webnovel

เด็กหนุ่มปริศนา

มหาทวีปเทียนหยุน ดินแดนแห่งจอมยุทธ์ที่กว้างใหญ่ไพศาล ดินแดนแห่งปลาใหญ่กินปลาเล็ก ดินแดนที่ตัดสินทุกอย่างได้ด้วยพลังอำนาจ

ในดินแดนแห่งนี้มีกฏเหล็กอยู่ข้อเดียว คือผู้ที่กำปั้นใหญ่กว่าคือผู้ที่มีเหตุผลมากสุด

เทียนหยุนประกอบด้วยแว่นแคว้นเล็กใหญ่ อาณาจักรมากมายและนิกายฝึกตนจำนวนมากที่ทั้งขึ้นตรงต่อกันและไม่ขึ้นตรงต่อกัน ขุมกำลังทั้งหลายต่างสะสมพลังเพื่อชิงความเป็นใหญ่หรือไม่ก็เพื่อความอยู่รอดของตนในโลกที่โหดร้ายแบบนี้

เมืองไม้คราม อาณาจักรลู่ซาน

เมืองเล็กๆด้านตะวันออกแห่งนี้กำลังคับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินทางเข้ามาเนื่องจากเมืองแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่คัดเลือกศิษย์ใหม่แห่งนิกายหมื่นกระบี่ในอีก2วันข้างหน้า

"นี่ๆ เจ้าได้ยินข่าวหรือเปล่า เจ้าหญิงกระบี่ประทะกับวิหคเพลิงครามที่จักรวรรดิฮัวเป่ย สู้รบกัน7วัน7คืน ในที่สุดเจ้าหญิงกระบี่ก็คว้าชัยชนะมาได้!"

"เจ้าหญิงกระบี่... แม่นางซวนหยวนหลิงเอ๋อร์คนนั้นน่ะหรอ!! ปีนี้อายุนางพึ่งเข้า30ปีเอง กลับมีความสามารถล้ำลึกถึงเพียงนี้เชียว..."

"ใช่แล้วล่ะ บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดแล้ว คงหาผู้เทียบเคียงนางยากแล้ว"

"นี่คงเป็นเหตุผลที่มีผู้เข้าคัดเลือกนิยายหมื่นกระบี่เยอะขนาดนี้สินะ"

"อืม หลังจากเหตุการณ์นี้ชื่อเสียงของนิกายหมื่นกระบี่ย่อมยิ่งใหญ่กว่าเดิมเป็นแน่"

เสียงผู้คนมากมายคุยกันเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นอาวุธ สมบัติลับหรือว่าหญิงงาม แต่ว่าเรื่องที่หนาหูที่สุดคงเป็นการต่อสู้ของซวนหยวนหลิงเอ๋อร์ เจ้าหญิงกระบี่แห่งนิกายหมื่นกระบี่และตงหลิน วิหคเพลิงครามแห่งนิกายเทพเพลิงผลาญฟ้า ทั้งคู่ต่างเป็นอัจฉริยะของนิกายมหาอำนาจทำให้ผลลัพธ์การต่อสู้นี้ยังกำหนดถึงทิศทางอนาคตของเทียนหยุนอีกด้วย

การต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือดกินเวลาถึง7วัน7คืน ในที่สุดตงหลินก็เป็นฝ่ายปราชัย

ชัยชนะตกอยู่ในมือของเจ้าหญิงกระบี่!!

ผลลัพธ์นี้เองทำให้ชื่อเสียงและอิทธิพลของนิกายหมื่นกระบี่ยิ่งขยายกว่าที่เคย กดขี่เทพเพลิงผลาญฟ้าและทิ้งห่างนิกายยักษ์ใหญ่ที่เหลือไม่เก็นฝุ่น

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ปีนี้การคัดเลือกศิษย์ใหม่ของนิกายจึงมีผู้คนสนใจมากกว่าปกติ

ท่ามกลางผู้คนที่คับคั่ง ปรากฏร่างๆหนึ่งสวมผ้าคลุมเก่าๆปิดบังตัวไม่อาจรูปร่างหน้าตาเดินไปกับฝูงชน แม้การสวมผ้าคลุมแบบนี้จะทำให้โดดเด่น แต่ว่าผู้คนกลับไม่รู้ถึงตัวตนของร่างนั้นเลย ร่างๆนั้นเดินไปเรื่อยๆจนมาถึงหน้าที่พักแห่งหนึ่ง คนกระแอ่มในลำคอสองสามครั้งแล้วก้าวเท้าเข้าไป

"ข้าต้องการห้องพักหนึ่งห้อง3วัน" ร่างในผ้าคลุมพูดกับพนักงานบริการ แม้เสียงจะเฉยชาไปบ้างแต่ก็คาดเดาได้ว่าเป็นเสียงของชายหนุ่ม

"ขอโทษขอรับนายท่าน เนื่องจากการคัดเลือกทำให้ห้องพักเราเต็มเกือบหมดแล้ว ส่วนห้องที่เหลือเป็นห้องอย่างดี ข้าเกรงว่า..." เสี่ยวเอ๋อร์มองร่างของชายหนุ่มหัวจรดเท้าพลางพูดอย่างเกรงใจ ในใจตนคงคิดว่าชายเบื้องหน้าคงไม่มีปัญญาจ่ายเป็นแน่

"เรื่องเงินข้าไม่มีปัญหา"แม้จะโดนดูถูกแต่ชายหนุ่มกลับไม่ถือสาพลางตอบกลับอย่างใจเย็น เสมือนว่าตนชินชากับปฏิกิริยาดูถูกแบบนี้อยู่แล้ว

"ถ้างั้น...ห้องพักอย่างดีสามคืน มีอาหารให้3มื้อ รวมทั้งสิ้นสิบเหรียญปราณม่วงสามสิบเหรียญทองขอรับ" เสี่ยวเอ๋อร์ดีดลูกคิดในมืออย่างว่องไว แม้จะแพงมากสำหรับสามัญชนแต่ราคานี้เหมาะสมแล้ว

"นี่เงิน ไม่ต้องทอน" ชายหนุ่มควักเงินออกมาสิบเหรียญปราณม่วงสามสิบเหรียญไม่ขาดไม่เกินยื่นให้เสี่ยวเอ๋อร์

"ขะ ขอบคุณขอรับ" เสี่ยวเอ๋อร์คิ้วกระตุกกับมุกของลูกค้าตรงหน้า ทว่าไม่อาจว่าอะไรได้ อย่างที่เขาบอกลูกค้าคือพระเจ้า ตราบใดที่จ่ายเงินครบเขาก็ไม่อยากขัดแย้งด้วย

หลังจากจ่ายเงินเสร็จสิ้นแล้วเสี่ยวเอ๋อร์ก็อาสานำทางพาชายหนุ่มมาที่ห้องพักชั้นบนสุด ห้องมีขนาดกว้างขวาง วิวนอกหน้าต่างหันเข้าใจกลางเห็นผู้คนคับคั่งสัญจรไปมา ที่สำคัญยังมีบ่อน้ำส่วนตัวอีกด้วย นับว่าคุ้มค่าแก่ราคาที่จ่ายไป

"ถ้างั้นยามพลบค่ำจะนำอาหารมาส่งนะขอรับ"พูดจบเสี่ยวเอ๋อร์ก็โค้งคำนับและเดินนอกไป ทื้งให้ชายหนุ่มใช้เวลาในห้องของตน

...

เมื่อได้อยู่คนเดียวแล้ว ชายหนุ่มเดินรอบห้องอยู่ครู่หนึ่งเป็นการสำรวจ หลังจากนั้นก็เดินไปที่เตียงแล้วถอดผ้าคลุมออก ร่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นชายหนุ่มในสีขาวสะอาด ผมสั้น ดวงตาสีดำสนิท ใบหน้าคมคายดูเย็นชา ไม่ แทนที่จะบอกดูเย็นยา ควรจะบอกว่าดูไร้อารมณ์ถึงจะถูก

ชายหนุ่มยืนหลับตาซักพักแล้วเดินไปที่ระเบียง สายตาทอดไกลยังเส้นขอบฟ้า

"โม๋ซิน ในยามนี้ถึงเวลาที่เจ้าบอกแล้วใช่ไหม" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาโดยสายตายังไม่ละจากเส้นขอบฟ้าที่ค่อยๆหายไป

"ขอรับนายท่าน ขอเพียงท่านได้รับเข้าเลือกเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ บัดนั้นแผนการของนายท่าน ไม่สิ แผนการพวกเราก็ใกล้ความจริงอีกขั้นหนึ่งแล้ว"

ในความว่างเปล่า เสียงๆหนึ่งตอบกลับชายหนุ่มดังขึ้นตอบชายหนุ่ม เป็นเสียงที่ดูเจ้าเล่ห์และอันตรายราวกับปิศาจผู้ล่อลวงผู้คนให้ทำตามสิ่งที่มันต้องการ

"หึ แผนของเจ้าน่ะสิไม่ว่า" ได้ยินคำตอบของเสียงชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าครั้งแรก เป็นสีหน้าเย้ยหยันราวกับรู้อยู่แล้วถึงนิสัยเจ้าของเสียง

"หึหึหึ อย่าพูดอย่างั้นสินายท่านจางหลิน ท่านก็รู้ว่าเราลงเรือลำเดียวกันอยู่แล้ว" ปิศาจไม่สะทกสะท้านกับเสียงเย้ยหยันของผู้เป็นนาย

"...."

ครานี้ชายหนุ่มไม่ตอบกลับอะไร คนเพียงจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้า

ที่บัดนี้ถูกราตรีกลืนกินกลายเป็นความมืดมิดไปเสียแล้ว