหลังคาดังขึ้นเป็นบางครั้งบางคราว

หยดแล้ว หยดเล่า

ความรู้สึกเย็นยะเยือกนั้นไม่รู้ว่ามาจากที่ใดกัน อุณหภูมิในห้องเหมือนลดลงจาก 28 องศาจนลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง

ความหนาวสุดขั้วต่างซึมซาบเข้าถึงกระดูก

ในใจของเย่หนิงชักเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

ต่อให้เธอใจแข็งมากกว่านี้ ก็คงอดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องนี้มันผิดปกติจนเกินไปเสียแล้ว

ภายในห้องมืดมิดเสียจนไม่มีแสงอะไรเล็ดลอดเข้ามาเลย

เย่หนิงถอดถุงมือออกรีบเดินไปหยิบมือถือแล้วเปิดโหมดไฟฉายขึ้น แสงสว่างเพียงเล็กน้อยนั้นราวกับถูกความมืดข้างหน้ากลืนกินเข้าไปเสียหมด ไม่ว่าจะส่องไฟไปทางไหนก็ล้วนเจอแต่ความมืดมิด

เย่หนิงใช้มือคลำหาทางไปยังทิศที่จำได้ว่าเป็นประตูทางออก เดินไปได้เพียงสองก้าว ชั่วพริบตานั้นก็รู้สึกว่ามีเสียงประหลาด ๆ ผ่านมาข้างลำตัว

เสียงกุก ๆ กัก ๆ เหมือนว่าเสียงนั้นดังขึ้นมาจากเตียงผ่าศพ

เสียงนั่น ฟังดูแล้ว......เหมือนเป็นเสียงของบางอย่างกำลังปีนลงมาจากเตียง

อย่าผิดปกติไปมากกว่านี้เลยได้ไหม ! เย่หนิงอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ติดตรงที่ไม่มีน้ำตาออกมาเลยสักหยด เธอทั้งแอบด่าไอ้เจ้าลู่เว่ยที่หนีไปก่อนกลางคัน ไม่ยอมอยู่ช่วยเธอ พลางก็แอบคิดในใจว่าจะหันกลับไปมองดีหรือเปล่า

แต่เสียงนั้น...ดูเหมือนว่าจะหายไปแล้ว

หรือว่า....เธอจะหูแว่วไปเอง ?

ไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไรเลยนี่ ในห้องผ่าศพเงียบสงัด แม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเองเธอก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน

เย่หนิงควบคุมความกลัวที่อยู่ในจิตใจ แล้วค่อย ๆ หันตัวกลับไปช้า ๆ ถือมือถือส่องไฟฉายไปบนเตียงผ่าตัด

ศพผู้ชายคนนั้นยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติไปแม้แต่นิดเดียว

เย่หนิงถอนหายใจออกมา พลางตบหน้าอกของตัวเอง “ไอ้บ้าเอ๊ย ! ทำเอาเราตกอกตกใจไปหมด ดูท่าคงโดนไอ้หนูลู่หลอกเข้าให้แล้วสินะเนี่ย !”

แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ คงผ่าชันสูตรต่อไปไม่ได้เสียแล้ว เย่หนิงได้แต่พูดปลอบใจตัวเอง ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะเข้างานเร็วหน่อยแล้วค่อยมาผ่าชันสูตรต่อ อาศัยเวลาช่วงก่อนเข้าประชุมมาชันสูตรศพต่อให้เสร็จก็พอแล้ว

อยู่ ๆ หลอดไฟบนฝ้าเพดานก็กลับกะพริบขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่ได้กลับมาเป็นปกติดังเดิม มีเพียงแต่เสียงซ่า ๆ ดังขึ้น และก็กะพริบระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา ส่องแสงเพียงสลัว ๆ

เธอรู้สึกว่าครั้งนี้เธอคงไม่ได้รู้สึกไปเองเสียแล้ว

แสงไฟสีเขียวสลัว ๆ ส่องลงมาฉาบร่างของศพผู้ชายที่เย็นเป็นน้ำแข็งด้วยสีที่แปลกประหลาด

·ความรู้สึกนั้นมัน......เหมือนกับว่าศพนั้นอยู่ ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา

เย่หนิงกลืนน้ำลายเข้าไปเสียอึกใหญ่

เธอคิดว่าตอนนี้ควรที่จะหนีเสียแล้ว

ไม่เช่นนั้นถ้าหากว่าศพนี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจะทำอย่างไร

ฟื้นคืนชีพงั้นหรือ ?

อยู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา จนแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังตกใจ และไม่รู้ว่าตัวเองมีความคิดพิลึกพิลั่นแบบนี้ออกมาได้อย่างไร ?

แม้ว่าวัยอย่างเธอจะยังนับว่ายังเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่ถ้าพูดถึงอาชีพหมอนิติเวชแล้ว เธอก็ทำมาเนิ่นนานหลายปี ผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มาก็ไม่ใช่น้อย ชันสูตรศพมาก็หลายศพ ไม่ว่าจะเป็นศพเน่า ศพเละ คนตัวใหญ่ เธอก็เคยพบเคยเจอมาหมดแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร แล้วทำไมครั้งนี้ถึงรู้สึกกลัวไปได้นะ ?

ถ้าหากว่าตามเหตุผลแล้ว ศพนี้เป็นศพที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวได้เลยสักนิด

ทั้งสะอาด ทั้งสมบูรณ์ขนาดนี้ ไม่มีแม้แต่บาดแผลภายนอก แถมไม่มีร่องรอยผุเน่าอีกต่างหาก เหมือนกับเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วจะทำให้เธอกลัวได้อย่างไรกัน ?

ก็ทำได้แต่เพียงแค่คิดเท่านั้น ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว แค่เธอมองศพที่สมบูรณ์ตรงหน้านี่......ก็ดูเหมือนจะยิ่งน่ากลัวมากไปกว่าเดิมเสียอีก !