"ตูบน้อยคอยรัก ณ สะเมิง ยินดีต้อนฮับทุกคนเจ้า"
ผู้ที่ออกมาต้อนรับแขกเหรื่อนั้นหาใช่เจ้าของบ้านไม่ หากเป็นชายวัยกลางคนซึ่งวันนี้เขาตั้งใจมาทำให้ชาวสะเมิงตื่นตาตื่นใจด้วยแฟชั่นชาวดอย กางเกงม้งผ้าใยกัญชาสีน้ำเงินกรมท่านั้นถูกแต่งเติมกระเป๋าด้วยลายผ้าปักมือสีสันสดใส ส่วนเสื้อนั้นเป็นเสื้อกะเหรี่ยงคอวีสีแดงมีพู่ห้อยย้อยรอบชายเสื้อ
"โอ๊ะ แสบตาสีลิปสติกอ้ายขนาด บ่ดีไปเดินกาดเน้อ บ่ดีไปสร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านเขา เขาอยู่กันอย่างสงบๆมานาน"
อดีตนายช่างไฟฟ้าประจำโรงงานทักทายอดีตเลขาหนุ่มใหญ่อย่างยาวเหยียด เขาเดินขึ้นบันไดบ้านมาพร้อมหอบถุงอาหารพะรุงพะรัง และที่เคียงข้างกันมานั้นก็คืออดีตประชาสัมพันธ์สาวสวยของโรงงาน หล่อนยังสวยน่ารักเหมือนเดิม แม้จะมีบุตรชายในอ้อมแขนแล้ว
"โอ้ย อีอ้ายอู๊ด บ่ฮู้เฮื่องแฟชั่นอะหยังกะเปิ้นเลย เนี่ย เขาเรียกสีแดงเฉด Rouge Allure Luminous ของชาแนลฮ่ะ"
"น้องว่าสีนี้ก่องามดีนะอ้าย เขากำลังฮิต" ราณีพยายามจะสนับสนุนเพื่อนเก่าแก่ของหล่อน
"เออ เนี่ย ผมก็สงสัยอยู่ อ้ายกันไป อ้ายกันมา สรุปว่าตอนนี้ใครแก่กว่าใคร ผมงงไปหมดแล้ว" เสียงสงสัยจากอดีตหนุ่มน้อยฝึกงานซึ่งเดินตามขึ้นบันไดมาติดๆ
บัดนี้ปัณณ์ไม่ใช่หนุ่มน้อยของใครๆอีกต่อไปแล้ว เขาเรียนจบและได้งานในตำแหน่งวิศวกรฝ่ายผลิตที่โรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน แต่ชายหนุ่มยังคงเช่าหอพักอยู่ที่ในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆกับสาวน้อยคนรักของเขา
หลังจากโรงงานปิด เอื้องคำตัดสินใจเข้าเรียนต่อสายอาชีพด้านบัญชีตามคำแนะนำของปัณณ์ ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจที่หลังจากการพูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว สาวน้อยมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักบัญชี หล่อนจบมอสามแล้วมาทำงานโรงงานในตอนนั้นเนื่องจากปัญหาด้านการเงินของทางบ้าน แต่ลึกๆในใจแล้วหญิงสาวยังมีความฝันที่อยากจะเรียนต่ออยู่เสมอ และเมื่อมาได้คำแนะนำดีๆจากปัณณ์ เอื้องคำจึงมีกำลังใจในการก้าวต่อไปในโลกแห่งการศึกษา หล่อนได้ทุนจากทางวิทยาลัยและทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อไปด้วยในยามค่ำคืน…
"ฮานึกว่าคิงจะมาบ่ได้แล้ว"
เจ้าของบ้านหนุ่มอัดบุหรี่เข้าปอดให้สมกับที่ไม่ได้สูบมานาน ชายหนุ่มกำลังยืนรื่นรมย์กับรสชาติอันหอมหวานของนิโคติน เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อได้เจอกับแขกผู้มาเยือนอย่างรุ่นน้องคนสนิทของเขา
นับตั้งแต่บ้านหลังนี้สร้างเสร็จ และเขากับสิปรางค์ย้ายขึ้นมาอยู่บนนี้ด้วยกัน ชายหนุ่มก็สูบบุหรี่น้อยลงมาก เพราะทุกครั้งที่เขานึกอยากบุหรี่ เขาจะต้องระเห็จตัวเองออกมาสูบนอกตัวบ้าน วินจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันว่ามะปรางของเขาแพ้ควันบุหรี่ ชายหนุ่มจึงไม่อยากให้มีกลิ่นควันบุหรี่แม้แต่นิดติดอยู่ในตัวบ้าน
สิปรางค์ไม่เคยขอร้องให้เขาเลิกบุหรี่ เพราะเขาเองก็แทบไม่เคยสูบต่อหน้าหล่อนเลย ตอนนี้เขาอาจจะยังเลิกบุหรี่ไม่ได้ แต่ชายหนุ่มกำลังพยายามเพื่อคนที่เขารัก
"มันเหมาะเจาะขนาดเลยอ้าย ผมมาหาลูกค้าที่เจียงใหม่พอดี๊พอดี"
อาชีพเซลล์ขายเครื่องจักรทำให้โต้งต้องเดินทางไปมาระหว่างจังหวัดอยู่เสมอๆ แต่ทุกครั้งที่เขาได้แวะมาเชียงใหม่ ชายหนุ่มก็ไม่ลืมที่จะโทรทักทายอดีตหัวหน้ารุ่นพี่ของเขา
แม้จะไม่ได้เป็นเจ้านายลูกน้องกันแล้ว แต่โต้งก็ยังให้ความเคารพนับถือรุ่นพี่คนนี้มาโดยตลอด เขาเห็นวินมาตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ในวิทยาลัย รุ่นพี่คนนี้ของเขาค่อนข้างโด่งดังในเรื่องของความเกเรและการทะเลาะวิวาทกับแก๊งต่างวิทยาลัย แต่ด้วยความเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใจนักเลง วินจึงมีเพื่อนฝูงมากมายหลากหลายรุ่น
"เออ โต้ง ช่างวุฒิเป็นไดพ่อง คิงได้ข่าวเขาพ่องก่อ ฮามัวแต่ยุ่งแปงบ้าน ฮาหันเขาครั้งสุดท้าย ก็ตอนไปพาเขาออกจากโฮงหมอ แล้วฮาก่อบ่ได้ข่าวคราวเขาแหมเลย" ช่วงที่ผ่านมาเขาค่อนข้างจะยุ่งกับการสร้างบ้านหลังนี้ให้มะปรางของเขา เลยแทบไม่ได้พบปะใคร
"อ่อ เขาก่อได้งานใหม่ในนิคมลำปูนฮั่นแหละ น้องปัณณ์เปิ้นบอก น้องเขาปะกะช่างวุฒิตี้นั่น"
โต้งรายงานข่าวที่เพิ่งจะได้ยินจากปัณณ์ขณะนั่งมาในรถด้วยกัน เขาแวะรับปัณณ์และเอื้องคำจากในเมืองเพื่อขึ้นมาหาวินกับสิปรางค์ด้วยกัน
วินไม่แปลกใจ คนเก่งมีฝีมืออย่างช่างวุฒิไม่น่าหางานทำยาก
"เออ อ้าย ผมกึ๊ดขึ้นได้ ผมปะกะไอ่จ้อย ลูกน้องแหมคนของช่างวุฒิน่ะ มันเล่าว่า พอช่างวุฒิเขาออกจากโฮงหมอ เขาก่อพยายามไปเซาะหาว่า โฮงงานไฟไหม้ได้จะได ปรากฏว่าวันนั้นไอ่เติ้ดมันหันช่างอ๊อดแอบเข้าไปในโกดังโตย มันเลยเตียวเข้าไป เลยหันช่างอ๊อดกำลังเอาน้ำมันราดกระสอบน่ะอ้าย" โต้งรีบเล่าข่าวที่เขาเพิ่งได้ยินมา
"หา คิงว่าช่างอ๊อดเผาโฮงงานเฮาก๋า!"
วินไม่อยากจะเชื่อหู ชายหนุ่มไม่ระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนเลย ไม่เคยคิดว่าคนทำโรงงานไฟไหม้จะคือช่างอ๊อดคนที่ถูกวุฒิชัยไล่ออกจากโรงงานไป ก็ตอนนั้นเขายังไปเยี่ยมเยียนช่างอ๊อดกับครอบครัวบ่อยๆ จะมีช่วงหลังๆนี้เองที่เขามัวแต่ยุ่งกับการสร้างบ้าน เขาเลยค่อนข้างจะห่างเหินจากทุกคนไป แต่มิน่า ชายหนุ่มจำได้เลาๆว่า หลังโรงงานไฟไหม้ ช่างอ๊อดเคยถามเขาเป็นนัยๆถึงเรื่องโรงงาน ซึ่งเขาก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไรเลย
หลังจากเกิดเหตุไฟไหม้โรงงาน ปกป้องต้องการให้ตำรวจเข้ามาสืบสวนหาสาเหตุและเอาเรื่องกับผู้ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดเพลิงไหม้ให้ได้ แต่คุณปราณผู้เป็นบิดาได้ห้ามไว้ ชายผู้เป็นผู้ก่อตั้งโรงงานแห่งนี้ไม่ต้องการให้เรื่องราวยืดเยื้อออกไป ชายสูงวัยต้องการให้เรื่องราวทั้งหมดจบลงโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงไม่มีใครติดใจสงสัยเรื่องนี้อีก จนกระทั่งช่างวุฒิออกจากโรงพยาบาลมา
"แล้วช่างวุฒิเขาว่าจะไดพ่อง"
วินคิดว่าคนอย่างวุฒิชัยไม่น่าจะยอมง่ายๆ ส่วนหนึ่งที่เขาบาดเจ็บและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอยู่นานหลายเดือนนั้นก็เพราะมีสาเหตุมาจากเพลิงไหม้ แม้ทางโรงงานจะรับผิดชอบออกค่าใช้จ่ายในการรักษาให้ทั้งหมด แต่วุฒิชัยก็น่าจะยังติดใจเรื่องสาเหตุของเพลิงไหม้
"ไอ่จ้อยมันบอกว่า ช่างวุฒิเขาก่อตามไปถามความจริงจากไอ่อ๊อด มีต่อยกันโตยนาอ้าย ไอ่อ๊อดมันบ่ยอมฮับหรอกอ้าย แต่ผมว่ามันนั่นแหละ" โต้งพอจะรู้มาบ้างกับการเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นของช่างอ๊อด เขาไม่แปลกใจที่วุฒิชัยกับช่างอ๊อดจะมีเรื่องกัน
"แล้วยะหยังไอ่เติ้มมันบ่บอกคุณวิชิตเรื่องช่างอ๊อดวะ" วินยังสงสัย ก็ในเมื่อเติ้ดเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแต่กลับปิดปากเงียบ
"มันบอกว่าช่างอ๊อดขู่มันไว้ มันเลยกลัว ไอ่เติ้ดนี่มันดวงสมพงศ์กับช่างอ๊อดจริงๆ สองเตื้อละ เตื้อแรกมันก็หันช่างอ๊อดขโมยกาแฟ เตื้อหลังก่อดันไปหันช่างอ๊อดเผากาแฟแหม" โต้งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขานึกภาพออกว่าช่างอ๊อดคงแค้นเติ้ดด้วยมากๆอีกคน ก็เติ้ดเองที่เป็นคนไปเห็นช่างอ๊อดกำลังขโมยกาแฟในตอนโน้น เป็นเหตุให้ช่างอ๊อดถูกไล่ออก แต่พอช่างอ๊อดกลับมาเผาโรงงาน เติ้ดก็ไปบังเอิญเห็นอีก หากเขาเป็นช่างอ๊อดเขาก็คงจะขู่อาฆาตเติ้ดไว้แน่ๆ และกิติศัพท์ความเป็นคนขี้กลัวและไม่มั่นใจในตัวเองของเติ้ดหนุ่มไอทีก็เป็นที่รู้กันในโรงงาน
"เฮ้อ จั้งมันเต๊อะ มันยะอะหยังบ่ได้แล้ว โฮงงานก่อปิดไปเมินละ" วินถอนหายใจเฮือกใหญ๋
มาถึงตอนนี้เขาเองก็อยากให้เรื่องทุกอย่างมันจบจริงๆ มันเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้เขาเองก็กำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่กับมะปรางของเขา
"ว่าแต่อ้ายเต๊อะ จะยะโฮงงานใหม่แต๊ก๋า ผมบ่เคยกึ๊ดมาก่อนเลย ว่าอ้ายจะยะได้" โต้งวกกลับเข้ามาเข้าเรื่องจี้ใจดำของชายหนุ่ม คนเรื่อยเฉื่อยอย่างลูกพี่เขาน่ะรึริจะเปิดโรงงานเป็นของตัวเอง
"เอาแต๊ๆนา ฮาก่อบ่ฮู้เว้ย"
เมื่อมีโอกาสได้คุยกันสองต่อสองวินอดไม่ได้ที่จะเปิดเผยความรู้สึกลึกๆของเขากับโต้ง โต้งเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทที่สุดคนหนึ่งที่รู้ความเป็นไปของเขาแทบจะโดยตลอด
"คุณสิปรางค์ เอ้ย มะปรางเขาอยากจะยะ เขามีแผนอะหยังบ่ฮู้นักไปหมด มีทำโน้นทำนี้ตึงวัน ฮาก่อตามใจเขา ก่อทำๆไปตามเขาว่า"
ประโยคถัดมาคล้ายจะเป็นคำบ่น แต่ก็เป็นการบ่นที่ไม่จริงจังตามสไตล์ของชายหนุ่มเช่นเคย
"สุมาเต๊อะ แต่ผมว่านา ต๊ะต่อนยอนแบบอ้ายนี่ คุณสิปรางค์เปิ้นทนอ้ายไหวก๋า ผมว่าเขาดูเป็นคนแอคทีฟนาอ้าย อ้ายกะเปิ้นดูคอนทราสต์กันยังไดบ่ฮู้"
หลังจากทำงานกับบริษัทต่างประเทศได้ไม่นาน โต้งเริ่มจะติดการใช้ภาษาอังกฤษเข้าช่วย เขาไม่อยากจะเชื่อว่า หัวหน้าแก๊งผู้อินดี้เรื่อยเฉื่อยในวันนั้นจะยอมมาเป็นลูกไก่ในกำมือของหญิงสาวคนนี้ ทั้งสองคนดูไม่น่าจะไปด้วยกันได้ สิปรางค์ดูคล่องแคล่ว กระตือรือร้น เปี่ยมด้วยพลังอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ลูกพี่ของเขา เอ่อ...ต๊ะต่อนยอน
"ต๋อน ยอน ต๊ะ ตอน ย้อน ต๊ะ ตอน หย่อน ต๋อน ยอน ต๋อน ยอน…"
อยู่ดีๆเสียงใสจากลำโพงก็ดังขึ้นมาจากทางข้างในบ้านหลังน้อยบนเนินเขานั่น
"เฮ้ย ใครเปิดเพลงนี้ขึ้นมาตอนนี้วะ" วินหันรีหันขวางทำหน้าเลิกลั่ก
"เอ๊อ เนาะ เปิงขนาด" โต้งหัวเราะชอบใจ เพลงนี้ของจรัล มโนเพชรช่างเหมาะสมกับลูกพี่ของเขามากๆ…
"อ้ายปัณณ์จะเปิดแต่เพลงของอ้ายจรัล มโนเพชรตึงวันแต๊ก๋า"
เอื้องคำคิดว่าหล่อนไม่สามารถจะฟังเพลงในซีรีส์นี้ได้อีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มคนรักของหล่อนมีความพยายามจะเรียนคำเมืองจากเสียงเพลง ปัณณ์บอกว่าเทคนิคนี้เขาได้มาจากการเรียนภาษาอังกฤษในสมัยประถม มันจะช่วยให้เขาจำได้รวดเร็วกว่า ชายหนุ่มฟังเพลงของจรัล มโนเพชรเกือบทุกเพลงที่พอจะหาได้จากยูทูปซ้ำไปมาทุกวัน
"ก่อเปิดฮื้อละอ่อนมันฟัง เพลงมันจ๊าๆ น่าฮักดี แม่นก่อ อ้ายกาแฟ" ปัณณ์หันไปหยอกล้อกับทารกชายตัวน้อยตัวอ้วนกลมหน้าตาน่ารักน่าชังในอ้อมแขนของราณี เขาหยิกแก้มอูมๆนั้นอย่างมันเขี้ยว
"เอ่อ คุณน้องปัณณ์ขอรับ กระผมว่าเบาๆมือหน่อยขอรับ เดี๋ยวแก้มคุณพี่กาแฟเขาจะช้ำหมดขอรับ คือว่า กระผมคิดว่าหน้าตาของเขาช่างหล่อเหลาเหมือนคุณพ่อของเขา ก็ควรจะส่งเสริมให้เขามีอนาคตในวงการบันเทิงนะขอรับ"
อู๊ดพูดโดยไม่ทันได้คิด ซึ่งปัณณ์และเอื้องคำต่างก็หัวเราะเฮฮาไปกับมุกคุณพ่อนั้น ทุกคนรู้ดีว่าอู๊ดมักจะใช้มุกเยินยอความหน้าตาดีของตนเองในการเรียกเสียงฮาอยู่เสมอ
หากราณีกลับสะท้อนใจอยู่ในอกลึกๆ ใช่ ทารกน้อยจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังเหมือนพ่อคนโน้นต่างหาก พ่อคนที่ไม่รู้ตัวเองเลยว่าเป็นพ่อ หญิงสาวยอมรับว่าตนเองยังคิดถึงณัฐอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อหล่อนมองหน้าลูกชายตัวน้อยที่มีเค้าหน้าของณัฐอย่างชัดเจน แม้วินจะเกลี้ยกล่อมหล่อนครั้งแล้วครั้งเล่าให้หล่อนบอกความจริงนี้กับชายหนุ่มคนนั้น แต่หล่อนก็ไม่ยอม หญิงสาวคิดว่ามีศักดิ์ศรีพอ
ตั้งแต่วันนั้นที่ราณีแน่ใจว่าหล่อนจะมีพี่ชายอย่างวินอยู่เคียงข้าง หญิงสาวก็ไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว และมาในวันนี้ หล่อนก็ยังมีผู้ชายที่แสนดีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย ผู้ชายที่ราณีเคยเมินเขามาตลอด แต่เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งหล่อน ผู้ชายที่ไม่หล่อ ไม่รวย การศึกษาไม่ได้สูง แต่เขาก็ขยันขันแข็งและแสดงออกว่าพร้อมที่จะรับผิดชอบเลี้ยงดูหล่อนและลูกน้อยอย่างดีที่สุด…
"ดาน่าไม่คิดเลยนะฮ้า ว่าคุณสิปรางค์จะมาอยู่บนดอยได้จริงๆ"
ดนัยเอ่ยอย่างแปลกใจขณะช่วยหญิงสาวจัดอาหารหลากหลายชนิดใส่จาน อาหารเหนือที่ช่างอู๊ดตั้งใจทำมาเพื่องานสังสรรค์ในวันนี้โดยเฉพาะ
สิปรางค์มองไปรอบๆ บ้านน้อยในฝันหลังนี้สำเร็จด้วยฝีมือของวินจริงๆ หญิงสาวเองก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วเช่นนี้ หล่อนแค่บอกกับเขาว่าหล่อนอยากได้บ้านไม้หลังเล็กๆเรียบๆน่ารักๆตรงนี้ บนเนินทางเข้าไร่กาแฟแห่งนี้ พร้อมทั้งวาดแปลนคร่าวๆให้เขาดู ชายหนุ่มก็เนรมิตขึ้นมาให้หล่อนได้ภายในหกเดือน
วินมีเพื่อนๆอยู่ในวงการช่างหลายคน การจัดหาสถาปนิก หาผู้รับเหมา หรือการควบคุมงานก่อสร้างไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา หญิงสาวไม่ยักจะรู้มาก่อนว่า นอกจากงานด้านเครื่องจักรกลที่วินถนัดแล้ว เรื่องงานก่อสร้างเขาก็มีความรู้อยู่พอตัวทีเดียว
"เราก็ไม่เคยคิดเหมือนกันค่ะคุณดาน่า ว่าเราจะเปลี่ยนวิถีชีวิตได้จริงๆ แต่ให้เรากลับไปอยู่กรุงเทพแบบเก่าก็ไม่ได้แล้วนะคะ เราเป็นชาวสะเมิงเต็มตัวแล้วนะ"
สิปรางค์ผายมือทั้งสองออก แล้วหมุนตัวไปรอบๆห้องครัวเล็กๆแห่งนั้น
ดนัยหันหน้ามาสำรวจหญิงสาวคนสวยอย่างตั้งใจ ลุคของคนสวยคนนี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ เสื้อผ้าแบรนด์เนมไฮเอนด์ราคาแพงของหล่อนหายไปแล้ว ตรงหน้าเขาคือสาวผมมวยใส่เสื้อผ้าฝ้ายคอปาดแขนกุดสีฟ้าอ่อน และกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวทรงสามส่วน
แต่เอ๊ะ เดี๋ยว! มองเผินๆชุดเหมือนจะดูบ้านๆ แต่ด้วยสายตาแฟชั่นที่แหลมคมของเขา ลักษณะการย้อมสีจางๆ และการตัดเย็บประณีตแบบนี้ ที่มันแบรนด์ของดีไซเนอร์พื้นเมืองคนดัง คุณอู๋ อัศวชัย นี่นา แหม สิปรางค์ก็คือสิปรางค์นะคะ เอาเถอะ ปล่อยนางไป งั้นชั้นสู้ด้วยหลักปรัชญา
"บางครั้งความไม่ใช่มันก็จะเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อให้เราได้แน่ใจว่าสิ่งไหนกันคือสิ่งที่ใช่" อยู่ดีๆดนัยก็พูดด้วยน้ำเสียงขึงขังดูเป็นงานเป็นการขึ้นมา
สิปรางค์หันมามองอดีตเลขาหนุ่มวัยกลางคนตอนปลายอย่างทึ่งจัด นับแต่ดนัยได้เริ่มเปิดเผยตัวตน ดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่มขีดความมั่นใจในตัวเองขึ้นอย่างสูงสุด
"แล้วบริษัทอีเว้นท์เป็นไงบ้างคะ ไปได้ดีหรือเปล่า"
หญิงสาวเคยนัดเจอดนัยมาบ้างแล้วสองสามครั้งหลังจากกลับมาเชียงใหม่ครั้งนี้ ดนัยได้ตั้งบริษัทเล็กๆของตนเองขึ้นมาเพื่อรับจัดงานอีเว้นท์ต่างๆ หรือไม่ก็รับประสานงานหากจะมีกองถ่ายหนังถ่ายละครที่ต้องการจะเข้ามาถ่ายทำในจังหวัดเชียงใหม่
"มันก็บริษัทเล็กๆน่ะฮ่ะ ดาน่ารับแต่คนรุ่นใหม่ๆ เผอิญเรามีเส้นสายเยอะในเชียงใหม่ พวกเด็กๆเค้าก็คงยังต้องพึ่งพาเรา ก็สนุกดี"
เหมือนว่าดนัยจะแค่ทำงานเพื่อความสนุก ดูจากเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงของเขาแล้ว รายจ่ายไม่น่าจะสัมพันธ์กับรายได้ ดนัยเคยเล่าให้สิปรางค์ฟังถึงเรื่องบรรดาบ้านเช่าที่เขาได้รับมรดกตกทอดมา อันที่จริงดนัยไม่ต้องทำงานเลยก็น่าจะอยู่ได้สบาย
"อือม์ งานแบบนี้น่าจะเหมาะกับคุณดาน่าดีแล้วค่ะ นี่ยังสงสัยอยู่เลยนะคะว่าทำไมคุณดนัยถึงได้ไปทำงานที่โรงงาน" หญิงสาวมีความรู้สึกว่า บุคลิกแบบดนัย...เอ่อ...คือ...เหมือนเป็นโลกคู่ขนานกับชาวโรงงานตั้งแต่ต้นจนจบ
"ก็แหม ไม่อยากจะบอกเลย เขินฮ่ะ" ดนัยเริ่มหน้าแดง เมื่อเจอคำถามนี้
เอ แค่ทำงานโรงงาน มีอะไรต้องเขิน
"บอกแล้วคุณสิปรางค์อย่าโกรธกันนะฮะ เอ่อ...คือ…"
อะไรของเค้า มีอะไรต้องโกรธ
"ตอนนั้นดาน่าแอบหลงรักช่างวินอยู่น่ะฮ่ะ" ในที่สุดอดีตเลขาหนุ่มก็โพล่งความในใจออกมา
สิปรางค์แทบสำลักกาแฟเย็นที่หล่อนกำลังดื่มอยู่พรวดออกมา หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาฉับพลัน
เอ้อ ตายแล้ว รู้สึกผิดเลยเเรา นี่เราเข้าไปเป็นมือที่สามระหว่างเค้าสองคนหรือเปล่านี่ เอ ก็ว่านะ เหมือนคุณดาน่าจะเคยเนียนถามเรื่องเรากับวิน ตายละ แล้วก็ไม่บอกกัน โอย ไม่อยากเป็นมือที่สามของใครเลย
"เปล่า เปล่า อย่าเพิ่งมโนไปฮ่ะ" ดนัยรีบปฏิเสธ เมื่อเห็นสีหน้านึกไปไกลของคนสวยตรงหน้า
"ดาน่าหลงรักช่างวินเค้าข้างเดียว ช่างวินเค้าไม่รู้ตัวหรอก"
สิปรางค์ค่อยมีสีหน้าโล่งใจ ค่อยยังชั่ว ไม่อยากทำร้ายจิตใจใครเลยจริงๆ
"ดาน่าต้องขอบคุณคุณสิปรางค์ ที่ไม่ได้เห็นช่างวินเป็นแค่ของเล่น จำได้ไหมฮะ ที่ดาน่าเคยขอร้องคุณเมื่อตอนวันปีใหม่"
ชั้นน่ะนะ จะเห็นวินเป็นแค่ของเล่น
สิปรางค์คิดไปถึงชีวิตตนเองที่ดิ้นรนกลับมาหาชายหนุ่มถึงเชียงใหม่ หล่อนจริงจังกับบ้านบนดอยหลังนี้เพราะอยากจะให้วินได้มีเวลาให้กับไร่กาแฟเต็มที่ หล่อนมีแผนการต่างๆที่จะทำร่วมกับวินมากมายเต็มไปหมดในหัว
หญิงสาวเชื่อมั่นในตัวชายหนุ่ม หล่อนดูเขาออกตั้งแต่ตอนที่เห็นแบบแปลนเครื่องจักรต่างๆที่วินได้วาดมือไว้ตอนที่เขาปรับปรุงและพัฒนาเครื่องจักรในโรงงานเหล่านั้น ทักษะแบบนี้ไม่ใช่คนธรรมดาเลย แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้ วินเป็นคนที่ไม่พูดมากและไม่ทะเยอทะยาน นี่เป็นข้อเสียหรือเป็นข้อดีกันแน่หนอ…
สิปรางค์มีความสุขที่ได้เห็นแต่ละสิ่งที่หล่อนคิดไว้ในหัวค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ตอนที่หล่อนเข้าทำงานบริษัทขนาดใหญ่ที่อเมริกาใหม่ๆ หรือแม้แต่บริษัทของปกป้องที่กรุงเทพนั้นทุกอย่างได้ถูกจัดตั้งไว้ให้เป็นระบบเกือบหมดแล้ว แต่สำหรับที่ไร่กาแฟแห่งนี้มันคือการวางแผนใหม่เองทั้งหมด แม้ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เพราะทั้งหล่อนและวินต่างก็อยู่ในวงการกาแฟกันมาก่อน แต่มันก็เป็นการทำงานอีกรูปแบบหนึ่งที่หล่อนไม่เคยทำมาก่อน แม้จะเหนื่อยแต่สิปรางค์ก็รู้สึกสนุกกับมันมาก
และที่สำคัญ คนข้างกายสุดหล่อของหล่อนเขาเก่งกว่าที่หล่อนเคยคิดไว้!…