หลังจากตุ๊ดตู่นิ้วโป้งมือขวาหายเป็นปกติ และกระดุกกระดิกได้เป็นปกติแล้ว ตุ๊ดตู่ก็หยุดเกเร หยุดรังแกเพื่อน ว่างเป็นต้องมานั่งเล่นอยู่กับมูมู่ที่บ้านของดร.นิลลี่
หลายวันผ่านไป ผู้ใหญ่บ้านก็วิ่งอุ้มเด็กชายตัวน้อยอายุประมาณ 4 ขวบ ท่าทางหมดสติมาหาที่บ้าน พร้อมกับแม่ของเด็กคนนั้น สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านดูกังวลอย่างมาก ส่วนแม่ของเด็กนั้นก็ร้องไห้มาตลอดทางเพราะดูจากดวงตาทั้งสองที่บวมหนักมากนั่นเอง
ยังไม่ถึงหน้าบ้านเลยเพียงเข้าเขตบริเวณบ้านก็ได้ยินเสียงผู้ใหญ่บ้านตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือว่า "แม่หมอกับหมอประหลาดอยู่ไหม ช่วยไอ้ด๋วนหน่อยครับ พ่อหมอเอาไม่อยู่"
"เข้ามาในห้องตรวจก่อนค่ะ พ่อหลวง ใจเย็นๆ เด็กเป็นอะไรมาคะ"
"ไอ้หนูไม่รู้โดนงูอะไรกัดมาค่ะ แม่หมอ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว" แม่ของไอ้ด๋วนรีบตอบอย่างกระหืดกระหอบ
"เอาไปให้พ่อหมอดูแล้ว เป่ายาและโปะยามา" พ่อหลวง หรือ ผู้ใหญ่บ้านช่วยตอบ
"กลับไปอาการมันไม่ดีขึ้น นี่อยู่ๆ ก็หลับไป จึงวิ่งพามาหาแม่หมอนี่แหละจ้า ช่วยลูกชั้นด้วยนะ แม่หมอ" เสียงแม่ของเด็กร้องขอชีวิตลูก พร้อมเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
"แล้วแผลอยู่ที่ไหน ไปทำอะไรถึงถูกงูกัด มีใครเห็นตัวงูไหม" ดร.นิลลี่รีบซักประวัติ
"มันโดนกัดที่ขาซ้ายจ้า เห็นมันไปวิ่งเล่นอยู่ในป่ากับพี่ๆ มัน แล้วก็โดนกัด พ่อมันได้ยินรีบเข้าป่าไปจับงูได้ด้วย"
"แล้วเอางูมาไหม"
สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนมาจากประตูบ้านว่า "เอามาจ้า นี่ๆ " เสียงพ่อของไอ้ด๋วนนั่นเอง
"ไหนๆ แม่หมอขอดูหน่อย"
สภาพของงูนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นลูกงูตัวน้อย ตัวสีน้ำตาลมีเกล็ดๆ ไม่เห็นแม่เบี้ยหรือลายที่บ่งบอกว่าเป็นงูจงอางหรืองูเห่า แต่ดูอาการที่ไอ้ด๋วนหมดสติขนาดนี้ก็แปลกใจ ดร.นิลลี่จึงเอางูให้ มูมู่สแกนดูในข้อมูลระบบเอไอ ที่ได้ใส่ชนิดของงูไว้เท่าที่มีประวัตินั้น ระบบก็บอกไม่ได้ว่าเป็นงูอะไร เพราะเป็นงูตัวเล็ก แต่ด้วยความไม่สบายใจ แม่หมอดร.นิลลี่ ก็ขอนำตัวเด็กมานอนไว้ที่บ้าน ซึ่งมีห้องเฝ้าดูอาการที่พร้อมทำหัตถการบางอย่างได้
พร้อมทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด แล้วหันมาบอก มูมู่ "เจาะเลือดและเปิดเส้นหน่อยมูมู่"
มูมู่ รีบเข้าไปที่ตัวเด็ก เปิดที่ท้องและกระเป๋าพยาบาลข้างตัว หยิบสายรัดแขน รัดไปที่ต้นแขนของเด็ก หลังจากนั้นก็ ส่องแสงสีฟ้าออกจากตาไปที่แขนบริเวณที่ต้องการจะเจาะเลือด ก็จะเห็นเส้นเลือดเป็นทางสีน้ำเงิน หลังจากนั้นก็ทำการใช้เข็มเพื่อเปิดเส้น การเปิดเส้นศัพท์ที่หมอและพยาบาลชอบใช้กัน คือการเปิดเส้นเพื่อให้น้ำเกลือนั่นเอง แล้วนำกระบอกเก็บเลือดเจาะเลือดไอ้ด๋วนมา 3 หลอด หลังจากนั้นก็ใส่สายน้ำเกลือเข้าไปกับกระบอกน้ำเกลือ ใช้สมองอัจฉริยะ คำนวณปริมาณน้ำเกลือและปรับให้ตามอาการของเด็ก
"อะดรีนาลีน 1 แอมป์นะ เด็กยังหายใจเองได้ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หัวใจยังเต้นได้แต่เบา และความดันต่ำ ให้น้ำเกลือกับอะดีนาลีนไปก่อนนะ มูมู่" อะดรีนาลีนที่หมอนิลลี่บอกคือยาช่วยกระตุ้นหัวใจ จะให้เพื่อกระตุ้นการทำงานของหัวใจเมื่อมีภาวะช็อก หรือ ภาวะที่หัวใจทำงานได้แย่ลงนั่นเอง
"เลือดไปตรวจหาค่า พีที พีทีที บียูเอ็น เครียอะตินิน การทำงานของตับ อิเล็คโตไลท์" ดร.ยังคงสั่งงานมูมู่ ต่อไป โดยที่มีตุ๊ดตู่ ผู้ใหญ่บ้าน พ่อแม่ของไอ้ด๋วน ยืนฟังอย่างงงๆ
สักพักมูมู่ ก็เดินเข้าไปที่ห้องปฏิบัติการนำหลอดเลือดทั้งหมดเข้าเครื่องอัตโนมัติ เพื่อทำการตรวจเลือด และออกมาช่วยดร.นิลลี่ ต่อไป
"ผู้ใหญ่ พ่อแม่คะ กลับไปรอที่บ้านก็ได้ค่ะ ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี่ยวหมอจะดูแลให้ แล้วค่อยกลับมาพรุ่งนี้เช้าก็ได้ค่ะ รับรองว่าจะดูแลไอ้ด๋วนเป็นอย่างดี ให้ปลอดภัย"
แล้วทั้ง 3 คนก็เดินออกจากห้องสังเกตอาการและกลับบ้านไป
"มูมู่ ทำจดหมายถึงหมอสุดสุด ที่สถานเสาวภาหน่อย แล้วรีบบินเอางูตัวน้อยนี้ไปให้เขาดู" ดร.นิลลี่หันมาสั่ง มูมู่ หมอสุดสุด เป็นเพื่อนสนิทที่จบแพทยศาสตร์มาพร้อมกับหมอนิลลี่นั่นเอง ปัจจุบัน สุดสุดทำงานอยู่ที่สถานเสาวภา ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความชำนาญในการแยกแยะชนิดงู พร้อมมีเซรุ่มสำหรับรักษาคนไข้ที่ถูกงูกัดที่ดีที่สุดของประเทศไทยนั่นเอง
แล้วมูมู่ ก็หุบแขนทั้ง 2 ข้างเข้าข้างตัว แล้วก็มีปีกกางออกมาแทน และก็บินไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มีสัญญาณดังขึ้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องสังเกตอาการดังขึ้น ดร.นิลลี่เดินไปเปิดหน้าจอ เพื่อทำเทเลคอนเฟอเรนซ์กับสุดสุดเพื่อนรัก
"เฮ้ย นิลลี่ไม่เจอกันนาน เจอทีนี่เอางานยากมาให้เลยนะ" ภาพและเสียงของสุดสุด ผ่านมาทางจอคอมพิวเตอร์ เพื่อทักทายกันแบบเพื่อน
"แหม ก็คิดถึงไงเลยส่งเคสยากไปให้ เป็นไงวะ บอกได้ไหมว่าเป็นงูอะไร เด็กอาการแย่สุดสุดเลยหว่ะ นี่ ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนาที มีหวังช่วยไม่ไหวหว่ะ"
"ระดับหมองูอันดับหนึ่งของประเทศไทย งูตัวน้อยแค่นี้มีหรือจะดูไม่ออก ดูถูกกันไปหน่อยแล้ว แล้วเด็กมีอาการทางระบบประสาทเป็นอัมพาตยังวะ เออลืมไปเด็กมาแบบกึ่งโคม่า แกคงตรวจระบบประสาทยังไม่ได้ ซวยสุดสุดหว่ะ โดนงูจงอางเลยหว่ะ แต่ดวงดีอยู่อย่างคือเป็นงูเด็กพิษยังน้อยอยู่ยังแค่โคม่า ไม่คางเหลืองตายไปก่อน เดี่ยวส่งเซรุ่มไปให้ เด็กน้ำหนักเท่าไหร่วะ"
"น้ำหนักประมาณ 10 กิโลได้ เออ แต๊งก์หวะ จัดเซรุ่มมาเต็มที่หน่อยนะ ใส่พุงไอ้มูมู่ หุ่นที่ส่งไปหาแกหน่ะ ท้องไอ้มูมู่มันมีตู้เย็นอยู่ ตามนั้น ไว้คุยกันใหม่ รีบไปดูเด็กก่อน"
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป มูมู่กลับมาพร้อมเซรุ่มแก้พิษงูจงอางที่อยู่ที่พุง พอส่งเซรุ่มเสร็จ ก็เดินไปอ่านค่าผลแลบที่ตรวจเสร็จทั้งหมดพอดี เอามารายงานดร.นิลลี่ที่ดวงตา โดยได้ทำการแปลผลมาหมดแล้ว ซึ่งแย่หน่อยตอนนี้ไอ้ด๋วนเริ่มมีภาวะไตวายเฉียบพลัน ซึ่งต้องรีบทำการล้างไตโดยด่วน
"ให้เซรุ่ม พร้อมทำการเตรียมเซ็ทล้างไต และเปิดเส้นทำการล้างไตเลย"
หลังจากสั่งการรักษาทั้งหมดเสร็จหมอนิลลี่ก็เข้าไปดูอาการของไอ้ด๋วนอีกที พร้อมกับบ่นเสียงเบาๆ ว่า "เพี้ยง ไอ้หนู ขอให้แกรอดทีเถอะ แม่แกห่วงแกมาก"
ระหว่างที่รอดูอาการเพราะพึ่งเริ่มให้การรักษาไปนั้น ตุ๊ดตู่ที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างๆ ไม่ยอมไปไหน เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่เอ่ยปากถามแม่หมอของเขาไปว่า
"พี่พี่ ไอ้ภาษาแปลกๆที่พี่พูดกับไอ้มูมู่นี่มันแปลว่าอะไรอ่ะ ผมฟังไม่เข้าใจเลย อะ... อะไรก็ไม่รู้นั่นอะ"
"อ้อ ลืมไปว่ามีเจ้าหนูจำไมเดินอยู่ข้าง ๆ ยุ่งห่วงน้องอยู่เลยไม่ได้คุยด้วย อ้าวเดี๋ยวจะสอนให้ทีละคำ ไปเอาสมุดมาจดนะ นี่คือศัพท์เฉพาะทางการแพทย์ อีกหน่อยจะได้ฟังพี่พูดเข้าใจ"
"ศัพท์คำแรก อะดรีนาลีน จริงเป็นสารในร่างกายที่ช่วยทำให้หัวใจเต้นเร็วนั่นเอง พอมาทำเป็นยาก็เลยเป็นยากระตุ้นหัวใจเวลาที่หัวใจหยุดทำงานหรือกำลังจะหยุดทำงาน"
"ตัวต่อไป แอมป์ หมายถึงขวดยาที่เป็นหลอดแก้ว แบบนี้ไง"
"อ่อ มีคำไหนสงสัยอีกอ่ะ จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรไปบ้าง"
"พีพี ทีที บีบี อะไรก็ไม่รู้ครับผมจับใจความไม่ทัน ได้มาแต่คำว่า พีพี"
"ฮา ฮา ฮา" นิลลี่หัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า "ตุ๊ดตู่ปวดฉี่หรือคะ ถึงพูดว่าพีพี พีพีแปลว่า ฉี่คะ"
"เปล่าสักหน่อย" พร้อมส่งค้อนมาให้หนึ่งอัน และแก้มป่องน่าเอ็นดู
"เขาเรียกว่า พีที คะ ตุ๊ดตู่ พีที กับพีทีที เป็นการตรวจดูว่าเลือดจะหยุดไหลเมื่อไหร่ ถ้าค่าตัวเลขเยอะ ๆ แสดงว่าเลือดหยุดไหลช้านั่นเอง เข้าใจเปล่านี่ ตาใสเชียว"
"เข้าใจสิฮะ แหม"
"ส่วน เครียอะตินิน บียูเอ็น เป็นการตรวจว่าไตทำงานดีอยู่ไหม และอิเลคโตรไลท์ เป็นการตรวจแร่ธาตุที่จำเป็นของร่างกายว่ามีปริมาณปกติ ไหม"
"วันนี้เอาเท่านี้ก่อนเนอะ มีอะไรมาถามใหม่พรุ่งนี้นะ วันนี้กลับบ้านก่อนเถอะฟ้ามืดแล้ว พี่ต้องเข้าไปดูน้องที่ถูกงูกัดต่อ"
"ฮะ กลับก่อนก็ได้ บ๊ายบาย พรุ่งนี้มาใหม่ แบๆๆๆๆ"
แล้วนิลลี่ก็เรียกมูมู่ให้เดินเข้าไปดูอาการไอ้ด๋วนต่อ คืนนั้นเป็นอันไม่ได้หลับได้นอนกันหมอ 1 คนกับหุ่นยนต์อีก 1 คน เหมือนปาฏิหาริย์มีจริง ไอ้ด๋วนหลังจากได้รับการรักษาอาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งรุ่งเช้าแม่พ่อพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านก็มาถึง เด็กน้อยก็พื้นพอดี
หมอรีบทำการตรวจร่างกาย พบว่าเด็กยังมีอาการแขนขาอ่อนแรง ลักษณะของอัมพาตอยู่เล็กน้อย จึงได้บอกพ่อและแม่ไปว่า
"เข้ามาหาน้องพร้อมกันได้คะ ตอนนี้น้องรู้ตัวแล้ว แต่ยังมีแขนขาอ่อนแรง ซึ่งเป็นผลของพิษงูจงอาง เล็กน้อย"
"คุณพระ จงอางเลยหรือคะ" เสียงแม่ไอ้ด๋วนตอบมาอย่างคนตกใจ มาก
"ดีที่ผมจับมันได้ ไม่โดนกัดไปอีกคน นี่พิษมันแรงนัก" พ่อไอ้ด๋วนตอบมาอีกคน
"โชคดี ที่มีแม่หมอไม่งั้น ไอ้ด๋วนไม่รอดแน่ ขอบคุณนะครับ ผมในฐานะพ่อหลวงของหมู่บ้าน ต้องขอโทษที่ไม่ยอมรับแม่หมอแต่แรก นี่ถ้าแม่หมอไม่อยู่ที่นี่ คงไม่มีเรื่องดีดี แบบนี้" ผู้ใหญ่บ้านซาบซึ้งกับฝีมือการรักษาของ ดร.นิลลี่มาก
"ไม่เป็นไรคะ หมอเต็มใจช่วย เป็นอาชีพของหมออยู่แล้ว"
"เดี๋ยวยังไงหมอขอรับไอ้ด๋วนไว้ที่นี่ดูอาการอีกสัก 2-3 วันนะคะ ให้หายอัมพาตและอาการคงที่ก่อนค่อยกลับบ้านไป"
เย็นวันนั้น ตุ๊ดตู่ก็มาเล่นที่บ้านของนิลลี่เป็นปกติ พร้อมเข้าช่วยดูแลน้องด๋วนด้วย นั่งฟังหมอสั่งมูมู่ ได้ยินว่า
"มูมู่วัดไวทัลไซน์น้องหน่อย ดูปัสสาวะด้วย ตรวจค่าเครียอะตินินอีกหน่อยว่าเป็นไง"
"ไวท่าน นี่อะไรอ่ะพี่หมอ" ตุ๊ดตู่ เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว
"ไวทัลไซน์จ้า หมายถึงสัญญาณการมีชีวิตของคน มีการวัดการเต้นของหัวใจ การดูการหายใจ และการวัดความดันเลือดจ้า ซึ่งต้องวัดเป็นประจำวันละ 3-4 ครั้ง เพื่อดูว่าน้องปลอดภัยไหม ส่วนไตนั้นเนื่องจากน้องมีไตวายเลยต้องดูบ่อย ๆ ว่าดีหรือแย่ลง"
"แล้วไอ้ไตวายที่พี่เรียกนี่มันอะไรอ่ะ"
"ไตวายหรือคืออาการที่ไตมันทำงานแย่ลงไง เออเอ็งนี่ช่างซักช่างถามจริง"
"ไปไปกลับบ้านได้แล้วพรุ่งนี้มาใหม่ ไว้พรุ่งนี้จะสอนการตรวจไวทัลไซด์ดีไหม จะได้ไม่ต้องใช้มูมู่ทำ ใช้เราทำแทนนี่แหละ"
"เอาครับ เดี่ยวพรุ่งนี้จะมาตั้งแต่กลับจาก โรงเรียนเลย ขอบคุณครับ"
เย็นวันรุ่งขึ้น ไอ้ตุ๊ดตู่รีบมาตั้งแต่ 4 โมงกันเลย แล้วก็วิ่งมาบอกว่า "พี่พี่ ไวท่าน ไวท่าน อะ อย่าลืมนะ"
"ไวทัลไซน์ พูดใหม่ตามพี่ช้า ๆ นะ ต้องเรียกให้ถูกต้องก่อน ไม่งั้นไม่สอน"
"ไวท่าน"
"ไม่ใช่ ไวทัลไซน์ ดูลิ้นกับริมฝีปากพี่หมอนี่"
"ไวทัล...ไซด์"
"เอ้อ อีกนิดเดียวเกือบได้แล้ว เอาใหม่อีกรอบซิ"
"ไวทัล..ไซน์"
แปะ แปะ พร้อมเสียง "ตบมือให้ ได้แล้วนี่ เก่งสุดยอด"
"เย้ๆ ได้แล้ว ได้แล้ว"
"มูมู่ ไปเอาเทอร์มอมิเตอร์กับ บารอมิเตอร์มา จะสอนไอ้ตุ๊ดตู่มันวัดไวทัลไซน์" เมื่อหันมาเห็นนัยน์ตาของตุ๊ดตู่ที่สงสัยกับศัพท์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว นิลลี่ก็แอบอมยิ้มในใจ เมื่อมูมู่เอาเครื่องมือมาถึง นิลลี่ก็เลยบอกว่า
"นี่นะ เทอร์มอมิเตอร์ หรือปรอทวัดไข้นั่นเอง เอาไว้วัดอุณหภูมิคนไข้" พร้อมหยิบเทอร์มอมิเตอร์ส่งให้ตุ๊ดตู่ดู
"ส่วนนี่บารอมิเตอร์ หรือเครื่องวัดความดันเลือดจ้า" ส่งที่วัดความดันไปให้ตุ๊ดตู่ลองถือดู
"อ้าวเดินไปที่เตียงไอ้ด๋วนกัน จะได้ไปวัดให้น้องกัน และจะได้ดูด้วยว่าน้องดีขึ้นยัง"
"ทำอย่างนี้นะ การวัดไข้" หมอนิลลี่ชอบใช้ปรอทวัดไข้ที่ทำจากปรอทจริงๆ เพราะให้ค่าที่เชื่อมั่นได้มากกว่าแม้จะใช้เวลาในการวัดนานกว่า หมอหยิบปรอทมาสาธิตให้ตุ๊ดตู่ดู ด้วยการสลัดปรอทให้มาอยู่ที่ปลายด้านล่างขีดอันสุดท้าย พร้อมบอกให้ตุ๊ดตู่สังเกต แล้วก็เอาเข้าไปสอดที่รักแร้ไอ้ด๋วน แล้วจับเวลาไปสัก 4 นาที เอาออกมาดูค่าที่ได้
ต่อด้วยหยิบเครื่องวัดความดันของเด็กมาสาธิตให้ดูว่าให้เอาแขนเข้ามาในปลอกแขนแบบนี้ แล้วกดเครื่องวัดแบบนี้ รอให้เครื่องหยุดแล้วอ่านตัวเลข แล้วก็ให้ตุ๊ดตู่มาลองทำกับตนเอง จนทำได้ถูกต้อง
"ไป ไป เรียนเสร็จแล้ว ไหนบอกพี่หมอซิว่าวันนี้ได้เรียนอะไร"
"ไวทัลไซน์ วัดไข้ด้วยเทอร์มอมิเตอร์ วัดความดันด้วยบารอมิเตอร์ ครับพี่หมอ" ตอบแบบคล่องปรื่อ
นิลลี่ปรบมือเสียงดัง พร้อมหัวเราะออกมา "เอ็งนี่หัวไว ใช้ได้ ฝึกจนคล่องแล้วมาช่วยพี่นะ กลับบ้านได้แล้ว"
แล้วอีก 2 วันอาการไอ้ด๋วนก็หายเป็นปกติ หมอนิลลี่บอกกับพ่อแม่ว่ากลับบ้านได้
วันที่พ่อแม่มารับไอ้ด๋วน ได้ทำข้าวต้มชาวเขาเผ่าปกาเกอญอมาให้แม่หมอด้วย พร้อมกับยกมือไหว้ ก่อนกลับบ้านได้ยินเสียงทั้ง 3 คนพูดว่า
"ขอบคุณมากเลย แม่หมอ ขอให้แม่หมออยู่กับพวกเราไปนานๆ นะ"
หลังจากทั้งหมดกลับบ้านไป หมอนิลลี่ก็เอาข้าวต้มชาวเขามาชิม รสชาติดีเยี่ยมมาก กินจนหมด และก็อมยิ้มไป หัวใจพองโต ที่ตัวเองกับน้องมูมู่คู่หู แถมมีไอ้ตัวอ้วนตุ๊ดตู่คู่หูรักษาไอ้ด๋วนให้รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด นี่แหละคือความภูมิใจของ คู่หูหมอบนดอย
ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!