ตอนที่ 9 ดัดนิสัยบ่าวจอมโอหัง
“คุณหนูสาม คุณหนูรองส่งเทียบเชิญนี้ให้คุณหนูด้วยตัวเอง คุณหนูยังจะวางมาดไม่ไปอีกหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูรองยังเห็นว่าคุณหนูเป็นน้องสาวอีกคน คิดว่าอากาศร้อนเสียขนาดนี้ ข้าจะอยากมาที่นี่งั้นหรือ”
เฟ่ยชุ่ยมีตารูปสามเหลี่ยมเรียวแหลม เมื่อถูกมู่หรงชีชีปฏิเสธซึ่งๆ หน้า นางจึงรู้สึกว่าน่าอับอายยิ่งนัก ตอนนี้นางกำลังโกรธจัดจนตาแดง ยกมือขึ้นเท้าสะเอว ริมฝีปากบางสีแดงของนางก็ด่าหยาบคายไปต่างๆ นานา
“ไม่คิดจะดูตัวเองเลยสินะ คิดว่าสูงส่งมาจากไหนกัน ก็แค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง กล้าอวดดีกับข้างั้นหรือ?”
แต่เดิมเฟ่ยชุ่ยคือบ่าวรับใช้ของมู่หรงชีชี แต่นางกลับดูถูกที่คุณหนูสามไร้ประโยชน์ จึงหันไปพึ่งคุณหนูรองอย่างมู่หรงซินเหลียน จนตอนนี้นางได้กลายเป็นบ่าวคนสนิทของมู่หรงซินเหลียนไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนางรู้ว่าวันนี้จะต้องให้มู่หรงชีชีไปร่วมงานให้ได้ นางก็คร้านจะพูดกับ “คนไร้ประโยชน์” เช่นนี้
มู่หรงชีชีหรี่ตาลง จ้องปากของเฟ่ยชุ่ยที่กำลังต่อว่าเธออยู่ เรื่องก่อนหน้านี้เธอยังไม่ได้คิดบัญชีกับนางเลย คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางจะเก่งกล้ากว่าเดิมเสียอีก คำก็ “คนไร้ประโยชน์” สองคำก็ “คนไร้ประโยชน์” ยิ่งฟังยิ่งไม่สบอารมณ์
“เจ้าพูดจบหรือยัง” น้ำเสียงของมู่หรงชีชีเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ซูเหมยกับซู่เยว่ที่รู้จักมู่หรงชีชีเป็นอย่างดีต่างก็รู้ดีว่านางกำลังโกรธ
“ข้าจะพูดไม่ได้เชียวหรือ ในเมืองหลวง มีใครที่ไม่รู้บ้างว่าคุณหนูสามแห่งตระกูลมู่หรงบุ๋นก็ไม่ได้ บู๊ก็ไม่เป็นสัปปะรด นี่ยังจะกลัวคนเขาพูดอีกหรือ คุณหนูซื่อบื้อเช่นนี้ แม้แต่คนรอบข้างคุณหนูก็ดูโง่เง่าไม่ต่างกัน”
เฟ่ยชุ่ยดูเหมือนจะไม่รับรู้ว่าบรรยากาศรอบข้างเริ่มเย็นเยียบ สุดท้ายแม้แต่ซูเหมยกับซู่เยว่ที่อยู่ข้างกายของมู่หรงชีชีก็ยังโดนนางด่าไปด้วย ทนจนสุดจะทน มู่หรงชีชีจึงพูดสั่งขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตบปาก!”
ยังได้ทันที่เฟ่ยชุ่ยจะฟังได้อย่างชัดเจน ซูเหมยก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านางเสียแล้ว ตบซ้ายตบขวา “เพี๊ยะๆ” ตบเข้าที่หน้านาง
หลายวันมานี่ซูเหมยทนมามากพอแล้ว ยิ่งมาเห็นเฟ่ยชุ่ย “รังแก” คุณหนูเช่นนี้ นางจึงคันไม้คันมือมานาน เมื่อมู่หรงชีชีมีคำสั่ง ซูเหมยก็เลยตรงเข้าไป ความเร็วของนางนั้น หากเฟ่ยชุ่ยจะหลบกคงหลบไม่ทัน
ซูเหมยมีวรยุทธ์ แรงมือของนางนั้นหนักมาก แค่โดนตบไปสองครั้ง เฟ่ยชุ่ยก็ถึงกับมึน ตามองเห็นดาวไปเลยทีเดียว เลือดกำเดาไหลออกมาเป็นทาง
เมื่อเฟ่ยชุ่ยพอจะยืนได้อย่างมั่นคง ก็มองเห็นซูเหมยยืนยิ้มกริ่มอยู่ตรงหน้า นางลองเอามือไปแตะตรงจมูกดู มือของนางก็เต็มไปด้วยเลือดอุ่นๆ เฟ่ยชุ่ยก็กรีดร้องออกมา “เจ้า! เจ้ากล้าตบข้า!”
“ตบเจ้าแล้วจะเป็นไรไป! สารเลวแบบเจ้ามันสมควรที่จะโดนตบแล้ว” ซูเหมยมองด้วยหางตา ขยับข้อมือไปมา “เจ้านี่มีตาแต่หามีแววไม่ กล้ามารังแกคุณหนูของพวกเรา แค่โดนตบยังถือว่าน้อยไป!”
“กรี๊ดๆ! ข้ากับเจ้าต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!”
ยามปกติเฟ่ยชุ่ยไม่เคยจะถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน เมื่อเห็นบ่าวข้างกายมู่หรงชีชี “วางอำนาจ” ใส่นางเช่นนี้ ในหัวของนางก็มีไฟโทสะที่ไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน ทำให้นางก้มหน้าก้มตากระโดดพุ่งเข้าใส่ซูเหมย
แต่เฟ่ยชุ่ยไม่ทันได้เข้าใกล้ซูเหมย ซูเยว่ที่อยู่ด้านข้างก็ยกเท้าขึ้นมา ถีบเข้าไปที่หน้าอกของนาง ทำเอาเฟ่ยชุ่ยกระเด็นออกไป
“โครม!” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซู่เยว่ตั้งใจ หรือเฟ่ยชุ่ยซวยเอง ตอนที่นางตกลงพื้น ท้ายทอยกลับไปโดนเข้ากับก้อนหินที่ประดับอยู่ในสวน นางรู้สึกว่าศีรษะมึนๆ หนักๆ เมื่อยกมือขึ้นไปแตะ ก็มีเลือดติดมาเต็มมือ เฟ่ยชุ่ยก็ร้องไห้เอะอะโวยวายขึ้นมา
“เจ้าข้าเอ้ย จะฆ่าคนแล้วเจ้าคะ รีบมาดูเร็วเข้า! คุณหนูสามจะฆ่าคนแล้ว!”
เพียงไม่นานเสียงตะโกนของเฟ่ยชุ่ยก็ทำให้มีคนเข้ามามุงดู มู่หรงซินเหลียนเมื่อได้ทราบเรื่องก็รีบร้อนเดินเข้ามาทันที
“เฟ่ยชุ่ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” มู่หรงซินเหลียนเห็นว่าเฟ่ยชุ่ยที่แก้มบวมเป่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือด จนนางแทบจะจำไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนางเคยเห็นชุดที่เฟ่ยชุ่ยสวมมาก่อน นางก็คงคิดไม่ถึงว่าคนที่หน้าบวมเป็นหัวหมูอยู่ตอนนี้คือเฟ่ยชุ่ย!
“ฮือๆ คุณหนูรองเจ้าคะ คุณหนูต้องให้ความเป็นธรรมกับบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวเอาเทียบเชิญของคุณหนูมาเชิญคุณหนูสามด้วยตนเอง แต่คุณหนูสามไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็สั่งให้คนมาตบบ่าวเลยเจ้าคะ บ่าวอุตส่าห์มาด้วยความหวังดี กลับโดนตบเสียขนาดนี้ คุณหนูสามยังพูดอีกว่าจะฆ่าบ่าว คุณหนูรองต้องช่วยบ่าวนะเจ้าคะ!”
เฟ่ยชุ่ยถือเป็นคนที่พูดให้เรื่องราวพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ยอดเยี่ยมมาก วันนี้นางเสียเปรียบให้กับมู่หรงชีชี อย่างไรเสียนางก็จะไม่มีทางกล้ำกลืนอดทนอย่างเด็ดขาด มู่หรงซินเหลียนมาที่นี่พอดี นางก็ถือโอกาสทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรเสียมู่หรงชีชีก็มีแต่ชื่อเสีย เพิ่มมาอีกสักเรื่องหนึ่งก็คงไม่เป็นไร
มู่หรงซินเหลียนเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากเฟ่ยชุ่ยก็เกิดความสงสัยขึ้นมา มู่หรงชีชีมีนิสัยขี้กลัว อะไรก็ไม่กล้ามิใช่หรือ แล้วนางเปลี่ยนมากล้าหาญชาญชัยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่ดูลักษณะท่าทางเฟ่ยชุ่ยแล้วก็ไม่เหมือนกับคนที่โกหกสักนิด แผลบนหน้านางก็สามารถเป็นหลักฐานไได้ชัดเจน ดูแล้วน่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ
“น้องสาม ที่เฟ่ยชุ่ยพูดมานั้นจริงหรือ เป็นเจ้าที่สั่งคนให้ตบนางจริงๆ งั้นหรือ ข้าบอกให้นางมาเชิญเจ้าไปร่วมชมจันทร์ด้วยกันในค่ำนี้ ต่อให้เจ้าไม่อยากไป แต่เจ้าก็ไม่ควรเอาอารมณ์ไปลงกับบ่าวรับใช้ เฟ่ยชุ่ยทำผิดอะไร เจ้าถึงได้ลงไม้ลงมือกับนางหนักเสียขนาดนี้”
ในจวนอำมาตย์ทุกคนต่างมองมู่หรงซินเหลียนเป็นคนดี รูปลักษณ์ก็งดงาม ใจดีกว่ามู่หรงชิงเหลียนเสียอีก ไม่มีท่าทางวางอำนาจ ด้วยเหตุนี้ผู้คนในจวนอำมาตย์ต่างชื่นชอบในตัวคุณหนูรอง
มาถึงตอนนี้ เมื่อพวกเขาได้ยินมู่หรงซินเหลียนพูดว่ามู่หรงชีชีไม่ฟังอีร้าค่าอีรมก็ลงมือตบเฟ่ยชุ่ย ทุกคนก็เริ่มถกเถียงกันขึ้นมา ต่างก็พูดว่าคุณหนูสามไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างโน้น
ไม่แปลกที่มู่หรงซินเหลียนจะเป็นเจ้าแม่จอมเสเสร้ง มู่หรงชีชีปรบมือให้นางในใจ ดูเหมือนนางจะได้ใจผู้คนในจวนอำมาตย์เสียแล้ว ใครๆ ก็ช่วยนางพูด
“พี่รอง ความจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น......” มู่หรงชีชีพูดออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เป็นเฟ่ยชุ่ยที่มาว่าข้าว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่คู่ควรที่จะไปชมจันทร์กับพี่รอง นางยังพูดอีกว่าข้าเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ ส่วนพี่รองนั้นคือหงส์ขาวที่งามสง่า แม้แต่ถือรองเท้าให้พี่รองข้ายังไม่คู่ควรเลย”
เมื่อได้ฟังที่มู่หรงชีชีพูดมา มู่หรงซินเหลียนถึงกับอึ้ง นางรู้ดีว่าเฟ่ยชุ่ยเป็นคนแบบไหน คำพูดแบบนี้เป็นไปได้ที่เฟ่ยชุ่ยจะพูดออกมา นางก็เลยเริ่มที่จะเชื่อขึ้นมาแล้ว เพราะปกติแล้วนางก็พูดกับเฟ่ยชุ่ยเช่นนี้
“นางยังขู่บังคับข้า ให้ข้ายกตำแหน่งจิ้งหวางเฟยให้แก่พี่รอง นางพูดว่ามีแค่สตรีที่งดงามอย่างพี่รองเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับจิ้งอ๋อง พี่รองกับจิ้งอ๋องนั้นเกิดมาคู่กัน เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก ส่วนข้านั้นเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ จะบุ๋นจะบู๊ก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ให้ข้าใสหัวไปไกลเสียดีกว่า อย่าไปขวางทางรักของท่าน”
มู่หรงชีชีสะอึกสะอื้นเบาๆ ไหล่บางสั่นสะท้าน ดวงตาที่มีน้ำตาคลอ ยิ่งมองก็ยิ่งน่างสงสาร ผู้คนที่พูดว่ากล่าวมู่หรงชีชีได้ฟังดังนั้น สายตาที่มองมู่หรงซินเหลียนและเฟ่ยชุ่ยก็เปลี่ยนไป
“ข้าคิดว่าพี่รองออกจะใจดี จะสั่งสอนบ่าวแบบนี้ออกมาได้เช่นไร นี่ถือเป็นการทำลายชื่อเสียงของพี่รองชัดๆ ข้าจึงโกรธจนอดรนทนไม่ไหว เลยว่านางไปสองคำ ตะ...แต่นางตบหน้าตัวเอง จากนั้นก็เอาหัวไปโขกกับก้อนหิน ต่อมาก็เป็นอย่างที่พี่รองเห็นแล้ว......”
“เจ้าโกหก! จริงๆ แล้วเจ้าสั่งให้นางตบข้า พวกเจ้าอย่าไปเชื่อนาง!” เมื่อเห็นว่ามู่หรงชีชีปั้นน้ำเป็นตัวเสียยิ่งกว่านางอีก เฟ่ยชุ่ยก็ร้อนรนจนแทบจะเต้นได้ “หากข้าตบหน้าตัวเอง รอยนิ้วมือเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าอย่าไปฟังที่คนไร้ประโยชน์อย่างนางพูด!”