Intro
"ป๋า นับอยากกินขนม"
"เดินไปบอกควินซ์สิ"
"พี่ควินซ์ไม่อยู่ ไปไหนไม่รู้"
อืม เหมือนควินซ์จะลาช่วงเช้า
ตอนนี้เพิ่งสิบโมง
"สั่งแกร๊บให้เขามาส่งแล้วลงไปเอา" ผมเสนอทางเลือกให้
"ถ้าสั่งแล้ว ป๋าลงไปเอาให้หน่อยสิ นับอ่านการ์ตูนอยู่"
ปากกาที่กำลังเซ็นเอกสารอยู่หยุดชะงักและอยากเอาจะมันขว้างใส่หัวน้องชายจอมเอาแต่ใจที่กล้าใช้ตัวเขาผู้เป็นประธานบริษัทคนนี้ลงไปเอาขนม
"ป๋าไม่ว่าง" จะลงไปเอาให้มันก็ได้อยู่แต่งานของเขากองอยู่เต็มโต๊ะจนกระดิกไปไหนไม่ได้เลย "สั่งไอ้เก้าให้ซื้อมาให้สิ"
"กว่าพี่เก้าจะมา ผมหิวตายพอดี" บ่นกระปอดกระแปดแล้วปิดหนังสือการ์ตูนจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ "ผมลงไปเอาเองก็ได้!"
สุดท้ายก็ทนความหิวไม่ไหวจึงต้องลงไปเอาของกินข้างล่างตึกเอง ผมยิ้มอ่อนกับท่าทางเอาแต่ใจของนับสอง จะว่าน้องทำตัวเอาแต่ใจก็ไม่ได้เพราะคนที่เลี้ยงนับสองให้มีนิสัยเสียแบบนี้มันก็พวกผมทั้งนั้น
วันนี้นับสองมาอยู่ที่ทำงานกับผมเหมือนจะเป็นเรื่องน่าดีใจนะ น้องชายสุดที่รักมาเฝ้าเขาทำงาน แต่เปล่าเลย... วันนี้ไอ้เด็กเวรเก้ามันทำงานถ่ายโฆษณาอยู่ในสตูดิโอใหญ่ด้านหลังบริษัทของผม
นับสองเลยมานั่งๆ นอนๆ รอไอ้เด็กนั่นที่ห้องทำงานผม คิดแล้วมันก็เศร้าใจ น้องเห็นแฟนดีกว่าพี่ชาย ฮึ่ย!
ผมนั่งอ่านนั่งดูเอกสารจนปวดตาไปหมดจึงวางปากกาในมือลงแล้วจะกดโทรศัพท์เพื่อเรียกควินซ์ เลขาคนสนิทให้ไปชงเครื่องดื่มอะไรเย็นๆ
แต่นึกได้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าบริษัทช่วงบ่ายก็จำต้องลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปชงเครื่องดื่มเอง เปิดประตูออกมาจากห้องทำงานแล้วเปรยตามองโต๊ะทำงานของควินซ์ที่เป็นระเบียบบ่งบอกว่าตัวเจ้าของโต๊ะมีนิสัยเจ้าระเบียบขนาดไหนแล้วก็หลุดยิ้มออกมานิดๆ
ขายาวก้าวเดินผ่านโต๊ะทำงานไปยังห้องครัวที่มีอุปกรณ์ครบครัน บางครั้งผมมีงานเยอะจนไม่มีเวลาปลีกตัวไปกินข้าวก็ต้องให้ควินซ์ไม่ก็แม่บ้านทำอาหารที่นี่
"...กาแฟกี่ช้อนวะ"
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวเพราะปกติแล้วเขาก็แค่สั่งกาแฟกับควินซ์ไป ไม่ได้บอกว่าใส่อะไรเท่าไร ถ้าบอกว่าผมไม่รู้อัตราส่วนการชงกาแฟก็ใช่ ถูกต้องเลย ไม่รู้จริงๆ
ดังนั้นจึงวางกระปุกผงเมล็ดกาแฟลงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำอัดลมเย็นๆ ออกมาแทน
เมื่อได้เครื่องดื่มแล้วก็เดินกลับห้องไปนั่งทำงานต่อ ยังมีเรื่องการลงทุนภาพยนตร์ในต่างประเทศสี่เรื่อง และยังต้องเลือกนักแสดงส่งไปแคสติ้งในฮอลลีวูดอีก
งานยุ่งจริงๆ
กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งที่เห็นน้องชายตัวดีกำลังนั่งกินไก่บอนชอนที่ไม่รู้ว่ามันไปเหมามาทั้งร้านรึไง มีถึงสี่ห้ากล่องใหญ่ แต่เชื่อเถอะว่ากินหมด
เลิกสนใจนับสองแล้วกลับไปนั่งทำงานต่อ จนถึงเวลามื้อเที่ยง ผมก็ยังคงนั่งทำงานต่อ ตอนนับสองชวนออกไปหาข้าวกินก็ปฏิเสธไป...
"ป๋านี่บ้างานจริงๆ" นับสองบ่นทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
"เคลียร์งานก่อนไปทริปไง หรือจะให้ป๋าหอบงานไปด้วย"
"งั้นป๋ารีบทำเลยแล้วจะเอาข้าวอะไรมั้ย"
"เดี๋ยวป๋าสั่งเอา"
นับสองพยักหน้าแล้วพูดทิ้งท้ายก่อนไป "อย่าหักโหมมากนะ"
ผมพยักหน้าตอบส่งๆ ไม่ได้อยากบ้างานแต่ช่วงนี้งานมันเยอะ เร่งทำเอาช่วงนี้เพราะเดี๋ยวสิ้นเดือนจะได้ไปเที่ยวทริปครอบครัวได้อย่างสบายใจน่ะสิ
ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าในห้องตอนนี้มีคนเดินเข้ามาใหม่... ปากกาในมือถูกดึงออกไปในจังหวะที่กำลังจะเซ็นตกลงสัญญาการลงทุนภาพยนตร์
ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกำลังจะตวาดใส่การกระทำอุกอาจแต่พอเห็นว่าคนที่ดึงปากกาออกเป็นใครก็เก็บปากแทบไม่ทัน
"เที่ยงแล้ว ทำไมไม่กินข้าว" เสียงดุมาพร้อมกับแววตานิ่งเรียบทำเอาผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนกัน
"กลับมาแล้วเหรอ"
"ผมถามคุณ ไม่ใช่คุณถามกลับนะบอส" เสียงแหบว่าตำหนิแล้วจัดการหยิบแฟ้มดึงเอกสารมาปิด "ไปนั่งโซฟาแล้วกินข้าวซะ ผมซื้อมาให้แล้ว"
ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วต่อรอง "ขอเซ็นสัญญาอันเมื่อกี้ก่อน" ไหนๆ ก็อ่านครบจบหมดแล้วก็เซ็นให้มันเรียบร้อยไปเลยสิ
"อย่าให้ต้องพูดซ้ำ ไปกินข้าว" ควินซ์ไม่สนใจยังคงจัดการเก็บแฟ้มมากมายบนโต๊ะต่อไปและยังหอบหนีออกไปวางที่โต๊ะทำงานด้านนอกของตัวเองอีก
"..." ผม
เดี๋ยวนะ ผมเป็นเจ้านายรึเปล่า
แต่เอาเถอะ ขี้เกียจเถียงกับควินซ์เพราะไม่เคยเถียงชนะ ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่โซฟาตัวที่นับสองเคยนั่ง กล่องไก่บอนชอนที่เคยมีไก่อยู่เต็มกลับไม่มีให้เห็นสักชิ้น น้องผมนี่มันกินเยอะจริงๆ กินเสร็จแล้วไม่เก็บอีก น่าตีจริงๆ
ผมจัดการเก็บกล่องอาหารของนับสองใส่ถุงให้เรียบร้อยก่อนจะดูข้าวกลางวันที่ควินซ์ซื้อมาให้ มันเป็นเบนโตะจากร้านอาหารญี่ปุ่นร้านโปรดของผมเองและยังมีซูชิเซทอีกกล่องใหญ่
ควินซ์กลับมาอีกครั้งพร้อมยกน้ำผลไม้มาสองแก้ว "เอาอันไหน"
"อันไหนก็ได้"
ควินซ์วางแก้วน้ำองุ่นให้ผมแล้วเอาน้ำส้มให้กับตัวเอง จากนั้นมือเรียวก็ยื่นมาหยิบเบนโตะอีกกล่องออกมา
"ยังไม่ได้กินข้าวมาเหรอ" ผมถามขณะดึงตะเกียบแยกออก
"อืม ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน" สีหน้าควินซ์วันนี้ดูตึงเครียดกว่าทุกวัน "มื้อแรกของวันเลย"
"มีเรื่องอะไรรึเปล่า" ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอย่างไม่คิดอะไรมากเพราะพวกเราสองคนก็ไม่ใช่แค่เจ้านายลูกน้องแต่ยังเป็นเพื่อนสนิทกัน คบกันมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว
"มีเรื่องที่บ้านนิดหน่อย"
"แม่มาหาเหรอ" บ้านเกิดควินซ์ก็เหมือนกับผมที่อยู่เชียงใหม่แต่มาเรียนมาทำงานที่กรุงเทพ "แม่ว่าไง บ่นเรื่องไม่กลับไปเยี่ยมบ้าน?"
"ถ้าบ่นเรื่องนี้เหมือนทุกทีก็ดี" สีหน้าของควินซ์ดูกังวลจนผมแปลกใจ "ครั้งนี้มัน...เฮ้อ"
พูดแบบนี้มันกระตุ้นต่อมเสือกให้ทำงานจริงๆ
ผมคีบซูชิเข้าปากก่อนเมื่อกลืนลงคอไปแล้วก็ถาม "แล้วครั้งนี้มันเรื่องอะไร"
ปกติคุณป้าเขาก็บ่นอยู่ไม่กี่เรื่อง เรื่องควินซ์ไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมบ้าน ควินซ์ทำงานหนักเกิด ควินซ์ไม่ค่อยพักผ่อน อืม ก็บ่นด้วยความรักความเป็นห่วงตามประสาแม่นั่นแหละ
ครั้งนี้ก็คงเหมือนที่แล้วๆ มา
"แม่บอกว่าผมอายุเยอะแล้ว"
สามสิบสองเยอะเหรอ ก็ไม่นะ
ผมเพียงแค่ขมวดคิ้วไม่ได้แย้งอะไร ปล่อยให้เพื่อนพูดระบายออกมาและตัวผมก็แค่นั่งรับฟังแล้วก็กินข้าวไป
"แม่อยากให้ผมแต่งงาน"
"...!"
"บอกให้หาลูกสะใภ้สวยๆ ดีๆ ให้เขาได้แล้ว"
"...!!"
"เขาอยากอุ้มหลาน"
"...!!!"
ควินซ์ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยและกังวลใจหัวคิ้วยังไม่คลายออก "ผมว่าผมคงต้องหาแฟนอย่างจริงจังแล้ว อ้าว แล้วทำไมตะเกียบหักแบบนั้นล่ะบอส"
ผมสะดุ้งโหยงแล้วมองตะเกียบในมือที่ตอนนี้หักครึ่งคามือไปแล้วด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน
"ตะเกียบมัน มันเปราะ จับนิดจับหน่อยก็หักแล้ว" บ่นอย่างไม่พอใจแล้วโยนตะเกียบทิ้งคล้ายจับต้องของร้อน "ร้านนี้ใช้ตะเกียบไม่ได้มาตรฐานจริงๆ"
"งั้นผมจะไปหยิบอันใหม่ให้" ควินซ์ไม่ได้ติดใจอะไร วางตะเกียบตัวเองลงแล้วลุกเดินไปข้างนอกเพื่อหยิบตะเกียบชุดใหม่ให้
นัยน์ตาคมกริบทอดสายตามองแผ่นหลังบางแต่เหยียดตรงดูสุขุมของควินซ์ด้วยความรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าเมื่อกี้มีบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง
ไม่รู้ว่าระหว่างหัวใจกำลังสั่นไหว
กับคำว่าเพื่อนกำลังสั่นคลอน
ผมไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน....หรือบางทีอาจจะทั้งคู่
ในตอนที่ผมกำลังสับสนอยู่ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง เมื่อหันไปก็เห็นนับสองกำลังยืนพิงประตูดูดชานมไข่มุกอยู่
"ยัง ยังไม่รู้ตัวอีก ไอ้พี่โง่"
"..."
"จะรอให้ตัวเองเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวก่อนรึไงถึงจะรู้ตัว"
เพื่อนเจ้าบ่าวอะไร
แสลงหูชะมัด!
ถ้าเป็นเจ้าบ่าวก็ว่าไปอย่าง ค่อยรื่นหูขึ้นมาบ้าง...
เดี๋ยวนะ! นี่ผมกำลังคิดบ้าอะไรเนี่ย!
"โง่จริงๆ พี่กู เฮ้อ"