webnovel

ความเป็นจริง

วินเดินออกมาจากสำนักงานด้วยอาการมึนงง เขายังไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโรงงานแห่งนี้ โรงงานที่เกือบจะเป็นทั้งหมดของชีวิตเขาและทุกๆคนที่นี่ ชายหนุ่มยังตั้งตัวไม่ติดกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้

และที่สำคัญ ผู้หญิงคนที่เขารัก… มะปรางของเขา หล่อนตั้งใจมาที่นี่เพื่อดำเนินการเรื่องนี้ทั้งหมด หล่อนไม่เคยแพร่งพรายเรื่องนี้ให้เขารู้เลย…

"ผมต้องขอโทษทุกคนด้วย เป็นความผิดของผมเอง ที่ไม่สามารถจะทำให้บ้านของพวกเราคงอยู่ต่อไปได้ ผมขอโทษจากใจจริง"

ผู้จัดการสูงวัยก้มหัวโค้งตัวลงนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ เขายืนอยู่บนระเบียงไม้ซึ่งอยู่ด้านในของอาคารสำนักงาน ระเบียงนี้ที่ใช้เป็นที่ประกาศข่าวของทางโรงงานประจำทุกวันพุธ การกล่าวคำขอโทษปิดท้ายของการประชุมในเช้าวันนั้นของคุณวิชิต เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะรับฟัง ชาวโรงงานทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดและวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงดังขรมหลังจากคุณวิชิตพูดจบ

สิปรางค์ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆคุณวิชิตตลอดเวลาในการประกาศข่าว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หล่อนไม่กล้าสู้หน้าใคร ไม่บ่อยครั้งในชีวิตที่หล่อนทำงานพลาด แต่ทุกครั้งที่หล่อนยอมรับผิด หล่อนก็ไม่เคยจะคิดก้มหน้า แต่ครั้งนี้… ที่โรงงานแห่งนี้… หล่อนยอมแพ้จริงๆ ความมั่นใจในตัวเองของหล่อนมลายหายไปสิ้น

แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังพยายามส่งสายตาแห่งความเสียใจและความสำนึกผิดไปยังนายช่างหนุ่มเป็นระยะ แต่นายช่างหนุ่มไม่แม้แต่จะหันมามองหล่อนเลย สีหน้าของเขาเรียบเฉย สายตาของเขาจับอยู่ที่คุณวิชิตแทบจะตลอดเวลา นัยน์ตายิ้มได้คู่นั้นบัดนี้แห้งผากและไร้ซึ่งความรู้สึก ริมฝีปากที่มักจะยิ้มน้อยๆอยู่เสมอนั้นตอนนี้มันถูกเม้มเข้าหากันแน่น

สิปรางค์ไม่อาจจะล่วงรู้ความในใจของชายหนุ่มได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆเรื่องที่หล่อนปิดบังเขาตลอดมา น่าจะเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหล่อนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…

วินรีบเดินเลี่ยงจากทุกคนออกมาหลังจากการประกาศของคุณวิชิตจบลง ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนล้าจากความเจ็บปวดและความเสียใจที่ประดังเข้ามาโดยแทบไม่ให้เขาได้ตั้งตัว

เขาเดินกะปลกกะเปลี้ยไปที่ห้องน้ำด้านหลังของอาคารสำนักงาน ชายหนุ่มเอามือรองน้ำเย็นที่ไหลผ่านก๊อกน้ำ ก่อนจะยกมือขึ้นวักน้ำใส่หน้า และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจกก็เห็นภาพสะท้อนถึงผู้ชายที่แววตาเต็มไปด้วยความสับสน มะปรางเห็นเขาเป็นอะไร ความรู้สึกที่โดนหักหลังจากคนที่รักทำเอาเขาเจ็บจนบอกไม่ถูก ความรู้สึกดีๆที่เขาเคยมีให้หล่อน บัดนี้มันกลายเป็นหนามแหลมคมที่ย้อนมาทิ่มแทงเขา

ชายหนุ่มถอยหลังมายืนพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดแรง นี่เขาจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไรดี…

พลันนายช่างหนุ่มก็ได้ยินเสียงคนอาเจียนอย่างรุนแรง ก่อนที่จะมีเสียงเหมือนคนล้มมาจากห้องน้ำหญิงข้างๆ วินรีบเดินเข้าไปดูอีกฝั่งหนึ่ง ภาพเบื้องหน้าที่เห็นคือภาพของราณีนอนฟุบอยู่ที่พื้นหน้าอ่างล้างมือในห้องน้ำหญิง ชายหนุ่มรีบเข้าไปประคองหล่อนให้ลุกขึ้นนั่ง หญิงสาวยังไม่หมดสติ หล่อนลืมตามาจ้องหน้าเขา น้ำตาคลอเบ้า

"อ้ายวิน..."

วินพาราณีมานั่งที่ม้าหินริมแม่น้ำข้างโรงจอดรถ เขาเองก็นั่งลงข้างๆหล่อนก่อนจะส่งสายตาแห่งความสงสัยไปที่หญิงสาว สายลมอ่อนๆที่พัดมาจากแม่น้ำทำให้ราณีรู้สึกดีขึ้น อาการวิงเวียนหัวลดน้อยลง แต่ความอัดอั้นตันใจที่ต้องเก็บความรู้สึกนี้คนเดียวมาหลายวันทำให้หญิงสาวร้องไห้โฮออกมา ยึดแขนของชายหนุ่มเอาไว้เหมือนจะหาที่พึ่ง

"ฮือ อ้ายวิน น้องกำลังจะมีเด็ก แล้วก่อต้องมาตกงานแหม น้องบ่ฮู้จะยะจะไดแล้ว ฮือ ฮือ"

ราณีพรั่งพรูออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว หล่อนไม่สามารถพูดเรื่องนี้กับใครได้นอกจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆตรงนี้ หญิงสาวรู้ดีว่าท้ายสุดแล้วเขาก็สามารถจะเป็นที่พึ่งพาให้หล่อนได้ เหตุการณ์ปิดโรงงานที่หล่อนได้รับฟังมาเมื่อครู่นี้ทำให้หล่อนยิ่งเครียด ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครแล้วนอกจากผู้ชายคนนี้

นายช่างหนุ่มก้มลงมองหญิงสาวด้วยแววตาตกใจระคนเห็นใจ ในใจนึกไปถึงหนุ่มกรุงเทพคนนั้นขึ้นมาทันที แม้เขาจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างราณีและณัฐอยู่บ้าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่นึกว่าหญิงสาวจะปล่อยให้ความสัมพันธ์เลยเถิดไปถึงขั้นนี้

"กับไผ?" วินกลั้นใจถามหล่อนออกไปทั้งๆที่พอจะเดาคำตอบออก

ราณีส่ายหน้า ละล่ำละลักบอกเขาด้วยเสียงสะอื้น "น้องบอกบ่ได้ น้องบ่อยากทำลายอนาคตเขา"

"อ้ายเตือนน้องแล้วแม่นก่อ" คำปฏิเสธของคนตรงหน้ายิ่งทำให้ชายหนุ่มแน่ใจ

หญิงสาวไม่พูดอะไรเอาแต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนล้า วินถอนหายใจแรง แววตาเจ็บแค้น คนพวกนี้มาสร้างปัญหาให้พวกเขาแล้วก็จากไปกันง่ายๆอย่างนี้หรือ ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เพิ่งจะเกิดขึ้น

"อ้ายจะอู้กะคุณณัฐเขาเอง อ้ายไปหาเบอร์เขาที่คุณวิชิตก่อได้" เขาจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มันจบลงง่ายๆอย่างนี้ ชายหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้น

"บ่ต้องอ้าย น้องบ่อยากฮื้อเขาลำบากใจ๋ เขาบ่ได้ฮักน้อง"

ราณีน้ำตาไหลพราก หล่อนกอดแขนชายหนุ่มไว้แน่น

"อ้ายวิน น้องขอ" หญิงสาวสะอื้นฮัก พยายามรั้งเขาไว้ "นะอ้าย นะเจ้า อย่าไปยุ่งกะเขา" และยังคงยึดแขนเขาไว้ไม่ปล่อย

"ฮักเขาขนาดนั้นเชียว" วินอดไม่ได้ที่จะประชดประชัน

"น้องบ่ฮู้จะอู้เรื่องนี้กะแม่ยังไงดี" หญิงสาวยังสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเองต่อไป

"อ้ายช่วยน้องกำเน้อ อ้ายไปอู้กะแม่หื้อน้องได้ก่อ แม่ฟังอ้ายคนเดียว" หล่อนส่งสายตาเว้าวอนมายังเขา

วินมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ

มันคงเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่เคยคิดจะดูแลน้องสาวคนนี้เลย!…

ภาพความทรงจำสมัยวัยเยาว์ย้อนเข้ามาย้ำเตือนชายหนุ่ม ขณะนั้นเขากำลังอยู่ประถมต้น วินแอบเห็นแม่ร้องไห้อย่างหนักเมื่อวันหนึ่งพ่อของเขาได้มาสารภาพว่าได้ทำแม่บ้านที่เป็นคนดูแลบ้านของพวกเขาท้อง แม่ของเขาเป็นผู้หญิงใจเด็ดเดี่ยว เมื่อรู้เรื่องก็ขอหย่าขาดจากพ่อของเขาทันที หลังจากนั้นแม่ก็เก็บกระเป๋าและพาเขาไปอยู่ด้วยกันที่บ้านกรุงเทพ ในขณะพ่อรับแม่บ้านคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้าน และลงกรุงเทพไปเยี่ยมลูกชายเป็นครั้งคราว

จนกระทั่งช่วงเขาอยู่ชั้นมัธยมต้น แม่ก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง มันเป็นช่วงที่เขากำลังเริ่มติดเพื่อนและเกเรอย่างหนัก พ่อจึงไปรับตัวเขากลับมาอยู่ด้วย อันที่จริงเขาไม่ได้อยากจะกลับขึ้นมาอยู่เชียงใหม่ เด็กหนุ่มไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับแม่เลี้ยงและน้องสาว วินยังคงฝังใจว่าเป็นเพราะแม่เลี้ยงจึงทำให้แม่ของเขาต้องจากไปก่อนเวลาอันควร และแม้แม่เลี้ยงจะดูแลเขาอย่างดี แต่เด็กหนุ่มก็มิวายหาเรื่องทะเลาะกับแม่เลี้ยงเป็นประจำ

และเมื่อความบาดหมางเริ่มหนักขึ้น วินถึงกับไม่ยอมไปเรียนหนังสือ เด็กหนุ่มทะเลาะกับพ่ออย่างหนักเรื่องนี้ เขายื่นคำขาดกับพ่อว่าเขาจะยอมไปเรียน ก็ต่อเมื่อพ่อพาแม่เลี้ยงและน้องสาวไปอยู่ข้างนอก เขาไม่ต้องการเห็นหน้าแม่เลี้ยงและน้องสาวอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน และด้วยความรักในตัวลูกชายมาก พ่อของเขาจึงยอมรับปากจะทำตามที่เขาต้องการ วินจึงเลือกที่จะเรียนต่อสายอาชีพด้านช่างกล และพ่อก็พาเขามาฝากคุณวิชิตฝึกงานที่โรงงานแห่งนี้

หลังจากนั้นพ่อของเขาก็ทำตามสัญญาโดยการพาแม่เลี้ยงและน้องสาวย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เด็กหนุ่มจึงมีลุงแปงเป็นคนดูแลนับแต่นั้นมา พ่อยังคงมาเยี่ยมเขาที่บ้านสวนอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งพ่อก็พาแม่เลี้ยงและน้องสาวมาด้วย แม่เลี้ยงจะมาทำความสะอาดบ้านและดูแลทำอาหารให้ แม้น้องสาวต่างมารดาจะพยายามเข้ามาหามาพูดคุยกับเขา แต่วินก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจสองแม่ลูก เด็กหนุ่มยังคงทำเหมือนสองแม่ลูกไม่มีตัวตนในชีวิตเขา เขาเกลียดคนทั้งคู่

หลังจากวินเรียนจบปวชไม่นาน พ่อของเขาก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ วินได้มรดกเกือบจะทั้งหมดที่เป็นส่วนของพ่อ มีเพียงบ้านหลังเล็กในอำเภอเมืองและเงินอีกก้อนหนึ่งเท่านั้นที่พ่อยกให้แม่เลี้ยง หลังจากนั้นมาวินก็แทบขาดการติดต่อกับแม่เลี้ยงและน้องสาวต่างมารดา

"บ่ต้องฮ้อง อ้ายจะไปอู้กับแม่ฮื้อเอง" ชายหนุ่มปลอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ราณียกมือขึ้นไหว้พี่ชายต่างมารดา แล้วโผเข้ากอดเขา และเป็นครั้งแรกที่วินกอดหล่อนตอบ หญิงสาวถึงกับร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ไหนแต่ไรมา ชายหนุ่มไม่เคยยอมรับเลยว่ามีหล่อนเป็นน้องสาว วินมีน้ำใจให้ผู้คนรอบข้างทุกคนยกเว้นหล่อน มันเป็นสิ่งที่ทำให้ราณีน้อยใจเสมอมา หล่อนพยายามเข้าหาเขาทุกวิถีทาง แม้แต่การเข้าทำงานที่โรงงานแห่งนี้ แต่พี่ชายของหล่อนคนนี้ก็ไม่เคยที่จะสนใจไยดีหล่อนเลย เขามีแต่ท่าทีเมินเฉยและทำเหมือนว่าหล่อนไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้ และการที่หญิงสาวเข้าไปสนิทสนมกับณัฐนั้นก็เป็นวิธีการหนึ่งที่หล่อนอยากจะเรียกร้องความสนใจจากพี่ชายคนนี้ แต่แล้วเรื่องมันก็เลยเถิดไปไกลเกินกว่าที่ราณีจะคาดถึง…

"ฮาก็ว่าแล้ว ว่าคุณสิปรางค์เปิ้นมาทำอิหยังแถวนี้ ที่แท้ก็มาปิดโรงงานของหมู่เฮา" ช่างอู๊ดตบเข่าดังฉาด แล้วก็บ่นต่อด้วยความคับแค้นใจ

บรรยากาศยามเย็นของการมารวมตัวกันที่บ้านของลูกพี่ใหญ่ในวันนี้ไม่เหมือนเคย นอกจากช่างอู๊ดและช่างโต้งแล้ว ยังมีคนงานอีกสองสามคนตามมาด้วย ทุกคนมีสีหน้าที่เคร่งเครียด ต่างคนต่างพากันระบายความร้อนอกร้อนใจของตัวเองโดยไม่มีใครฟังใคร

"หน้าตาเปิ้นก็งามดีนา อิหยังมาใจฮ้ายขนาด" คนงานผู้พูดหน้าตาโกรธแค้น

"แล้วพวกผมจะทำจะได จะไปหางานทำตี้ใด ผมก่ออายุมากแล้ว" คนงานคนถัดมารำพึงรำพันไม่หยุด "คุณสิปรางค์เปิ้นบ่หันใจเฮาเลยเนาะ ฮาว่าละ ดูๆไปเหมือนบ่จริงใจ"

"คุณวิชิตแกถ้าจะเสียใจอยู่ แกยะหยังบ่ได้เลยก่า" เสียงคนงานอีกคนแทรกขึ้นมาบ้าง เขาไม่คิดว่าผู้จัดการโรงงานจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

"คุณวิชิตแกจะไปกึ๊ดอะหยัง แหมเตื้อแกก่อเกษียณละ" คนงานคนแรกส่ายหน้า "แล้วเฮาจะยะจะไดดีช่างวิน จะไปหางานตี้ใดเนี่ย ลูกเต้าผมก่อกำลังเรียนหนังสือ"

"ฮาก่อเพิ่งซื้อรถเครื่องมาโตย" คราวนี้ช่างอู๊ดเริ่มหนักใจบ้าง

"จ้างเต๊อะ อู้ไปก็ยะหยังบ่ได้ อ้ายวินเปิ้นท่าจะเป็นหนักกว่าหมู่เฮา" โต้งบ่นอย่างปลงๆพร้อมปรายตามองไปยังลูกพี่ ซึ่งขณะนี้นั่งหน้าตาไร้หัวใจเหม่อมองไปยังแม่น้ำอย่างไร้จุดหมาย

ตั้งแต่พวกเขามาถึง วินยังไม่พูดอะไรเลย ได้แต่บอกให้สมเพชรไปหยิบเหล้ากับน้ำแข็งโซดามาตั้งวงให้ลูกน้อง

"อ้ายวิน ถามน่อย อ้ายบ่ฮู้เรื่องนี้มาก่อนแต๊กา" หลังจากทนอึดอัดมาอีกครู่หนึ่ง โต้งก็โพล่งออกมา

นายช่างใหญ๋ยังคงนั่งนิ่ง ชายหนุ่มเองก็กำลังมีความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย จะให้เขาตอบทุกคนว่าอย่างไร ใช่ เขาสนิทสนมกับสิปรางค์ เขามีใจให้หล่อน แล้วเขาก็โดนหล่อนหักหลัง

คำถามของโต้งทำเอาบรรดาลูกน้องต่างพากันจ้องไปที่ลูกพี่ใหญ่ ทุกคนกำลังรอคอยคำตอบจากเขา

วินหันหน้าจากแม่น้ำเปลี่ยนมามองหน้าลูกน้องแต่ละคน

"แล้วหมู่คิงว่าฮาฮู้ก่อ" เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

"ถ้าฮาฮู้ ฮาก่อคงบ่เจ็บจะอี้หรอก แม่ง โคตรเจ็บ" ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมรับตรงๆกับลูกน้อง นายช่างมือหนึ่งของโรงงานผู้ซึ่งมีนัยน์ตายิ้มได้อยู่เป็นนิตย์ หากบัดนี้มีแต่แววตาเยียบเย็นเฉยเมย

"เอ๊ะๆ เดี๋ยวๆพี่น้อง" ช่างอู๊ดยื่นหน้าเข้าไปสำรวจลูกพี่ใกล้ๆ ชายผู้อาวุโสกว่าใครในแผนกเริ่มตงิดๆใจว่าวินหมายถึงอะไร "หมายความว่าจะไดครับพี่น้อง ช่างวินเจ็บอะหยังครับ"

และแล้วเขาก็ตบเข่าดังฉาด

"หรือว่าคุณสิปรางค์กับช่างวิน…" ช่างอู๊ดพูดค้างไว้อย่างนั้น ก่อนจะหันไปกระซิบกับโต้ง "ฮาว่าแล้ว ก่อสงสัยอยู่ สองคนนี้มีหยังกันแน่ๆ เฮ้อ"

แล้วเขาก็หันกลับไปมองผู้ซึ่งกำลังจะกลายเป็นอดีตหัวหน้าของตนเองอย่างเห็นใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็เข้าใจความรู้สึกของวิน หัวหน้าหนุ่มของเขาน่าจะเจ็บปวดกว่าพวกเขาหลายเท่า ทุกคนในโรงงานนี้รู้ดีว่าวินรักและผูกพันกับโรงงานนี้มากแค่ไหน ชายหนุ่มอยู่โรงงานนี้มานานมาก นานกว่าพวกเขาทั้งนั้น

"ช่างวินปล่อยเขาไปเต๊อะ แม่ญิงใจฮ้ายขนาดนั้น ตั้งใจมาทำลายชีวิตหมู่เฮา" ตอนนี้เหล่าบรรดาคนงานที่เหลือเริ่มจะเข้าใจสถานการณ์อันซับซ้อนของลูกพี่ขึ้นมาบ้างแล้ว

"แม่นแล้วอ้าย ลืมๆเปิ้นไปเต๊อะ เขาบ่ได้เหมาะสมกับเฮา" โต้งไม่อยากเห็นอ้ายวินของเขาต้องเจ็บปวด ผู้หญิงกรุงเทพที่สวยและรวยคนนั้นไม่น่าจะจริงใจกับหนุ่มชาวเหนือธรรมดาๆอย่างลูกพี่ของเขา

วินได้แต่กระดกแก้วเหล้าเข้าปาก เขามองหน้าลูกน้องแต่ละคนแล้วก็ต้องถอนหายใจ เรื่องความรู้สึกของเขานั้นมันไม่สำคัญเท่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของลูกน้องหลังจากนี้ ลำพังตัวเขาเองที่จะต้องตกงานนั้น เขาไม่เป็นกังวลใจเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็ยังไปเล่นดนตรีได้ ยังมีบ้านอยู่ ไม่มีภาระต้องเลี้ยงดูใคร

แต่พวกคนงานสิ พวกเขาต้องทำมาหาเลี้ยงครอบครัว วินนึกเลยไปถึงบรรดาชาวโรงงานสูงวัยซึ่งมีจำนวนไม่น้อยในโรงงานของเขา อายุอานามปูนนั้นกันแล้ว จะไปหางานที่ใหม่คงไม่ง่ายนัก

"มา วันนี้ยังบ่ต้องกึ้ดอะหยังนัก ฮาเลี้ยงเหล้าเต็มที่ วันพูกค่อยว่ากันใหม่"

ชายหนุ่มทำได้แค่ปลอบใจลูกน้องไปก่อน วันนี้เขายังคิดอะไรไม่ออก เขามีเรื่องที่ต้องให้คิดหลายเรื่องในขณะนี้ ทั้งเรื่องโรงงาน เรื่องราณี และเรื่องของสิปรางค์

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสิปรางค์เองก็ยังคลุมเครือ สิ่งเดียวที่เขารู้… ก็คือเขารักหล่อน แล้วหล่อนคิดอย่างไรกับเขา เขาก็ยังไม่รู้ อนาคตก็มองไม่เห็นอยู่แล้ว และยิ่งมาเจอเรื่องปิดโรงงานอีก เขายังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ ความสับสนในใจมันมีมากเหลือเกิน…

สิปรางค์เผลอเหม่อมองไปยังบ้านสวนไกลๆนั่นเหมือนทุกคราวที่หล่อนกลับมาถึงเรือนพัก ไฟบนบ้านยังมืดสนิท เขาอยู่ที่ไหนหนอ นี่สามทุ่มแล้ว จะยังคงนั่งอยู่ที่ท่าน้ำหรือเปล่านะ เหมือนจะได้ยินเสียงดังมาจากทางนั้น

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะไปเดินมุดรั้วเข้าไปยังสวนของนายช่างหนุ่ม หล่อนค่อยๆไปแอบยืนอยู่ในเงามืดหลังต้นไม้ต้นใหญ่ริมน้ำนั้น วินอยู่ที่นั่นจริงๆด้วย แต่ชายหนุ่มไม่ได้อยู่คนเดียว หญิงสาวเห็นกลุ่มคนที่ท่าทางคุ้นตาหล่อนนั่งล้อมวงกันอยู่ที่ท่าน้ำนั่น ท่าทางพวกเขาเหมือนนั่งปรับทุกข์กันมากกว่าจะนั่งสังสรรค์กัน แต่ละคนกรอกเจ้าน้ำสีเหลืออำพันนั่นเข้าปากกันไม่หยุด

ถือโอกาสเข้าไปคุยกับทุกคนตอนนี้เลยดีไหมนะ ยังไงเราก็อยากจะขอโทษพวกเขาอยู่แล้ว

แต่ความลังเลนั้นยังเกาะกุมจิตใจของหล่อน หรืออย่าเพิ่งเลยดีกว่า วันนี้พวกเขาคงจะยังสับสนกันอยู่ ความจริงแล้วตัวหล่อนเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้าใครในตอนนี้ สิปรางค์ถอนหายใจ ทำไมหล่อนกลายมาเป็นคนแบบนี้ไปได้ หญิงสาวผู้ไม่เคยเกรงกลัวอะไร ทำไมหล่อนถึงกลัวที่จะเข้าไปเจอหน้าพวกเค้า

สิปรางค์… เธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจหันหลังเดินกลับไปยังรีสอร์ต…

วินยืนมองบรรดาลูกน้องที่เมาหลับกระจัดกระจายอยู่บนพื้นลานท่าน้ำด้วยความรู้สึกเข้าใจ เขาชินเสียแล้วกับภาพแบบนี้ เพียงแต่ปกติแล้วเวลามากินเหล้ากันที่นี่ หลังเลิกราทุกคนก็จะยังพอมีสติเดินกลับเข้าไปล้มตัวนอนในบ้านกันได้

แต่คืนนี้… แต่ละคนดื่มเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป เจ้าของบ้านเองก็ไม่ได้คิดจะยับยั้งใดๆ อาจเพราะรู้สึกเห็นใจลูกน้องเอามาก ก็ให้ปลดปล่อยความกังวลกันไปให้เต็มที่วันนี้เลยก็แล้วกัน ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรจะไปตามลุงแปงมาช่วยกันหามพวกลูกน้องเข้าบ้านจะดีกว่า ปล่อยไว้อย่างนี้เดี๋ยวยุงจะหามเอา

แต่แทนที่เขาจะเดินตรงไปยังบ้านของลุงแปงที่อยู่ลึกไปในสวน ความคิดถึงใครบางคนที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจก็ผลักไสให้เขาเดินมาทางรีสอร์ตแทน วินหยุดยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ริมน้ำนั้น เขาจุดบุหรี่สูบภายใต้เงามืด ยืนมองบ้านพักหลังเล็กริมน้ำนั้นด้วยความรู้สึกสับสน ความโกรธและความห่วงใยกำลังต่อสู้กันอยู่ภายในใจเขา

แม้เวลานี้จะเป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่ไฟบนบ้านพักหลังน้อยนั้นก็ยังคงเปิดอยู่

มะปรางกำลังทำอะไรอยู่นะ…