ช่วงเวลาระหว่างการหลับตื้นก่อนตื่นจากนิทรา คลุมเครือคล้ายมีหมอกหนาปิดบังจักษุประสาท ทุกเสียงที่ผ่านเข้ามาราวกับถูกอัดผ่านแผ่นเทปขรุขระ ปราศจากการรับรู้เวลา ไม่รู้ว่านานเป็นสิบ ๆ ปีหรือแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเดียว
"ตื่น"
นิ้วดีดเป๊าะดังตรงหน้า น้ำเสียงผู้พูดอ่อนโยนเกินกว่าจะเป็นคำสั่ง
สองสิ่งปลุกให้นาวีลืมตาขึ้น เขานอนอยู่บนเบาะโซฟาตัวยาวที่เต็มไปด้วยหมอนอิงและผ้าห่ม ดวงตาสะลึมสะลือมองสำรวจห้องสว่างไสว ผนังโทนสีขาวครีมเห็นแล้วสบายตา อุณหภูมิสูงพอประมาณให้ความรู้สึกอบอุ่น อยู่แล้วสบายกาย ของตกแต่งห้องทุกชิ้นถูกเลือกมาให้เข้ากับบรรยากาศเป็นอย่างดี แต่ดูแล้วไม่สบายใจ
ภาพของบ้านริมลำธารแขวนตรงผนัง เหยือกน้ำบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ย ตุ๊กตาเซรามิกที่ชั้น รูปปั้นนามธรรมในตู้โชว์ หน้าต่างสูงกับผ้าม่านสีโปร่งที่ปล่อยให้แสงธรรมชาติเข้ามา แต่ด้วยความที่เป็นกระจกฝ้า นอกจากเงาลูกกรงราง ๆ เขามองไม่เห็นเลยว่าข้างนอกเป็นอย่างไร
เด็กหนุ่มยังจมอยู่กับกองผ้าห่มแม้ลางสังหรณ์ร้ายเตือนให้ลุกหนี อย่างไรเสียมันก็ตั้ง 40-50 ปีมาแล้ว เลยใช้เวลานานกว่าจะจำสถานที่คุ้นตาแห่งนี้ได้
ห้องผาสุข
เขาไม่ควรมาอยู่ที่นี่
นาวีผุดลุกขึ้นจากโซฟาทันที หัวใจเร่งสูบฉีดปลุกสติให้พร้อมสู้รบกับบุคคลอันตรายใกล้ตัว หล่อนอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามก้าว มีแค่โต๊ะกาแฟขวางเท่านั้น
"…เย็นลงก่อนลูก ค่อย ๆ หายใจ"
คำพูดของหญิงชราได้ผลตรงกันข้าม ยิ่งพอได้ยินเสียงปลอบโยน ลมหายใจเขายิ่งสั้นกระชับรุนแรง
"ทำไม—ทำไมกัน?"
สองเท้าพาร่างสั่นเทาเดินถอยหลัง ไม่ว่าในจินตนาการจะเคยดุด่าเกรี้ยวกราดอาฆาตหล่อนแค่ไหน ในความเป็นจริงแทบเอ่ยออกมาได้ไม่เป็นคำ
ดวงตาเบิกโตมองหญิงชรา เพ่งเส้นผมสีเทาอ่อนจางใกล้หงอกขาวด้วยอยากให้ลุกมอดไหม้ จ้องมวยผมที่ปักด้วยปิ่นไม้เหมือนอยากดึงมันออกมาแทงเจ้าของ มองสบดวงตาอบอุ่นแล้วหวังให้หล่อนอันตรธานหายไป ตายเป็นผีสิงนรกไปตลอดกาล
อีกฝ่ายนั่งผ่อนคลายอยู่บนเก้าอี้นวม ริมฝีปากประดับรอยยิ้มนิ่มนวล ดูใจดี มีเมตตา แบบที่ฆาตกรต่อเนื่องดูดีก่อนเริ่มลงมือฆ่าคน
"ยะ-ย่าตายไปแล้วนี่"
"นาวี นั่งลง อย่าให้ย่าต้องเรียกเจ้าหน้าที่เข้ามา"
เด็กหนุ่มนั่งตามคำสั่งโดยไม่ทันคิด แมวสีขาวที่ไม่รู้มาจากไหนกระโดดขึ้นนั่งตัก เข้ามาคลอเคลียให้คนที่มือสั่นขาสั่นให้ใจเย็นลง ทั้งทำให้แน่ใจว่าเขาจะนั่งฟังคู่สนทนาไปได้ตลอดรอดฝั่ง
"หนูฝันร้ายเหรอ"
"ถ้าตอนนี้ละก็ใช่" ผู้เยาว์สวนกลับเสียงเสียดสีตามความเคยชิน เขาไม่กังวลกับการยั่วโมโหหญิงชรา กลับกันเลย ถ้าสั่นคลอนหน้ากากแม่พระนั่นได้เขายังจะรู้สึกปลอดภัยมากกว่า
จะให้เขาไปเจอภูตผีพลังจิตตัวไหนก็ได้ ฝูงมารทรงพลังขุมไหนก็ดีกว่า—ทำไมต้องเป็นย่า
การตื่นตระหนกมีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง ต้องดึงการรับรู้กลับมาหาตัวเอง นาวีปรับลมหายใจเป็นเชื่องช้า รับรู้อากาศอบอุ่น กลิ่นของชา เสียงของแมวที่นอนครางครืดคราดอยู่บนตัก และข้อเท็จจริงที่เขาต้องหาทางจำให้มั่น
"ย่าตายไปแล้ว"
"ตายจริง ฝันถึงย่าด้วยเหรอจ๊ะ" สีหน้าเข้าอกเข้าใจเชิญให้เขาพรั่งพรูทุกความลับและความอ่อนแอมากองเรียงตรงหน้าหล่อน "แล้วยังไงต่อล่ะหนู"
สรรพนามที่เลือกใช้ก็ทำให้เขาหงุดหงิด ตั้งแต่ถือเอาตัวเองเป็นญาติอาวุโส เลือกคำพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกด้อยกว่า ยัดเยียดบทลูกหลานไม่รู้ความให้เขา บอกโดยนับว่าต้องเชื่อฟัง ต้องถูกควบคุมในกำมือของผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน
แต่ต่อให้นาวีรู้ทันอาวุธร้อยแปดอย่างของหล่อน เขากลับไม่อาจสลัดความอักอ่วนตอนพยายามเรียกย่าด้วยคำอื่นได้เลย หนทางที่ดีที่สุดคงเป็นการไม่พูด
ผู้เยาว์ใช้ความเงียบอันกำลังจะเป็นสิ่งหายากไตร่ตรองหาคำตอบ ถ้ายังไม่ตายหล่อนก็ควรจะอายุสักร้อยห้าสิบปีได้แล้ว ยังเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
ห้องผาสุข แมว ศูนย์ฟื้นฟู เหมือนในความทรงจำของเขาทุกประการ กระทั่งคนที่ควรจะตายไปตั้งนานนมยังเหมือนเดิมไร้ความเปลี่ยนแปลง รอยย่นตรงข้างแก้ม หน้าผาก หางตา ยังคงอายุขัยเดิมทั้งที่เวลาผ่านมาแล้วเกือบครึ่งศตวรรษ
เป็นไปไม่ได้ แต่ทุกการรับรู้ของเขามันคัดค้านข้อสรุปนั้น
ลองคิดดูดี ๆ สิ เจ้าของสถานที่วิปริตจะเป็นผู้นำองค์กรหายนะก็ไม่แปลก หล่อนมีอำนาจในมือมากพอ แล้วก็ฉลาดพอจะปอกลอกพวกเศรษฐีโง่ ๆ ให้หลงเชื่อ ส่งลูกหลานมาให้หล่อนทรมานเล่นในนามของการรักษา 'ศูนย์ฟื้นฟูและปรับศีลธรรม—ส้นตีน'
"สิ่งสุดท้ายที่หนูจำได้คืออะไร" เสียงฮัมในลำคอกระตุ้นให้เด็กหนุ่มตอบ
"มีคนลักพาตัวผม"
"หืม น่าสนใจ ไหนลองบอกย่าเกี่ยวกับคนร้ายให้หน่อย เขาดีกับหนูไหมลูก"
"ผมว่าเขารับคำสั่งมาจากคนอื่นอีกที"
"ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ"
"แค่ลางสังหรณ์ครับ"
"ลางสังหรณ์หนูบอกหรือเปล่าว่าใคร"
"บอก" นาวีจ้องลึกในดวงตาของคนที่หย่อนปมชั่วอันฝังรากลึกไว้ให้เขา "ย่าไง"
หล่อนหัวเราะ
เสียงจอมปลอมบอกเขาว่าอีกฝ่ายไม่ได้แปลกใจเลย หล่อนคาดคิดกับคำตอบไว้อยู่แล้ว ผลักดันบทสนทนาเพื่อคำตอบนี้ด้วยซ้ำ
"หนูนี่น่าเอ็นดูจริง ๆ" หญิงชราเอียงศีรษะมองด้วยแววเมตตา ไม่ต่างกันกับน้ำเสียงที่คุยเล่นเหมือนเขาเป็นเด็ก
นาวีเบือนหน้าไปทางอื่น แต่ทำไปก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ความสนใจของเขาหยุดอยู่ตรงรูปภาพที่ประดับผนังห้องฝังซ้ายมือ บ้านท่ามกลางสวนสวย ลำธาร ท้องทุ่งที่มีต้นหญ้าสูง หรือรูปปั้นทั้งเลียนแบบธรรมชาติและตามจินตนาการ ต่างทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย
ไม่ อย่าลืมว่าย่ารู้จักนาวีเมื่อก่อนดี ไม่ใช่บังเอิญหรอก
ผู้ชรารับรู้ถึงสายตาของเขา แต่เมื่อนาวีจ้องกลับตรง ๆ หล่อนก็แค่คลี่ยิ้มให้แสดงความเป็นมิตร ก่อนละไปจดบางอย่างลงในแผ่นกระดาษ เสียงลากปากกาหมึกซึมลงแผ่นขาวฟังดูน่ารำคาญ
"ทำไมถึงเป็นย่าล่ะ?"
"นั่นน่ะสิ ทำไมผมโง่แบบนี้ คนวิปริตประเภทเดียวกันจะเป็นคนคนเดียวกันก็ไม่แปลก" ถ้าไม่คิดว่าอีกฝ่ายเน่าตายไปเป็นชาติแล้วชื่อย่าคงอยู่อันดับต้น ๆ ในบัญชีปกดำของเขาแน่นอน
ไม่หรอก… ไม่คิดหรือว่าเพราะไม่อยากนึกถึงเอง นาวีใช้เวลาครึ่งชีวิตฝังกลบเหตุการณ์อันยากจะยอมรับ ไม่นึกเลยว่าสักวันมันก็จะหาทางขุดพาตัวเองขึ้นจากหลุมอยู่ดี
"ย่าจะทำร้ายหนูไปทำไม"
"กระจกมีครับ ไปลองถามดู"
"ย่าไม่ต้องการอะไรจากหนูหรอกนะนอกจากอยากให้หายดี" หญิงชราถอนหายใจเหนื่อย ๆ ฟังดูสมเพชเวทนามากกว่าเป็นห่วง "สับสนความจริงกับความฝันอีกแล้วเหรอ"
"…"
"นาวี ย่าไม่เคยลักพาตัวหนูมา หนูอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว"
หล่อนยื่นสมุดให้ดู เด็กหนุ่มไม่ทำกระทั่งจะชายตามอง แต่แค่เห็นเล่มหนังเก่า ๆ ชวนเหม็นอ้วกความจำที่เกี่ยวข้องก็ผุดขึ้นมาเองหมด เขารู้อยู่แล้วว่าข้างในมันเขียนไว้ว่าอะไรบ้าง
ก้าวร้าว
ใช้ความรุนแรง
ความทรงจำสับสน
หมกมุ่นอยู่กับจินตนาการ
รสนิยมไม่ถูกต้องตามธรรมชาติ
เขาไม่ได้เป็นอะไร ที่เขียน ๆ มามากกว่าครึ่งถูกแต่งเติมขึ้นเพื่อให้พ่อเขาสนับสนุนที่นี่ต่อ
เขาไม่ได้เป็นอะไร นอกจากทำลายความคาดหวังของผู้ให้กำเนิดสมควรตาย เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย
_____