เสี่ยวหลานกินอาหารมากมายตรงหน้าจนหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยกสำรับถ้วยชามเดินออกจากกระโจมไปยังโรงครัวอย่างเงียบเชียบ ซึ่งยามนั้นหยุนจินเฉวียนกำลังฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องชายของตนในเวลาที่ผ่านมาจากเฉิงตงด้วยท่าทีใคร่ครวญ เป็นเหตุให้ไม่ทันได้สนใจความเคลื่อนไหวที่เกิดภายในกระโจมมากนัก
เมื่อเสี่ยวหลานเขาสำรับยกถ้วยชามมาถึงโรงครัว เขาได้อ้อมไปทางด้านข้างเป็นลานล้างภาชนะอย่างคุ้นเคย ด้วยเมื่อคืนเขาเพิ่งจะเสร็จงานจากที่นี่ ยามนี้ในลานถูกกองเต็มไปด้วยถ้วยชามที่เหล่าทหารกินไว้อีกครั้ง หากแต่ยังไม่มีผู้ใดมาล้างเขาจึงนั่งลงทำงานของตนเองเฉกเช่นที่เคยทำอยู่ทุกวัน
ในระหว่างที่เขากำลังครอบถ้วยชามที่ล้างเสร็จเรียบร้อยลงบนชั้นไม้ไผ่อยู่นั้น เฉิงตงพลันวิ่งกระวีกระวาดเข้ามาห้ามปรามเขาด้วยท่าทีร้อนรน
"คุณชายน้อย ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้"
เสี่ยวหลานเห็นยังเห็นทหารอีกหลายนายเดินตามหลังเฉิงตงมา ก่อนที่จะแยกย้ายไปยืนด้านข้างเผยให้เห็นท่านรองแม่ทัพที่เร่งฝีเท้าติตตามมา
"เฮ้อ...เจ้าช่างสั่งสอนน้องชายข้าได้ดียิ่งนัก" หยุนจินเฉวียนเห็นการกระทำของเสี่ยวหลานจึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิหัวหน้าพ่อครัว
"ท่านรองแม่ทัพ ข้าน้อยสมควรตาย ๆ" เฉิงตงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก รีบทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมทั้งโขกศีรษะหลายครั้งหลายครา
"พอ ๆ" หยุนจินเฉวียนเอ่ยห้ามด้วยความรำคาญใจ ก่อนก้าวเข้าไปใกล้ ๆ เสี่ยวหลาน จากนั้นจึงเหลียวมองรอบกาย
'อีกนิดเดียวงานข้าก็จะเสร็จแล้ว' เสี่ยวหลานยกถ้วยชามในมือเพื่อดึงดูดสายตาของท่านรองแม่ทัพ พลางทำท่าทางเพื่อบอกกล่าวให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้
"เสี่ยวหลานต้องการอะไร" หยุนจินเฉวียนหันไปถามเฉิงตงที่ยังคงคุกเข่าก้มมหน้าอยู่กับพื้น
"ข้าน้อยคาดว่า... คุณชายน้อยต้องการทำงานต่อขอรับ" เฉินตงเห็นว่าเบื้องหน้าของคุณชายน้อยมีถ้วยชามที่ล้างเสร็จแล้วจำนวนหนึ่งวางแช่อยู่ในถังน้ำ จึงคาดเดาเช่นนั้น
เสี่ยวหลานพยักหน้าแรง ๆ 'ใช่ ๆ ๆ อีกประเดียวก็เสร็จแล้ว เจ้าอย่ามาขวางข้า ข้ายังต้องไปหาบน้ำอีก' เขาทำไม้ทำมือชี้ไปยังถังน้ำที่วางอยู่ข้าง ๆ โอ่งใบใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่ข้างโรงครัว
ท่านรองแม่ทัพกลับคว้าถ้วยชามในมือของเขา จากนั้นจึงส่งให้กับพลทหารผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ ก่อนจะดึงมือของเขาขึ้นมาพลิกดูฝ่ามือ
"ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องมาล้างถ้วยล้างชามแล้วเข้าใจหรือไม่" หยุนจินเฉวียนกล่าวเสียงเข้มอย่างไม่ใคร่จะพอใจ เมื่อเห็นฝ่ามือของน้องชายที่เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กหยาบกร้านเช่นนี้
แม้เสี่ยวหลานมิใคร่จะเข้าใจว่าเขาทำงานได้ไม่ดีอย่างไร ถึงได้ถูกอีกฝ่ายสั่งห้ามเช่นนี้ แต่กลับพยักหน้าแรง ๆ เพื่อแสดงออกว่าตนเข้าใจและรอฟังคำสั่งใหม่อย่างใจจดใจจ่อ
"พวกเจ้า พาคุณชายน้อยไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย และดูแลให้ดี"
"ขอรับ" ทหารสองนายรับคำก่อนเดินตรงมาหาเขา
"คุณชายน้อย เชิญ"
เสี่ยวหลานมองไปทางพ่อครัวคราหนึ่ง ก่อนหันไปมองพลทหารทั้งสอง ซึ่งทุกคนต่างก็จับจ้องมาที่เขา
"เสี่ยวหลาน เจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากับพวกเขาก่อน จากนั้นค่อยตามข้าไปที่กระโจมท่านแม่ทัพ" หยุนจินเฉวียนเห็นท่าทางลังเลของเสี่ยวหลานจึงหันไปเอ่ยย้ำอีกครั้ง อีกฝ่ายจึงพยักรับ
เมื่อท่านรองแม่ทัพจากไปพร้อมทหารกลุ่มที่ติดตามมากลุ่มนั้น เสี่ยวหลานจึงหันกายมุ่งหน้าไปทางลำธารที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าด้านหลังโรงครัว
"คุณชายน้อย ท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ" เฉิงตงอีกอีกฝ่ายเดินจากไปยังทิศทางตรงข้าม พลันรู้สึกตกใจเป็นอย่างมารีบลุกขึ้นและติดตามคุณชายน้อยไปทันที โดยมีพลทหารทั้งสองนายเดินตามมาอย่างงงงวย
เสี่ยวหลานชี้ไปทางลำธาร
"ช้าก่อนขอรับ ช้าก่อน" เฉิงตงห้ามปรามหากแต่อีกฝ่ายกลับไม่หยุดเดิน เขาจึงเอ่ยเสียงแข็งเฉกเช่นเดียวกับเมื่อคราที่สั่งงานอีกฝ่ายในโรงครัว "หยุดก่อน" เสี่ยวหลานได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดฝีเท้าลงทันที เฉินตงถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนใจ"ท่านจะไปอาบน้ำที่ลำธารเฉกเช่นแต่ก่อนไม่ได้ ยามนี้ท่านต้องไปอาบที่กระโจมของท่านรองแม่ทัพ"
'ที่กระโจม? อาบตรงไหน?' เสี่ยวหลานไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อครัวกล่าวแม้แต่น้อย จึงได้แต่ยืนนิ่งมองอีกฝ่ายด้วยความฉงนสงสัย
"ท่านได้โปรดตามข้ามา ประเดี๋ยวข้าพาไป"
เสี่ยวหลานพยักหน้าให้ จากนั้นจึงติดตามหัวหน้าพ่อครัวไปอย่างเชื่อฟัง ด้วยเขามีความคิดว่า หากเชื่อฟังหัวหน้าพ่อครัวเขาจะมีข้าวกิน อีกทั้งอีกฝ่ายไม่เคยทำให้เขาเจ็บ
เมื่อเข้ามาถึงกระโจมที่พักของท่านรองแม่ทัพ เฉิงตงได้พาคุณชายน้อยเข้ามายังส่วนด้านในซึ่งมีฉากกั้นบังสาย ซึ่งด้านหลังฉากมีถังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่
"ท่านลงไปอาบในนี้ได้" เฉิงตงชี้เข้าไปในถังไม้ที่บัดนี้เติมน้ำไปแล้วครึ่งหนึ่ง "ข้าจะไปรอท่านอยู่ที่ด้านนอก เขาแล้วหันกายเดินออกไปยืนรออยู่อีกด้านหนึ่งของฉากกั้น
เสี่ยวหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงถอดชุดพลทหารที่ตนสวมใส่ออกแล้วหย่อนกายลงไปในถังอย่างรวดเร็ว เพียงหย่อยกายไปได้ครึ่งตัวเขาพลันลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตระหนก จากนั้นก็วิ่งออกไปหาพอครัวในสภาพเปลือยเปล่า
"เกิดอะไรขึ้นขอรับคุณชายน้อย" เฉิงตงที่เห็นสภาพและท่าทางของอีกฝ่ายพลันให้ตกใจเป็นอย่างมาก แม้ปากเอ่ยถามอย่างร้อนรน หากแต่มือยังคงหยิบคว้าเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนฉากกั้นมาคลุมกายให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหลานที่บัดนี้ใบหน้าซีดเผือดราวกับหวาดกลัวสิ่งใดพลันชี้เข้ายังหลังจฉาก พลทหารสองนายที่ยืนรอกับพ่อครัวประสาทเครียดขึงขึ้นมาทันที มือหนึ่งประทับไว้ที่ด้ามดาบก่อนแยกย้ายเป็นสองทางย่องอย่างระมัดระวังเข้าไปด้านหลังฉาก
"เฉิงตง ด้านในนี้ไม่มีผู้ใด" เสียงพลทหารผู้หนึ่งตะโกนบอกออกมาจากด้านใน เฉิงตงจึงเดินเข้าไปติดตามมาด้วยคุณชายน้อย
เมื่อมาถึงข้างถังไม้ใบใหญ่ เสี่ยวหลานจึงชี้เข้าไปในถังน้ำ พลทหารทั้งสองนายรวมทั้งพ่อครัวจึงก้มมองลงไปดูผืนน้ำด้านใน พลทหารผู้หนึ่งถึงกับชักดาบออกมาควานลงไปในน้ำ หากแต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
"ในน้ำไม่มีอะไรนี่ขอรับ"
เสี่ยวหลานจุ่มมือลงไปในน้ำคราหนึ่วด้วยความรวดเร็ว มือชักมือขึ้นมาพลางสะลัดมือให้พ่อดู
"อ้อ!" เฉิงตงพอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ จึงจุ่มมือลงไปในน้ำจากนั้นจึงเอ่ยถาม "น้ำร้อนไปหรือขอรับ"
เสี่ยวหลานขบคิดก่อนพยักหน้าแรงๆ พ่อครัวและพลทหารทั้งสองต่างพากันพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นพลทหารทั้งสองจึงแยกตัวออกไปก่อนหิ้วถังน้ำมาเติมน้ำในถังให้กับเขา และให้เขาทดสอบความร้อนของน้ำอยู่หลายครั้งหลายครา กว่าที่เขาจะลงไปอาบน้ำในถังไม่ได้ พลทหารทั้งต้องขนน้ำเข้ามาอยู่หลายสิบรอบทีเดียว และครานี้ยังมีพ่อคอยยืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ อีกทั้งหลังจากอาบน้ำเสร็ขอีกฝ่ายยังช่วยเขาแต่งตัวด้วยชุดผ้าไหมเนื้อดีอีกด้วย
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้แก่คุณชายน้อยเรียบร้อยแล้ว เฉิงตงจึงบอกให้พลทหารทั้งสองพาคุณชายน้อยไปส่งยังกระโจมของท่านแม่ทัพตามคำสั่งของท่านรองแม่ทัพ ส่วนเขาก็กลับไปทำหน้าที่ในโรงครัวเช่นเดิม
เสี่ยวหลานทำตามคำสั่งของพ่อครัวอย่างว่าง่าย แต่เมื่อพลทหารมาส่งเขาถึงหน้ากระโจม กลับให้เขาเดินเข้าไปภายในเพียงลำพัง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแต่เดินเข้าไปภายใน ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาไม่เคยเข้าพบท่านแม่ทัพมาก่อน
เสี่ยวหลานจำได้ว่า ผู้ที่เข้ามาพบท่านแม่ทัพจ หากไม่มียศตำแหน่งะต้องคุกเข่ากลางกระโจม ดังนั้นเมื่อเขาก้าวเข้าถึงกลางกระโจมจึงคุกเข่าลง ขณะกำลังจะโขกศีรษะคำนับพลันมีคนผู้หนึ่งเข้ามารั้งกายของเขาไว้ จากนั้นยังประคองให้เขาลุกขึ้น
"ไอ้เจ้าคนแซ่เฉิงมันสั่งสอนน้องข้าเยี่ยงไรกัน จึงได้ดูราวกับคนโง่งมเช่นนี้" หยุนจินเฉวียนว่ากล่าวอย่างเดือดดาล
เสี่ยวหลานเดินตามการจับจูงของท่านรองแม่ทัพไปยังเก้าอี้กที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ก่อนถูกกดไหล่ให้นั่งลงจากนั้นอีกฝ่ายจึงนั่งลงเคียงข้างกับเขา
"ฟังจากที่เจ้าเล่ามา นอกจากเสี่ยวหลานจะจำสิ่งใดไม่ได้แล้ว ข้าเกรงว่าเขาจะกลับกลายมามีนิสัยเฉกเช่นเด็กเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง" ท่านแม่ทัพกล่าวหลังจากเห็นสหายของตนพาน้องชายมานั่งเรียบร้อยแล้ว
"เปลี่ยนกลับไปเป็นเด็กเช่นนั้นหรือ" หยุนจินเฉียวทนคำอย่างไม่คาดคิด
"ถูกต้อง จากที่เมื่อครู่ข้าลองสอบถามหมอในค่ายอีกครั้ง ปรากฏว่าภายหลังจากเสี่ยวหลานฟื้นคืนสติขึ้นมา กว่าเขาจะสามารถกินอาหารหรือทำสิ่งใดได้ด้วยตัวเอง กลับต้องใช่เวลาเรียนรู้ไม่น้อย ท่านหมอยังบอกอีกว่านี่มิใช่อาการเจ็บป่วยหรือเสแสร้ง หากแต่เสี่ยวหลานนั้นทำไม่เป็นเสียมากกว่า"
"เช่นนั้นเสี่ยวหลานจึงมีโอกาสกลับมาพูดได้อีกครั้ง" หยุนจินเฉวียนพูดขึ้นอย่างมีความหวัง
"ข้ามั่นใจเช่นนั้น"
"ข้าเกรงว่า หากให้เสี่ยวหลานพักอยู่ที่ค่ายแห่งนี้ต่อไปไร้ซึ่งคนคอยดูแล ดีไม่ดีจะไม่ปลอดภัย"
"เช่นนั้นข้าจะให้คนไปส่งเสี่ยวหลานที่จวนดีหรือไม่"
"เสี่ยวหลานในยามนี้หลงเชื่อผู้คนได้ง่ายดายยิ่งนัก"
"เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะให้เฉิงตงกลับไปพร้อมกับเสี่ยวหลานดีหรือไม่ อย่างน้อยคนผู้นั้นก็เข้าใจการกระทำของเสี่ยวหลาน"
"คงต้องเป็นเช่นนั้น" หยุนจินเฉวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงตอบรับข้อเสนอของอีกฝ่าย
"หากไม่มีสิ่งใดแล้วเจ้าก็พาเสี่ยวหลานไปพักผ่อนเถิด อีกวันสองวันค่อยออกเดินทาง"
"แล้วท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อใด"
"สถานการณ์ที่ชายแดนช่วงนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แม้ทหารของแคว้นหลู่จะถอยทัพไปแล้ว แต่ก็ยังมิอาจวางใจ"
"เช่นนั้นหลังจากข้าเดินทางไปตรวจสอบหน้ายังด่านปัจฉิมเสร็จสิ้น ข้าจะมาเยี่ยมเยียนท่านอีกคราก่อนกลับเมืองหลวง"
"ได้ เจ้ากับเสี่ยวหลานกลับไปพักผ่อนเถิด"
เสี่ยวหลานไม่รู้ว่าคนทั้งสองพูดคุยเรื่องอันใดกัน เขาเข้าใจเพียงแต่ว่า เขาจะได้กลับไปทำงานกับเฉิงตงในอีกวันสองวันข้างหน้าพลันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนในยามนี้เขายังไม่ต้องทำงานอะไรทั้งสิ้น ด้วยท่านแม่ทัพอนุญาตให้เขาพักได้
"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ไปกันเถิดเสี่ยวหลาน"
เสี่ยวหลานพยักหน้าพลางเดินตามท่านรองแม่ทัพกลับไปยังกระโจมพักที่ตนเข้าไปอาบน้ำเมื่อครู่ ท่านรองแม่ทัพก้าวเข้าไปนั่งบนตั่งกลางกระโจมโดยดึงรั้งให้เขาเข้าไปนั่งข้าง ๆ พลางกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่ยยิ่งนัก
"เสี่ยวหลาน เจ้าต้องพยายามฝึกพูดให้มาก ๆ รู้หรือไม่" เขาพยักหน้ารับพลางเปล่งเสียงผ่านลำคอออกมา
"โอ๊ย โอ๊ย"
"นี่คงเป็นคำที่เจ้าพึ่งจะพูดได้ ใช่หรือไม่" เขาพยักหน้าอีกครั้ง
"ประเดี๋ยวเจ้าก็พูดได้ ข้าเชื่อมั่นใจตัวเจ้า เจ้าไม่ต้องรีบร้อนไป" เขาพยักหน้าอีก
"ท่านหมอบอกว่าเจ้าจำผู้ใดมิได้" เขาพยักหน้ารับ "ไม่เป็นไร ๆ พี่ใหญ่จะค่อย ๆ ช่วยเจ้าเอง" ท่านรองแม่ทัพพูดอย่างปลอบโยน จากนั้นจึงเอ่ยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้ฟัง
ตระกูลหยุนเป็นตระกูลขุนนางมาหลายชั่วคน ยามนี้เป็นรุ่นของยุนเยว่ซึ่งเป็นประมุขของจวน ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร มีฮูหยินสองคน ฮูหยินใหญ่นาม เถียนหนี นางมาจากตระกูลเถียนที่เป็นตระกูลบัณฑิต ซึ่งเป็นมารดาของหยุนหลาน หรือก็คือเสี่ยวหลาน
ฮูหยินรองนาม ชุนอี่ นางมาจากตระกูลชุนที่เป็นตระกูลพ่อค้า เป็นมารดาของ หยุนจินเฉวียน และ หยุนจิงลี่ พี่ใหญ่ และพี่รองของหยุนหลาน
แม้เถียนหนีจะเป็นฮูหยินใหญ่ หากแต่ไร้วี่แววการให้กำเนิดทายาท กระทั่งชุนอี่ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวจึงรักและเอ็นดูเด็กทั้งสองเสมือนลูกในไส้
เมื่อหยุนจินเฉวียนอายุสิบขวบปี หยุนจิงลี่ อายุเจ็ดขวบปี หยุนหลานจึงได้ถือกำเนิดเกิดมา ทำให้คุณชายน้อยเป็นที่รักและเอ็นดูของผู้คนในจวน ยิ่งกับหยุนจิงลี่ที่คอยดูแลเลี้ยงดูประหนึ่งแม่นมก็ไม่ปาน
"ส่วนเรื่องที่เจ้าแอบหนีมาหน้าด่าน ข้าล่วงรู้ว่าเจ้าชื่นชมในความสามารถของท่านแม่ทัพมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เพราะเหตุใดเจ้าจึงลอบเข้ามาในกองทัพนี้เช่นนี้ คงมีเจ้าเท่านั้นที่รู้"
เสี่ยวหลานที่ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของตน กลับยังทำตัวเฉยชาด้วยไม่รู้ว่าต้องรู้สึกเช่นไร การมีพวกเขาอยู่กับไม่มีมันจะต่างกันอย่างไร เสี่ยวหลานไม่อาจเข้าใจได้
"เฮ้อ… เพราะความซุกซนของเจ้า ทำให้ใบหน้าของเจ้าเป็นเยี่ยงนี้ ไว้กลับถึงเมืองหลวง ท่านแม่ใหญ่และท่านแม่ต้องหาหมอมารักษาใบหน้าให้เจ้าได้แน่นอน"
เสี่ยวหลานฟังพี่ใหญ่ของตนพูดคนเดียวไปเรื่อย เรื่องนั้นที เรื่องนี้ที เล่าเรื่องราวมากมายที่เขาไม่รู้ ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง จนเวลาล่วงเลยจนกระทั่งค่ำมืด ก็มีสำหรับอาหารเหมือนเมื่อตอนกลางวันมาให้เขากินอีกคราอย่างอิ่มหนำ
หลังจากที่เสี่ยวหลานได้มาพักอยู่ในกระโจมเดียวกับพี่ใหญ่ ยามนอนได้นอนบนที่นอนซึางปูได้ด้วยผ้าขนสัตว์แสนอบอุ่น ยามกลางวันไม่ต้องทำงาน ยามอาบน้ำไม่ต้องเดินไปอาบน้ำเย็น ๆ ในลำธาร ที่สำคัญได้ยามกิน ยังมีอาหารมากมายอีกทั้งยังมีเนื้อสัตว์ใสทุกมื้อ
และในทุกวันจะมีเฉิงตงคอยอยู่กับเขา สอนเขาพูด สอนเขาใส่เสื้อผ้ายาก ๆ หลาย ๆ ชั้นที่เขาไม่คุ้นเคยและไม่ใคร่จะชอบใจนัก ด้วยชุดพลทหารชุดเก่าของเขายังสวมใส่ง่ายกว่า ถึงแม้มันจะไม่อบอุ่นเท่าก็ตาม
"ตง ตง" เขาเอ่ยออกเสียงเรียกชื่อเฉิงตง
"ฮ่า ๆ ขอรับ ๆ อาตงมาแล้วขอรับคุณชายน้อย" เฉิงตงที่ล่วงรู้จากท่านหมอว่าคุณชายน้อยหาได้โง่งมไม่ แต่เป็นเพราะนิสับกลับกลายไปเป็นเด็กทำให้เขายิ่งเอาใจใส่อีกฝ่ายมากขึ้น อีกทั้งการที่อยู่ปรนนิบัตคุณชายน้อยผู้นี้หลายวันพลันให้รู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
"ตง ตง พี่ใหญ่ พี่ใหญ่"
"ท่านรองแม่ทัพออกไปลาดตระเวนรอบค่าย อีกเดี๋ยวก็กลับแล้วขอรับ" เฉิงตงตอบคำอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อได้ยินคุณชายน้อยพร่ำเรียกตนสลับกับท่านรองแม่ทัพราวกับเด็กหัดพูด
"มา มา พูด พูด"
"ขอรับ ๆ อาตงจะสอนคุณชายน้อยพูดนะขอรับ"
เฉินตงในวัยห้าสิบกว่าใช้วีวิตเพียงลำพัง ไร้ภรรยาและบุตร เป็นเหตุให้ยามที่วันทั้งวันค่อยปรนนิบัติดูแลคุณชายหยุนหลาน พลันรู้สึกผูกพันโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยามนี้ท่านแม่ทัพยังอนุญาตให้เขาไม่ต้องกลับไปทำงานที่โรงครัว จึงทุ่มเทความรู้ทั้งหมดเท่าที่ตนเองพอจะทำได้ ไม่ว่าจะสอนพูด สอนอ่านตัวอักษร สอนการใช้ชีวิตประจำวันให้แก่คุณชายน้อย ซึ่งคุณชายหยุนหลานผู้นี้หลับเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เรียนรู้และจดจำได้อย่างรวดเร็ว
เฉิงตงสอนคุณชายน้อยไปได้ไม่นาน ท่านรองแม่ทัพก็กลับเข้ามาในกระโจม
"พี่ใหญ่"
"เรียกพี่ใหญ่ได้แล้วหรือ แล้วเจ้ายังพูดสิ่งใดได้อีกบ้าง" หยุนจินเฉวียนกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ ความเหนื่อยล้าจะการขี่ม้าลาดตะเวนพลันหายไปราวกับปลิดทิ้ง
"ตง ตง" เสี่ยวหลานชี้ไปที่เฉิงตง "ทหาร" ชี้ไปที่พลทหารที่ติดตามหยุนจินเฉวียนเข้ามา จากนั้นเดินไปที่โต๊ะที่วางป้านชา "ชา" เขาเทชาลงในจอก "พี่ใหญ่ ดื่ม" แล้วส่งถ้วยชาให้หยุนจินเฉวียน
"ขอบใจเจ้ามาก" หยุนจินเฉวียนรับจอกชาพลางกล่าวอย่างดีอกดีใจ "เพียงแค่วันเดียวเจ้ากลับสามารถพูดได้เช่นนี้ พี่ใหญ่รู้สึกวางใจไม่น้อย"
"คุณชายน้อยจดจำอักษรได้บ้างแล้วขอรับ" เฉิงตงรีบรายงาน สร้างความยินดีให้แก่หยุนจินเฉวียนยิ่งนัก
"หือ? ดี ๆ ดียิ่ง"
"พี่ใหญ่ ดี ดี"
"ใช่ พี่ใหญ่ของเจ้าใจดี"
"ใจ ดี ใจดี"
เสี่ยวหลานทวนคำซ้ำไปซ้ำมา ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หยุนจินเฉวียนบอกคำ เขาก็พูดตาม โดยเฉิงตงคอยรินน้ำชาให้พวกเขาเป็นระยะๆ