ตอนที่ 1 เซียนพิษ (1)
ค่ำคืนอันเงียบสงัด ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่าและเสียงลมพัดยอดหญ้าลอยมาเป็นครั้งคราว
ดวงจันทร์ถูกสลักไว้บนท้องฟ้าสีน้ำเงินอมแดง ใต้พระจันทร์เต็มดวงนั้นคือสระน้ำอันเงียบสงบ ปรากฏหมอกลอยอยู่บางเบา ท่ามกลางหมอกมัวนั้นปรากฏร่างอันงดงามร่างหนึ่งขึ้นอย่างเลือนราง
“คุณหนู สืบรู้แล้วเจ้าค่ะ” ข้างๆ สระน้ำนั่น มีเงาร่างร่างหนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าแล้วก้มหน้าลงด้วยท่าทีนอบน้อม แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เคารพภักดีของตนเองต่อหญิงงามที่อยู่ในสระ
“อืม พูดมาสิ” เสียงของเธอไพเราะกระจ่างใสดั่งน้ำพุกลางขุนเขา ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบเช่นนี้ฟังดูแล้วช่างเสนาะหูยิ่งนัก
“ห้าปีที่แล้ว คุณหนูกับมู่หรงซินเหลียนเข้าวังไปด้วยกัน เพื่อไปเยี่ยมมู่หรงเสวี่ยเหลียนที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียงกุ้ยเหริน คุณหนูขโมยมุกราตรีที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้มู่หรงเสวี่ยเหลียนกลับมา ทำให้โดนมู่หรงซินเหลียนจับได้ นางจึงนำไปฟ้องต่อท่านอำมาตย์มู่หรงไท้ มู่หรงไท้จึงลงโทษคุณหนูตามกฎประจำตระกูล และส่งคุณหนูไปสำนักแม่ชี......”
เมื่อหญิงสาวได้ฟังเพียงเท่านั้นก็หลุดหัวเราะออกมา
ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้นี่เอง มิน่าเล่าตอนที่นางตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมผุๆ พังๆ บนเขาหลังสำนักแม่ชี ข้างกายไม่มีใครสักคน
ได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาว ร่างชุดดำจึงหยุดพูดลง เมื่อก่อนนางเคยคลางแคลงว่าเหตุใดอยู่ๆ คุณหนูถึงให้นางไปสืบเรื่องนี้มา แต่ภายหลังเมื่อสืบได้เรื่องแล้ว นางจึงได้รู้เหตุผล
แต่เดิมนางเคยคิดว่าเรื่องราวของตัวเองนั้นน่าสงสาร แต่คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวของคุณหนูกลับแย่ยิ่งกว่า โดนพ่อแท้ๆ ของตนตีจนเกือบตายแล้วทิ้งไว้ที่สำนักแม่ชี จะอยู่จะตายก็แล้วแต่บุญแล้วแต่กรรม ดูเหมือนว่าเกิดในตระกูลใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีความสุข
เหมือนนางจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของร่างชุดดำ เช่นนั้นหญิงสาวจึงค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา “พอได้แล้ว ข้าไม่เป็นไร เจ้าพูดต่อสิ”
“ตามที่ข้าน้อยได้ไปสืบมา ที่จริงแล้วมุกราตรีนั้นเป็นมู่หรงซินเหลียนต่างหากที่ขโมยมา แล้วให้เฟ่ยชุ่ยบ่าวรับใช้ข้างกายคุณหนูเอาไปซ่อนในห้องของคุณหนู จงใจที่จะใส่ร้ายคุณหนู ตอนนี้เฟ่ยชุ่ยได้กลายเป็นบ่าวคนสนิทของมู่หรงซินเหลียนไปแล้วเจ้าค่ะ”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง เฟ่ยชุ่ยกับมู่หรงซินเหลียนอย่างนั้นหรือ”
หญิงสาวเกี่ยวผมดำราวกับหมึกขึ้นมาม้วนเล่นอย่างเกียจคร้าน นิ้วมือดุจหยกขาวที่ม้วนเล่นผมดำสนิทนั้นงดงามดั่งงูที่ปราดเปรียวแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางน้ำตกสีดำ
“คุณหนูจะให้บ่าว......?” ร่างชุดดำทำท่าปาดคอ
นางไม่คิดว่านายบ่าวสารเลวคู่นั้นจะกล้าใช้วิธีการที่ต่ำทรามเช่นนี้กับคุณหนูของตน นางน่าจะฆ่าพวกนางเสียตั้งนานแล้ว แววตาของร่างชุดดำพลันปรากฏความเหี้ยมเกรียมขึ้นอย่างทันควัน ขอเพียงแค่คุณหนูพยักหน้า นางก็จะไปจวนอำมาตย์เพื่อจัดการกับนังสารเลวทั้งสองคนนั่นทันที
หญิงสาวรู้ดีถึงความจงรักภักดีของร่างชุดดำ แต่เธอไม่ได้ต้องการชีวิตของคนพวกนั้น ในเมื่อเธอเป็นคนละคนกับ “นาง”
คุณหนูสามเเห่งตระกูลมู่หรงคนนั้น น่ากลัวว่าจะตายไปตั้งแต่โดนลงโทษด้วยกฎประจำตระกูลโดยการโบยยี่สิบครั้งแล้ว
“ข้าไม่ใช่บุตรสาวของฮูหยินใหญ่หรอกหรือ เหตุใดลูกอนุอย่างมู่หรงซินเหลียนถึงกล้าทำถึงขนาดนี้เล่า ดูเหมือนมู่หรงไท้กับฮูหยินใหญ่หลี่ชิวสุ่ยจะเลอะเลือนกันถึงขนาดนี้เชียว”
“เรียนคุณหนูเจ้าค่ะ ถึงแม้คุณหนูจะเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ แต่ร่างกายของคุณหนูอ่อนแอมาตั้งแต่เยาว์วัย มิสามารถฝึกวรยุทธ์ได้ เพราะฉะนั้น......”
คำพูดตอนท้าย ร่างชุดดำไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจกลับนึกสงสัย
ท่านเจ้าปีศาจใช้คำว่า “อัจฉริยะเหนือฟ้า” มานิยามคุณหนู ขนาดบุคคลผู้นั้นยังกล่าวเลยว่าคุณหนูเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ “หายากในรอบร้อยปี” เหตุใดครอบครัวคุณหนูถึงได้พูดว่าคุณหนูเป็นคนไร้ความสามารถเสียได้เล่า
“เพราะเช่นนี้จึงเป็นเพียงแค่เครื่องประดับไร้ค่า พ่อไม่หวงแม่ไม่รัก ต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่าโดนใส่ร้าย แต่เพียงแค่บุตรสาวที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ถึงตายไปก็เท่านั้น ความหมายที่เจ้าต้องการเอ่ยคือเช่นนี้ใช่หรือไม่”
หญิงสาวดำลงไปใต้น้ำ แหวกว่ายจนถึงตลิ่ง ยิ้มตาหยีมองไปยังร่างชุดดำที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
ได้ยินหญิงสาวพูดมาเช่นนั้น ร่างชุดดำถึงกับสะดุ้ง ลนลานก้มหน้าลง “คุณหนู ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้นนะเจ้าคะ”
“ฮ่าๆ! ลุกขึ้นเถอะ! ข้าเคยบอกเจ้าแล้วอย่างไร ไม่ต้องมากกฎอะไรนัก ข้าเพียงแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง”
เสียงหัวเราะของหญิงสาวกังวานดุจเสียงระฆังเงิน เมื่อเห็นว่านางไม่โกรธ ร่างชุดดำถึงได้โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ใครๆ ก็ต่างรู้ว่าคุณหนูกับท่านเจ้าปีศาจเหมือนกันอย่างกับแกะ เจ้าอารมณ์แต่ความสามารถกลับไม่ธรรมดา ดังนั้นท่านเจ้าปีศาจถึงได้ถูกใจในตัวคุณหนูนัก นอกจากจะรับมาเป็นบุตรสาวแล้ว ยังมอบดินแดนปีศาจให้แก่นางอีก
บนโลกนี้ จะมีเรื่องกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่คุณหนู
เป็นศัตรูกับท่านเจ้าปีศาจอย่างมากก็แค่ตาย แต่เป็นศัตรูกับคุณหนู ตายเสียยังจะดีกว่าอยู่ นางที่ติดตามคุณหนูมาห้าปี คตินี้ร่างชุดดำเข้าใจดี
“คุณหนู คนพวกนั้นมีตาหามีแววไม่ ถึงได้เห็นเพชรอย่างคุณหนูเป็นก้อนกรวด การที่คนพวกนั้นทิ้งขวางคุณหนู นั่นถือเป็นความสูญเสียของพวกเขาแล้วเจ้าค่ะ” ร่างชุดดำลุกขึ้น มองไปยังหญิงสาว แววตาตื่นตะลึง
นางรับใช้คุณหนูมานานขนาดนี้ แต่น้อยครั้งนักที่นางจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคุณหนู และทุกครั้งที่ได้เห็นนั้น ขนาดนางที่เป็นผู้หญิง ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์ของคุณหนู
ความงดงามของนาง ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าดูหมิ่น ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องก้มหัวคารวะให้แก่นาง
“มิต้องไปสนใจคนพวกนั้น ทุกอย่างมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ก็แค่เพียงพวกกระจอก ข้าคร้านที่จะจัดการ” หญิงสาวว่ายลงน้ำอีกครั้ง หมอกมัวปกคลุมอยู่รอบตัวนาง
“คุณหนู ข้าน้อยไปสืบคราวนี้ ยังได้รู้เพิ่มมาอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
“จิ้งอ๋องหลงเจ๋อจิ่งเทียนที่ได้หมั้นหมายไว้กับคุณหนู ชนะสงครามกับเฮ้อหลันอวี้จากทางใต้ ขบวนทหารกำลังจะเดินทางกลับเมืองหลวง ผู้คนในราชสำนักต่างก็พูดว่าพระองค์คือเทพสงครามหนุ่ม ดูเหมือนว่ามู่หรงซินเหลียนจะชื่นชอบหลงเจ๋อจิ่งเทียน จึงวางแผนจะทำอะไรสักอย่าง”
เพิ่งคิดอยู่เมื่อครู่ว่าจะไม่หาเรื่องใครก่อน ได้ยินดังนั้น หญิงสาวที่ว่ายน้ำอยู่ก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาเบาๆ แล้วยกยิ้มขึ้น
“จิ้งอ๋องจะกลับมาแล้วหรือ อีกไม่กี่วันมู่หรงไท้คงส่งคนมารับข้าเป็นแน่ เรื่องสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสินะ”
ซูเหมยคาดเดาไม่ถูกว่าเหตุใดคุณหนูถึงได้ดูสุขใจนัก แต่นางรู้ดีว่าถ้าหากคุณหนูสนุก เช่นนั้นจะต้องมีคนที่โชคร้ายแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าโชคร้ายนั้นจะไปตกอยู่ที่ใคร มู่หรงซินเหลียนหรือ......
“เจ้ากลับดินแดนปีศาจไปจัดการทุกอย่างเสียให้เรียบร้อย ตอนกลับมาก็ให้ซู่เยว่มาด้วย ไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ!”
เพียงสายลมพัดผ่าน ร่างชุดดำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หญิงสาวแช่น้ำพุร้อนอย่างเกียจคร้าน แต่ดวงเนตรงามกลับไม่ละจากดวงจันทร์
เวลาผ่านไปไม่นาน นางก็มาถึงที่นี่ได้ห้าปีแล้ว ไม่รู้ว่าคนในภพนั้นจะมีโอกาสได้เห็นพระจันทร์ดวงงามเช่นนี้หรือไม่
หญิงสาวครุ่นคิดจนลืมตัว จู่ๆ ก็มีเสียงคนต่อสู้กันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ตายซะเถอะ หลงเจ๋อจิ่งเทียน! คนของเจ้าคงมาช่วยไม่ทันแล้ว! พวกเอ็งรีบเข้า! ใครฆ่าจิ้งอ๋องได้ จะมอบเงินรางวัลให้อย่างงาม!”
“อ่อนหัดอย่างพวกเจ้า อาจหาญทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ?”
ต่อให้น้ำเสียงหนักแน่นเพียงใด แต่ก็สามารถฟังออกว่าเขาบาดเจ็บสาหัส ฝั่งศัตรูที่มีทั้งคนทั้งกำลังมากกว่า อีกทั้งแต่ละคนนั้นล้วนมีฝีมือสูงส่งกว่ามากนัก
นางคงแช่น้ำเงียบๆ ไม่ได้เสียแล้ว หญิงสาวเดินเอื่อยเฉื่อยขึ้นมาจากน้ำ เช็ดหยดน้ำบนเรือนร่างเบาๆ จากนั้นก็หยิบผ้าโปร่งบางที่แขวนอยู่บนกิ่งไม้มาคลุมร่างงาม
“หลงเจ๋อจิ่งเทียน ยามปกติแล้วพวกข้าคงทำร้ายเจ้าไม่ได้ แต่ในยามนี้เจ้าถูกพิษมาหลายวัน ข้าไม่เชื่อว่าพวกข้าอู๋จี๋กงจะทำอะไรเจ้าไม่ได้! พวกเจ้าไม่ต้องไปฟังมัน ลงมือ! พวกมันมีกันแค่ห้าคนเท่านั้น”
มีเสียงสวบสาบดังขึ้นในความมืด คนชุดดำสิบกว่าคนรุมล้อมห้าคนนั้นไว้
“ท่านอ๋องรีบหนีไปก่อน ตรงนี้พวกข้าจะขวางไว้เอง!” ลู่หยวนปกป้องหลงเจ๋อจิ่งเทียนไว้ด้านหลัง “เหย่ เจ้าคุ้มกันท่านอ๋องหนีไป!”
“ท่านพี่ ข้าไม่ไป ท่านพาท่านอ๋องหนีไปเถอะ” ลู่เหย่ที่อยู่ข้างๆ ใช้ดาบตัดหัวคนชุดดำไปหนึ่งคน “ท่านพี่ พวกท่านรีบหนีไป!”
“พวกเจ้าไม่ว่าใครหน้าไหนก็หนีไปไม่ได้ทั้งนั้น!” ข้างกายของเม่ยซานั้นปรากฏร่างของสาวงามในชุดแดงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งร่าง “ศิษย์พี่ เรื่องแค่นี้ เหตุใดยังจัดการไม่ได้อีก”
“ศิษย์น้อง จิ้งอ๋องใช่จะธรรมดาเสียที่ไหน ฝั่งเราล้มตายไปหลายคนแล้ว”
“หึ! พูดตามตรงคือท่านมันไม่ได้เรื่อง! ดูฝีมือข้า!”
ร่างชุดแดงกระโจนเข้าหาลู่เหย่ที่อยู่ข้างหลงเจ๋อจิ่งเทียน ได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ในลำคอ ท้องของลู่เหย่ก็ได้แผลเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรู เลือดไหลออกมาราวกับน้ำ
ลู่เหย่คุกเข่าลงไปด้วยความความเจ็บปวด มือข้างหนึ่งใช้ดาบพยุงตัวเองไว้ไม่ให้ล้มลง มืออีกข้างหนึ่งกดจุดหยุดเลือดอย่างรวดเร็ว
“เหอะๆ ไม่มีประโยชน์หรอก กริชของข้าอาบยาพิษ” หญิงสาวชุดแดงยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น ฟันขาวสวยกับริมฝีปากแดงจัด มองดูแล้วช่างเหมือนกับนางมารที่ผุดจากขุมนรก
“เหย่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่หยวนเร่งรีบมาดูลู่เหย่ ถึงได้เห็นว่าริมฝีปากของเขากลายเป็นสีม่วงไปเสียแล้ว ใบหน้ามีกลุ่มควันสีดำกระจายอยู่
“นังปีศาจ ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เมื่อเห็นน้องชายบาดเจ็บ ลู่หยวนถึงได้ดึงดาบออกมา ฟันไปทางเจวี่ยซา แต่นางกลับโยกกายหลบไปได้
“หลงเจ๋อจิงเทียน พวกข้าแค่ต้องการหัวของเจ้า เจ้าจะให้องครักษ์ของเจ้ามารับเคราะห์ไปด้วยเพื่อเหตุใดกัน เพียงแค่เจ้ายอมให้พวกข้าจัดการเสียดีๆ พวกข้าจะปล่อยคนพวกนี้ไป ยาแก้พิษข้าก็ยกให้ได้!”
เจวี่ยซายืนเคียงข้างเม่ยซา คนหนึ่งชุดแดงคนหนึ่งชุดดำ ช่างดูเข้ากันยิ่งนัก เพียงแต่ชายในชุดดำนั้นอัปลักษณ์หาใดเปรียบ แต่หญิงชุดแดงนั้นงดงามมิใช่น้อย
ส่วนชายที่ชื่อหลงเจ๋อจิ่งเทียนถึงแม้จะบาดเจ็บหนัก แต่เขาก็ยังยืนอย่างผ่าเผย แม้ใบหน้าจะซีดขาว แต่รอบตัวเขาปกคลุมไปด้วยความเย็นชา จนไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้าใกล้
“ข้าอยากรู้นัก เป็นใครที่ต้องการสังหารข้า” หลงเจ๋อจิ่งเทียนพูดออกมาอย่างช้าๆ น้ำเสียงทุ่มต่ำน่าหลงใหล ไร้ซึ่งความสั่นสะท้านจากเหตุการณ์ตรงหน้า
“ฮ่าๆ!” เม่ยซาราวกับว่าได้ฟังเรื่องตลกขบขัน “หลงเจ๋อจิ่งเทียน รอเมื่อเจ้าลงนรก ยมบาลจะบอกเจ้าเอง ตายเสียเถอะ!”
ร่างของเม่ยซากลายเป็นกลุ่มควันสีดำ เป้าหมายของนางคือโจมตีทรวงอกของหลงเจ๋อจิ่งเทียน
ความเร็วของเขา แม้แต่ลู่หยวนไม่สามารถยับยั้งทัน
“ท่านอ๋อง!” เสียงตะโกนของลู่หยวนแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง เขาทำได้เพียงจ้องมองดาบของเม่ยซาที่ปักลงบนอกของหลงเจ๋อจิ่งเทียน
“เคร้ง”
ทันใดนั้น กลุ่มควันสีขาวก็ม้วนรัดดาบของเม่ยซา “เคร้งๆ” ดาบที่โดนกลุ่มควันขาวห่อหุ้มแตกหักจนกระจัดกระจาย ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง และกลุ่มคนชุดดำที่ล้มลงไปสามคน
“เจ้าเป็นใคร”
เม่ยซาโดนซัดกระเด็น ถอยหลังหลายก้าวถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง เขาจ้องมองไปยังหญิงสาวชุดขาวอย่างตกตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง นางสามารถซัดเขากระเด็นได้อย่างง่ายดาย หญิงสาวคนนี้เป็นใครกันแน่
“พวกเจ้า ทำลายความสงบของข้า”
หญิงสาวชุดขาวใช้นิ้วมือสางผมยาวอันเปียกโชกอย่างเกียจคร้าน นิ้วมือสางผ่านพร้อมด้วยควันขาว เส้นผมก็พลันแห้งสนิท ผมนิ่มสยายลงบนไหล่ ทิ้งตัวลงไปจนถึงข้อเท้า
ภาพนี้ ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกแปลกประหลาด แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของนาง เสียงน้ำลายที่หยดลงพื้นกลับบ่งบอกได้ดีว่าแท้จริงแล้วนั้นพวกเขาคิดเช่นไร
“ลูกพี่ นี่มันสาวงาม!”