webnovel

ตอนที่ 1 ที่นี่ที่ไหนกันเนี่ย!

"น้องรอง น้องรอง ทำเช่นไรดี"

ชายตัวสูงโปร่งร่างบางผิวหนังแทบติดกระดูก บนร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำยิ่งผิวขาวซีดมันยิ่งเด่นชัดอย่างน่าอนาถ มองดูน้องสาวที่สลบไสลตัวร้อนผ่าวแก้มทั้งสองแดงก่ำด้วยความกังวล

ท่านพ่อท่านแม่ก็ออกไปทำไร่แต่เช้ามืด ส่วนข้าก็อยู่บ้านคอยช่วยเหลือท่านย่าทำงานบ้านและดูแลน้องๆ เมื่อสองวันก่อนด้วยความหิวของน้องเล็ก น้องรองจึงแอบไปเอาหมั่นโถวในห้องครัวมาให้น้องเล็กหนึ่งลูก พอท่านย่าจับได้พวกเราก็โดนท่านย่าทุบตีอย่างหนักดีที่ตอนนั้นน้องเล็กออกไปเล่นกับเพื่อนเลยปลอดภัย แต่น้องรองน้องสาวเพียงคนเดียวของข้านางกับสาหัสถึงกับไข้ขึ้นสูงมาตั้งแต่วันนั้นจากการลงโทษที่ไม่เป็นธรรมของท่านย่า

"อย่ามัวแต่ยืดยาดอืดอาด ข้าใช้เจ้าไปให้อาหารหมูในคอกและเป็ดไก่ แต่เจ้ามานั่งพักผ่อนเฉื่อยชาอะไรอยู่ที่นี่!!"

นางหลี่ไช่หัวผู้เป็นย่าเห็นว่าหลานชายหายไปนานจึงเดินมาดูเห็นประตูห้องที่สามแง้มอยู่ นางจึงตรงดิ่งมาดูและได้เห็นหลานชายแอบมาอู้งานจึงตะคอกใส่อย่างหมดความอดทน

"หน้อยหน่ะ แกริอาจกล้าไม่ฟังคำสั่งของข้างั้นรึ!"

นางหลี่ไช่หัวง้างมือเตรียมจะตบสั่งสอน แต่หลานชายตัวดีกับอ้างว่าน้องสาวของเขาไข้ขึ้นสูงมากกว่าเมื่อวาน อยากให้ท่านย่าอนุญาตให้ไปเชิญท่านหมอเฉินมาดูอาการน้องของตน มีรึนางหลี่ไช่หัวผู้ขี้เหนียวจะยอมควักสักอีแปะเพื่อคนงานข้าทาสอย่างพวกเขา

"แกกล้าดียังถึงมาขอให้ข้าอนุญาตให้เจ้าไปเชิญท่านหมอมารักษาน้องขี้โรคของเจ้า วันๆเอาแต่กินกับกินงานการไม่รู้จักทำ กินเสร็จแล้วไปเที่ยวเล่นแทนที่จะรู้จักหน้าที่แล้วนี่ข้าต้องฉีกเนื้อเฉือนหนังตัวเองมาช่วยพวกแกด้วยหรือไง"

พูดจบนางก็สะบัดหน้าหนีและไม่ลืมที่จะตะโกนบอกให้เจ้าสามที่เป็นหลานคนที่สามของครอบครัวรีบๆไปทำงานเสียไม่เช่นนั้นจะถูกนางทุบตีอีกครั้ง

"น้องรอง เจ้านอนพักไปนะ ประเดี๋ยวพี่สามของเจ้าทำงานเสร็จจะรีบมาเช็ดตัวให้เจ้าอีกที"

เจ้าสามบิดน้ำออกจากผ้าหมาดๆแล้ววางบนหน้าผากของผู้เป็นน้องสาว แล้วลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมปิดประตูเบาๆเพื่อให้นางได้พักผ่อน ถึงแม้นางจะไม่ฟื้นขึ้นมาหนึ่งวันแล้วก็ตาม แต่เขาคอยหยอดน้ำข้าวต้มให้นางเพื่อหวังว่านางจะกลับมาแข็งแรงโดยไว

แอดดด~ 

เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบลงหลี่หลิวสาวน้อยวัยหกปีค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบาก

"เมื่อกี้นี่มันอะไรกัน ความทรงจำที่น่ากลัวนี่กำลังไหลทะลักเข้ามาในหัวของฉันอย่างบ้าคลั่ง ปวดหัวจังหรือไมเกรนฉันจะขึ้นอีกหรือเปล่าเนี่ย"

เสี่ยวเหมยที่ลืมตาตื่นเต็มที่แล้วเหลียวซ้ายมองขวาพบว่าที่ที่ตนอยู่ ณ ตอนนี้เหมือนภาพความทรงจำที่ได้รับมาเธอก็ยิ่งตกใจ มือเล็กๆเสื้อผ้าโบราณที่เก่าและมีรอยปะอยู่หลายแห่งมันดูโทรมมากแต่ก็สะอาดในระดับหนึ่ง พื้นห้องเป็นปูนสากๆ มีเสื่อหมอนสำหรับห้าคนในห้องแคบๆที่ไม่มีแม้แต่หน้าต่างเสี่ยวเหมยกุมขมับตัวเองทันที

"ฉันมาอยู่ที่ไหนกันเนี่ย อุ๊ย!!!"

เสี่ยวเหมยอุทานเมื่อพยายามจะลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำอันเลวร้ายจากการถูกทุบตีทำให้เธอเข้าใจได้ทันที เด็กนี่ตายเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหวส่วนฉันก็ไม่รู้ว่านอนหลับไปอีท่าไหนถึงได้มาโผล่อยู่ที่นี่ได้

เสี่ยวเหมยพยายามรวบรวมความทรงจำของเด็กน้อยคนนี้ กลายเป็นว่าเด็กคนนี้พึ่งอายุได้เพียงหกปี ชื่อหลี่หลิว เธอมีพี่ชายหนึ่งคนชื่อพี่สามแต่ชื่อที่เพื่อนๆเรียกกันคือหลี่จงอายุได้เก้าปี และยังมีน้องเล็กชื่อหลี่เฉินอายุสี่ปี พ่อมีชื่อว่าหลี่หงแม่มีชื่อว่าหวังลู่ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไปทางขาดแคลน ส่วนผู้นำของครอบครัวนี้คือปู่หลี่หวนเป็นสามีของนางหลี่ไช่หัว ท่านปู่และท่านย่ามีบุตรด้วยกันสามคน ลุงหลี่โจวคือพี่คนโตแต่งงานมีครอบครัวและมีลูกชายหนึ่งคนอายุสามปีโดยประมาณ ลุงหลี่มักใหญ่ใฝ่สูงจึงอ่านหนังสือเพื่อหวังเข้าเป็นข้าราชการแต่จนป่านนี้ยังสอบไม่ผ่านสักครั้ง แต่ด้วยการสนับสนุนจากท่านปู่และท่านย่าจึงทำให้ลุงโจวได้อ่านหนังสืออย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องงานไร่งานสวนจึงตกเป็นของท่านพ่อของเจ้าของร่างนี้ หลี่หงทำงานอย่างยากลำบากกับภรรยาเพื่อแบ่งเบาภาระท่านปู่ท่านย่าแต่กับโดนใช้งานเยี่ยงข้าทาส ทำงานเต็มที่แต่อาหารกับไม่เพียงพอ ทำให้ครอบครัวสองของหลี่หงดูเหมือนพวกขาดสารอาหาร และสุดท้ายหลี่เทียนบุตรชายคนเล็กแต่งงานมีครอบครัวและย้ายออกไปอยู่กับภรรยาและบุตรอีกสองคนชายหญิงได้รับมรดกจากท่านปู่ไปไม่น้อย เพราะเป็นลูกที่ท่านปู่ให้ความรักมากที่สุดก็ว่าได้ หลี่เทียนแยกตัวออกไปก็ทำไร่แล้วนำไปขายไม่ต่างจากบ้านท่านปู่นัก ทว่าดูโดยรวมๆแล้วทางนั้นสถานการณ์ดีกว่าทางนี้มากโข

"จิ๊ๆๆ ร้ายกาจๆ ท่านย่าผู้นี้เอาเปรียบครอบครัวข้าแถมยังใช้งานเหมือนช้างม้าแต่ไม่แม้นที่จะให้อิ่มท้อง"

เสี่ยวเหมยจับต้นชนปลายตามความทรงจำที่น้อยนิดแล้วถึงกับหัวเสีย ยุคนี่ช่างบ้าบออะไรแบบนี้แถมผู้นำครอบครัวอย่างท่านปู่ก็ปิดหูปิดตาไม่สนใจอะไรนอกจากการอ่านหนังสือ นี่คงเป็นแบบอย่างและแรงผลักดันทำให้ท่านลุงใหญ่อยากเป็นข้าราชการอย่างแน่นอน แต่ท่านลุงใหญ่ก็ปาเข้าสามสิบกว่าปีแล้วน่าจะปล่อยวางได้แล้วนะแถมดูจากความทรงจำลุงใหญ่ไม่เคยแม้แต่จะสอบผ่านเลยด้วยซ้ำ 

"ข้าต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ไม่เช่นนั้นละก็คนคงคิดว่าข้าถูกผีเข้าจนนำข้าไปเผาไฟเป็นแน่"

เสี่ยวเหมยในร่างของหลี่หลิวรู้สึกกระหายน้ำจึงลุกขึ้นเทน้ำในเหยือกมาดื่มอย่างช้าๆ ด้วยความรู้พื้นฐานในการดูแลคนป่วยทำในนางค่อยๆปรับสภาพร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ร่างกายนี้ไม่ได้ขยับเขยื้อนมาพักใหญ่จึงค่อนข้างจะชาตามแขนขาอยู่บ้าง หลี่หลิวกำมือเข้าออกช้าๆเพื่อกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน อาการปวดหัววิงเวียนค่อยๆลดลงเรื่อยๆ แต่ร่างนี้ขาดสารอาหารมากเกินไปแล้วผอมจนเหลือแต่กระดูกก็ว่าได้ผิวขาวซีดของเด็กน้อยมีรอยฟกช้ำดำเขียวอยู่หลายจุด นี่ไม่ใช่การสั่งสอนทั่วไปเสียแล้วนี่มันเป็นการฆาตกรรมทางอ้อมชัดๆ

"ไม่แม้นแต่จะพาไปหาหมอ หยกยายังไม่ให้กินอีกนี่ท่านย่าหตะกร้าไช่หัวผู้นี้คิดจะตัดเสบียงให้ลดลงหรือยังไง"

หลี่หลิวนำร่างอันเบาะบางเหมือนคนขี้โรคนอนลงที่นอนเดิมเพื่อฟื้นฟูร่างกายสักหน่อย ถึงจะออกไปข้างนอกคงมิวายถูกท่านย่าดุด่าว่าเสแสร้งแกล้งทำเป็นสำออยถึงจะหิวมากแต่การดื่มน้ำบ่อยๆก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง ตอนนั้นฉันพยายามจะลดน้ำหนักก็ใช้วิธีนี้แหละดื่มน้ำให้มากๆก็จะกินได้น้อยลงและอิ่มท้อง

"ข้าต้องมาอยู่ที่แบบนี้จริงๆหรือ"

หลี่หลิวบ่นเบาๆก่อนจะปิดตาลงด้วยความเหลือเชื่อ เคยอ่านนิยายมาก็มากไม่คิดมาก่อนว่ามันจะกลายเป็นเรื่องจริง นี่หรือว่าพวกนักเขียนที่เขียนๆกันได้ข้ามภพมาแล้วเอากลับไปเขียนเป็นนิยายกันนะ หลี่หลิวคิดไปมาจนเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

"พี่มาแล้ว"

พี่สามหรือหลี่จงที่เสร็จจากการให้อาหารสัตว์ที่เลี้ยงไว้เดินเข้ามาในห้อง หลังจากล้างไม้ล้างมือก็เอาผ้าที่หล่นอยู่ข้างๆน้องสาวลงกระมังน้ำใช้มือวัดไข้น้องรองอย่างห่วงใยก่อนจะวางผ้าบิดหมาดๆลงที่หน้าผากนางอีกครั้ง

"หลี่หลิวไข้เจ้าลดแล้วดีจริงๆท่านพ่อกับท่านแม่กลับมาท่านต้องดีใจแน่ๆ"

พี่สามยิ้มหน้าบานคืนก่อนเขานอนไม่หลับ ได้ยินเสียงท่านแม่นอนสะอื้นเบาๆทำให้ในใจของเขาอยู่ไม่สุข ถ้าเป็นไปได้ข้าที่เป็นพี่ใหญ่ก็อยากช่วยน้องรองให้มากกว่านี้ แต่เมื่อท่านย่าออกคำสั่ง ข้าทำได้แค่ปกป้องน้องรองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากได้กินอิ่มท้องสักหน่อยน้องเล็กคงไม่งอแง น้องรองก็คงไม่ต้องทำเช่นนั้นทำไมท่านย่าถึงใจร้ายแต่กับครอบครัวที่สองของเรานักนะ คิดแล้วเจ้าสามก็จุกที่อกไม่สามารถพูดออกมาได้

"อืม.."

หลี่หลิวรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองจึงค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นเด็กหนุ่มผอมโซนั่งยิ้มแข่งอยู่ข้างๆทำให้หลี่หลิวตกอกตกใจไม่น้อย

"ทะ ท่านพี่"

"ไม่ต้องลุกๆ เจ้าพักอีกหน่อยเจ้าหิวไหมนี่ใกล้เที่ยงแล้วข้าจะไปเอาน้ำโจ๊กที่ท่านแม่ทำตอนเช้ามาให้เจ้ากิน"

เจ้าสามเห็นใบหน้าซีดเซียวของน้องเล็กจึงถามด้วยความห่วงใย

"เจ้าค่ะข้าเริ่มหิวแล้ว แต่ว่าท่านย่าจะไม่โกรธหรือเจ้าคะถ้ารู้ว่าท่านไปเอาโจ๊กที่ทำไว้ให้ลุงใหญ่มากิน"

"เจ้าอย่าห่วงเลย ข้าเอามาแค่น้ำโจ๊กเท่านั้น ไม่ได้เอาข้าวมาท่านย่าไม่เคืองหรอก"

เจ้าสามยิ้มกริ่มแล้วลุกไปห้องครัว เขาตักน้ำโจ๊กที่เอาแต่น้ำจริงๆมาให้น้องรองได้ดื่ม น้ำในหม้อโจ๊กนี่มันจะพออิ่มได้อย่างไรกัน หลี่หลิวมองน้ำสีขุ่นที่รับมาจากพี่ชายที่ยิ้มไม่หุบแล้วดื่มรับรสชาติที่จืดชืดของมันอย่างจนใจ ขนาดเกลือในบ้านท่านย่าผู้นี้ยังไม่ให้ใส่มากด้วยกลัวจะเปลืองเงินทอง ถ้าประหยัดขนาดนี้ต้องมีเงินเก็บมากโขเลยแน่ๆว่าแต่ท่านย่าเขาไม่คิดจะเอามาจุนเจือครอบครัวสักหน่อยเลยหรือ จะพูดให้ถูกควรบอกว่าไม่แบ่งปันมาครอบครัวของนางเลย

"อร่อยใช่ไหม"

เจ้าสามมองหน้าน้องรองที่ซดน้ำโจ๊กจนหมดอย่างพอใจ

"เจ้าค่ะ"

หลี่หลิวยกน้ำที่พี่ชายให้แล้วดื่มตามน้ำต้มโจ๊กไปเพื่อล้างปาก น้ำต้มโจ๊กอะไรน้ำต้มข้าวซ่ะมากกว่าทั้งไร้รสชาติแถมยังไม่อิ่มท้องแม้แต่นิดเดียว แบบนี้ฉันจะเอาชีวิตน้อยๆนี้ให้รอดได้ยังกัน

"พี่ใหญ่ข้าอยากไปเดินเก็บผักป่า ท่านช่วยพาข้าไปได้ไหมเจ้าคะ"

หลี่หลิวจำได้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเชิงเขานัก มีหลายครอบครัวที่นอกจากทำไร่แล้วก็ยังล่าสัตว์ป่าด้วย ถึงแม้นานครั้งจะจับสัตว์ได้ก็ตามแต่มันก็คุ้มค่าที่มีเนื้อให้ได้กิน

"เจ้าพึ่งฟื้นตัว รอไว้พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหลังจากให้อาหารสัตว์เรียบร้อยแล้วดีหรือไม่"

เจ้าสามใช้มือเรียวบางลูบหัวน้องสาวด้วยความห่วงใยพร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นใจให้กับนาง

"ท่านพี่ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ข้านอนมามากแล้ว ท่านพาข้าไปเถอะนะ น๊าาาท่านพี่.."

หลี่หลิวจับมือพี่ชายที่ลูบหัวตนมาจับไว้ แล้วแกว่งไปมาเป็นการอ้อนวอน ฉันลงทุนอ้อนขนาดนี้ดูซิเขายังจะทนได้ไหม ในความทรงจำพี่ชายคนนี้รักน้องสาวมากและตามใจนางอยู่บ่อยครั้งเสี่ยวเหมยจึงใช้โอกาสนี้ออดอ้อนพี่ชายตัวผอมโซของนาง 

น้ำแช่ข้าวมันไม่อิ่มท้องเลยสักนิด ข้าต้องไปหาอะไรบนเขาดูอย่างน้อยพวกผักป่าผลไม้อาจช่วยได้บ้าง แต่ร่างกายนี้ก็พิลึกอยู่ๆพลังวังชาก็กลับเต็มเปี่ยมอาการวิงเวียนชาตามตัวหลังจากพักไปครู่หนึ่งก็มลายหายไป เหมือนมันไม่เคยเป็นเสียอย่างงั้น แต่นับเป็นเรื่องดีที่ฉันจะได้ออกไปดูโลกที่ล้าหลังนี้และสำรวจพื้นที่สักหน่อย

"ก็ได้ๆ แต่ข้าต้องไปบอกท่านย่าเสียก่อน"

"งั้นท่านก็รีบหน่อย ข้าจะเตรียมตัวรอนะเจ้าคะ"

"ตกลง ตามใจเจ้า"

หลังจากเจ้าสามลุกขึ้นเดินมาหน้าประตูก็หันไปมองน้องสาวด้วยความห่วงใย นางพึ่งหายไข้ข้าจะพานางไปดีหรือไม่นะ แต่ด้วยนิสัยของนางหากข้าไม่พาไปนางอาจแอบออกไปเองมิสู้ข้าไปด้วยจะดีเสียกว่า ปัญหาคือท่านย่าจะยอมหรือไม่นี่สิ ใช่ข้าต้องอ้างว่าไปหาผักป่าหากบอกพาน้องไปเที่ยวเล่นละก็มิวายโดนดุด่าแถมถูกใช้ไปผ่าฟืนอีกตามเคยทั้งที่ไม้ฟืนที่เก็บมาและผ่าไว้ก็มากโขพอแล้ว

"ท่านย่าขอรับ ตอนนี้น้องรองตื่นแล้ว"

"ข้าก็บอกแล้วว่านางเด็กนั่นมันไม่เป็นไร พวกเจ้านั่นแหละที่เป็นกระต่ายตื่นตูม"

เมื่อนางหลี่ไช่หัวได้ยินเช่นนั้นก็เอ็ดไปทีหนึ่ง

"คือว่าข้าอยากพาน้องไปเก็บผักป่าขอรับ บ้านเราไม่ได้ไปเก็บนานมากแล้วท่านว่า.."

"ก็ไปสิ ไปหามาเยอะๆล่ะ ถ้าได้มาเยอะจะได้เอาไปขายข้าจะได้มีเงินเก็บไว้ซื้อข้าวปลาให้พวกเจ้ากิน รีบไปซ่ะสิเดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน"

ไม่ทันที่เจ้าสามจะเอ่ยปากขอ ท่านย่าหลี่ก็อนุญาตแถมบอกให้เก็บมาเยอะๆ หลี่จงจึงกล่าวขอบคุณและไปตระเตรียมตะกร้าสะพายหลังกับมีดพร้าแล้วเดินมาเรียกหลี่หลิว ทว่าไม่พบจึงเดินไปหน้าบ้านเห็นนางสวมใส่รองเท้ารอเรียบร้อยจึงเดินเข้าไปหา

"พี่ใหญ่ มาเร็วๆดูสิข้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว"

หลี่หลิวที่อายุสามสิบแล้วต้องมาเรียกเด็กน้อยว่าพี่มันกระดากปากไม่น้อย แต่ด้วยร่างกายนี้เป็นน้องสาวของเขาและเราก็มาอยู่แทนที่นาง ดังนั้นจึงต้องหัดเรียกเช่นนี้ให้ชินเข้าไว้

"เจ้าจะเอามีดสั้นและเสียมขุดมันไปด้วยทำไมกัน"

เจ้าสามเดินมาถึงหน้าบ้านเห็นนางตระเตรียมมีดและเสียมเพื่อจะนำไปด้วยจึงถามอย่างสงสัย ปกติแล้วเราไปเก็บผักหนามไม่จำเป็นต้องมีมีดหรือเสียมด้วยซ้ำ แต่ที่เขาพกมีดพร้าไปด้วยเพื่อตัดผ่าทางที่อาจมีบ้างที่มีกิ่งหนามขวางทางจึงต้องนำมีดพร้าขนาดกลางไปด้วยก็เท่านั้น หลี่หลิวไม่ตอบอะไรแล้วดึงมือพี่ชายของเจ้าของร่างและเร่งเร้าให้เขาใส่รองเท้า ส่วนตนเอามีดสั้นที่มีปลอกมีดเหน็บข้างเอวแล้วมือขวาถือตรงกลางเสียมเดินนำหน้าชายสามไปก่อนอย่างเอาแต่ใจ

"ช้าหน่อยๆ รอข้าก่อน"

เจ้าสามเห็นเช่นนั้นจึงรีบนั่งลงวางตะกร้าสวมใส่รองเท้าเสร็จก็รุดหน้าไปหาน้องสาวพร้อมตะกร้าไม้ไผ่ที่มีมีดพร้าอยู่ด้วยวิ่งออกไป

"เจ้าจะรีบไปใย ดูเถิดพี่ลืมแม้แต่กระบอกน้ำแล้วเห็นไหม" 

เจ้าสามที่เร่งรีบตามน้องรองมาทว่ากับลืมสิ่งที่จำเป็นไปเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้น้องสาวของเขาคงต้องกระหายน้ำเอามากๆเป็นแน่

"ไม่เห็นจะเป็นไร เราก็แค่ไปตัดไม้ไผ่ที่ป่าริมลำธารก็ได้แล้ว"

เด็กน้อยวัยหกขวบพูดเป็นต่อยหอยเดินนำทางไปจนถึงลำธารตีนเขาแล้วบอกให้พี่ชายตัวผอมตัดไม้ไผ่ทำกระบอกน้ำ คาดไม่ถึงเลยว่าพี่ชายร่างบางของเจ้าของร่างนี้จะแข็งแรงไม่น้อยไม่นานก็ได้กระบอกมาสองอัน จากนั้นจึงพักดื่มน้ำริมลำธารแล้วเติมน้ำใส่กระบอกหาใบไม้ม้วนๆแล้วยัดปิดเป็นฝาจนพร้อม หลี่หลิวใช้มือน้อยๆของเจ้าของร่างนั่งยองๆช้อนน้ำขึ้นมาดื่มอย่างอารมณ์ดี นานแค่ไหนแล้วไม่ได้อยู่กับธรรมชาติแบบนี้ ในเมืองใหญ่ผู้คนวุ่นวาย มากหน้าหลายตา ร้อยพ่อพันแม่ ต่างจิตต่างใจแข่งแย่งชิงดีแถมยังมีแต่ปัญหารุมเร้า ใครจะไปคิดว่าการได้หนีจากเมืองวุ่นวายมันจะสบายใจแบบนี้กัน ไม่ต้องรีบเร่งแข่งขัน ไม่มีหัวหน้าค่อยบ่นนี่แหละสวรรค์ชัดๆ

"ไปกันเถอะ นี่ก็กินเวลามานานมากแล้ว"

"อื้ม ไปสิเจ้าค่ะ"

"ตามข้ามา เดินระวังๆด้วยเข้าใจหรือไม่"

"เจ้าค่าาา"

"ระวังพวกกับดักของนายพรานด้วยนะ หากพลาดพลั้งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้"

"ข้ารู้ๆ"

เจ้าสามที่เดินนำหน้าได้แต่คอยบอกน้องรองอย่างห่วงใย ถึงเขาจะเคยพาน้องรองขึ้นเขามาสามสี่ครั้งแต่ความปลอดภัยต้องมาก่อน เหมือนที่ท่านพ่อของเขาเคยพาเขามาและเตือนเขาอยู่บ่อยครั้งจนเขาชำนาญแล้วจึงปล่อยให้ขึ้นเขาเองได้

"ท่านรอข้าก่อน"

ด้วยสภาพอากาศเป็นใจพื้นบนเขาค่อนข้างชุ่มชื่นตามทางเดินถูกเปิดจนคล้ายถนนสายหนึ่ง หลี่หลิวเดินตามพี่ชายและคอยสอดส่องจนเจอกับกลุ่มเห็ดโคนเข้าจึงบอกให้พี่ชายหยุดรอ ส่วนนางวิ่งออกไปข้างทางที่มีต้นไม้พุ่มไม้เล็กๆอยู่เต็มไปหมดด้วยความตื่นเต้น

"เจ้าอย่าเดินมั่วซั่วแบบนั้น เดี๋ยวเจอกับดักเข้าจะได้รับบาดเจ็บเอานะ"

เจ้าสามเห็นน้องรองวิ่งหน้าตาตื่นจึงต้องรีบพูดห้ามปรามและก็ต้องตามนางไป  เห็นน้องรองนั่งย่อตัวลงและเอามีดสั้นออกมาค่อยๆงัดดอกเห็ดที่ทั้งจูมและบานอย่างพอใจเขาก็มองด้วยความสับสน

"น้องรองเจ้าทำอะไร"

"ท่านไม่เห็นหรือข้าเก็บเห็ดไงเล่า"

หลี่หลิวชูเห็ดที่ตนเก็บด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

"เห็ดอะไรกันกินแล้วจะตายไหม ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนเก็บเห็ดไปกินแล้วตายจากนั้นก็ไม่กล้ามีใครเก็บเห็ดพวกนี้ไปกินอีกเลย จะมีก็แค่เห็ดหูหนูดำเท่านั้นแหละที่คนนิยมกินกันเพราะมันปลอดภัยและทำซุปอร่อยมาก"

"พวกเขาไม่รู้มากกว่าว่าอันไหนกินได้หรือมีพิษ"

หลี่หลิวงัดดอกเห็นด้วยมีดสั้นทีล่ะดอกและอธิบายให้พี่ชายตัวน้อยฟังไปด้วย เมื่อเห็นน้องสาวดูมั่นใจขนาดนั้น เพื่อไม่ให้นางเสียกำลังใจเขาจึงมานั่งลงช่วยน้องเก็บแถมยังหาใบไม้ใหญ่มารองก่อนจะวางเห็ดใส่แล้วทำเป็นมัดๆได้สามมัดใหญ่ 

นี่มันอาหารป่ามื้อใหญ่ข้าต้องอิ่มท้องแล้วล่ะ เย็นนี้หากเป็นตามที่เจ้าสามบอกล่ะก็ ท่านย่าท่านปู่รวมทั้งลุงใหญ่คงไม่กล้ากินเมนูนี้อย่างแน่นอน หลี่หลิวยิ้มอย่างพอใจ