บทที่ 21 ชิงเทียน
โต๊ะข้างๆ ได้อธิบายวิธีการการสืบสวนคดีของเจี่ยงเหวินเฟิงอย่างสมจริงสมจัง
หมิงฮ่าวรับฟังด้วยความรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง “ที่แท้ใต้เท้าเจี่ยงก็เก่งกาจขนาดนี้!”
หมิงเซียงไม่ได้สนใจใต้เท้าเจี่ยงเลยสักนิด แต่จ้องมองไปที่ถนนด้วยความร้อนใจ “ทำไมยังไม่มากันอีกนะ” เพื่อที่จะได้ยลโฉมคนงาม นางสู้เต็มที่!
หมิงเวยคิดว่าหากนางเกิดในสมัยราชวงศ์เว่ย-จิ้น คงได้เห็นนางเป็นหนึ่งในฆาตกรที่สังหารชายหนุ่มรูปงามเป็นแน่...เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในโรงน้ำชาก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ
ใครมาก่อนมีที่นั่ง ใครมาสายทำได้แค่ยืนใต้หลังคา ทางร้านได้นำม้านั่งเจ็ดแปดตัวออกมาวาง และที่นั่งก็เต็มในชั่วพริบตา
ด้วยวิธีนี้ทำให้มีผู้คนเข้ามาไม่ขาดสาย
พอพบคนรู้จักก็จะเข้ามาทักทาย “พี่ใหญ่ซ่ง ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
อีกฝ่ายหัวเราะ “จะได้พบเจี่ยงชิงเทียนด้วยตาตนเอง ข้าจะไม่มาได้อย่างไร”
“เอ๋” หมิงเซียงในเวลานี้สังเกตได้ว่า “ที่แท้พวกเขามาที่นี่เพราะใต้เท้าเจี่ยงคนนั้นหรอกหรือ เขามีชื่อเสียงขนาดนั้นเลยหรือ”
หมิงเซียงตอบในใจว่า แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าทุกคนจะเหมือนเจ้าหรือไงที่สนใจแต่คนงาม
“ท่านยายรออยู่ตรงนี้สักครู่ อีกไม่นานเจี่ยงชิงเทียนก็มาแล้ว” เสียงกังวานของเด็กดังขึ้นจากด้านนอกหน้าต่าง
หมิงเซียงหันไปมอง นางเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบเดินมาพร้อมกับหญิงชราตาบอด
“หวา ขนาดตามองไม่เห็นก็ยังต้องการที่จะเดินทางมาดูเลย...” หมิงเซียงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ พวกเขามีความยึดมั่นมากกว่านางเสียอีก
หมิงเวยเหลือบไปมองแล้วนางก็ขมวดคิ้ว สองยายหลานคู่นั้นเกรงว่าจะไม่ใช่มาดูเพราะความตื่นเต้น แต่มาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม
รอบกายของเด็กผู้หญิงคนนั้นมีแต่กลิ่นอายแห่งความตาย แต่มันไม่ได้มาจากตัวนางเอง เห็นได้ชัดว่าครอบครัวนี้เพิ่งมีคนตาย ใบหน้าของท่านยายมีแต่ความโศกเศร้า มือของท่านกำไม้เท้าแน่น ผู้อื่นต่างอยู่ในอารมณ์คึกคัก มีแต่นางที่เม้มปากแน่น
พวกนางสองคนมาเพื่อดูความครื้นเครงนี้แน่หรือ
“ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะๆ” มีชายหนุ่มยอมสละที่นั่งให้หญิงชรา เด็กหญิงกล่าวขอบคุณเขาซ้ำๆ
เมื่อเห็นว่าเกือบเที่ยงแล้ว สามพี่น้องตระกูลหมิงเริ่มหิวจึงดื่มชาหมดกันไปหลายถ้วย เหล่าคนที่รออยู่ด้านนอกเริ่มกังวล และในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหวบนท้องถนน
หมิงเซียงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็น นางดึงแขนเสื้อของหมิงเวย “พี่เจ็ด ท่านดูนั่น!”
มีรถม้าเคลื่อนเข้ามาจากระยะไกลเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ทางด้านศาลาที่พักริมทาง เหล่าชนชั้นสูงมีการเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่พวกเขารออยู่
ด้านนอกโรงน้ำชามีคนตะโกนขึ้นมาว่า “มาแล้วๆ! เจี่ยงชิงเทียนมาแล้ว!”
บัณฑิตโต๊ะข้างๆ ก็หันไปมองเช่นกัน บัณฑิตจ้าวอุทาน “หวา รถม้านั่นใช้ม้าสี่ตัว แล้วยังมีเกวียนสิบกว่าเล่ม ยิ่งใหญ่มาก! นั่นเป็นขบวนของใต้เท้าเจี่ยงงั้นหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงเกิดในครอบครัวปานกลาง มีกำลังทรัพย์ไม่มาก แต่รูปแบบที่ดูฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ดูไม่เหมือนขุนนางผู้ซื่อตรงที่ประชาชนต่างขนานนามว่าชิงเทียนเอาเสียเลย
แน่นอนว่าผู้คนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน มีคนพูดขึ้นมาว่า “การซื้อเกวียนและม้าเหล่านี้ต้องจ่ายไปเท่าไหร่กัน เจี่ยงชิงเทียนเป็นขุนนางที่ขาวสะอาดไม่ใช่หรือ”
“ใช่! ดูรถม้านั่นสิ สีทองเจิดจ้าเพียงนี้มันต้องมีมูลค่ามากแน่...”
คนเหล่านี้ก่อนหน้านี้พูดคุยกันเสียงดังว่าเจี่ยงชิงเทียนช่วยเหลือราษฎรอย่างไร แต่ลักษณะการพูดในตอนนี้ดูกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไปเล็กน้อย
ในความคิดของประชาชน แบบอย่างของขุนนางที่ซื่อสัตย์คือแม้จะยากจนแต่สุจริต ให้ความนับถือกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ร่วมทุกข์ไปกับประชาชน
อย่างการตระเวนตรวจเป็นพันลี้แบบนี้ ดีที่สุดน่าจะเป็นรถม้าผุๆ สองคัน คนคอยอารักขาสองสามคนถึงจะตอบสนองต่อภาพในใจของพวกเขา
และยิ่งถ้ามีผู้ติดตามหนึ่งคนแบกห่อผ้าเล็กๆ และขี่ลามาก็จะดีมาก อันที่จริงนี่เป็นเพียงความปรารถนาเพียงฝ่ายเดียว
เงินเดือนของขุนนางในยุคสมัยราชวงศ์นี้ไม่ได้ต่ำ และไม่ว่าขุนนางผู้นั้นจะบริสุทธิ์และจริงใจแค่ไหน พวกชาวบ้านก็ไม่สามารถนำเขาไปเทียบกับเศรษฐีในย่านชนบทได้
ผู้ตรวจการที่เดินทางจากเมืองหลวงเพื่อมาตระเวนตรวจ ไม่ควรพาผู้ติดตามมาด้วยอย่างนั้นหรือ เจ้าหน้าที่ระดับล่างมีผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ดังนั้นควรพาผู้ติดตามมาอารักขาสักสองสามคน อย่าพูดถึงสืบสวนคดีเลย ในเมื่อเรื่องฆ่าคนยังสามารถฆ่าได้ทุกเมื่อ
บัณฑิตโต๊ะข้างๆ เมื่อเห็นว่าผู้คนเกิดสงสัยในตัวของผู้ที่ตนถือเป็นแบบอย่างก็ทนไม่ไหว ตะโกนพูดไปว่า “พวกท่านไม่ต้องเดากันหรอก! รถม้าคันนั้นไม่ใช่ของใต้เท้าเจี่ยง แต่เป็นของผู้ที่ร่วมเดินทางมากับใต้เท้าเจี่ยงต่างหาก หลานชายขององค์หญิงหมิงเฉิง คุณชายสามแห่งจวนโป๋หลิงโหว รถคันนั้นต้องเป็นของท่านผู้นั้นแน่ๆ!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็เป็นคุณชายแห่งจวนโหว ไม่แปลกใจเลย! ”
“ลูกหลานขององค์หญิงหมิงเฉิงหรอกหรือ ในปีนั้นองค์หญิงและพระสวามีต่อสู้ในสนามรบเพื่อแคว้นและประชาชน ไม่คิดเลยว่า...” เสียงทอดถอนใจอย่างผิดหวังกับรุ่นลูกหลาน
มีคนขัดจังหวะ “ท่านเป็นคนในราชวงศ์ เป็นหลานชายของฮ่องเต้ ขบวนไม่ควรยิ่งใหญ่กว่านี้งั้นหรือ หรือว่าขี่ลาเลียนแบบเจ้าไม่ได้เช่นกัน”
แล้วทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะ จริงอยู่ที่องค์หญิงหมิงเฉิงและพระสวามีได้มีส่วนช่วยเหลือแคว้น และเป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกหลานจะได้รับความเมตตากรุณา
“ไอหยา หยุดแล้ว!” หมิงเซียงคว้าแขนเสื้อหมิงเวยด้วยความตื่นเต้น ยืดคอมองดูอยู่สักพักก็รู้สึกอารมณ์เสีย “อยู่ไกลเกินไปมองไม่ชัดเลย พี่เจ็ด! พวกเราไปตรงนั้นกันเถอะ!”
หมิงเวยรั้งนางไว้ “ไม่จำเป็นหรอก ข้าว่าคุณชายหยางผู้นั้นไม่ได้คิดจะลงจากรถ”
“ไม่มีทาง”
หมิงเซียงพูดกระซิบพลางมองออกไป พบว่ารถม้าคันนั้นหยุดอยู่ข้างทางไม่มีการเปิดประตู แม้แต่คนขับรถม้าก็ไม่ขยับ
วางมาดใหญ่โตสมคำร่ำลือ ผู้คนกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ และแล้วก็เห็นชายในชุดปกติทั่วไปได้นำผู้ติดตามสองสามคนวิ่งมาจากท้ายขบวนไปยังด้านหน้าเพื่อไปพบกับท่านเจ้าเมืองและคนอื่นๆ
ห่างออกไปนั้น แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่จากร่างกายสูงตรง กิริยาสง่างาม เหมาะสมกับรูปลักษณ์ของบุรุษผู้ซื่อสัตย์ในอุดมคติ
ผู้คนในโรงน้ำชาต่างส่งเสียงโห่ร้อง “ใต้เท้าเจี่ยง นั่นใต้เท้าเจี่ยง!”
“รูปร่างหน้าตาปัญญาดีอย่างนี้เอง!”
“ใช่ๆ!” ทุกคนมองไปที่เจี่ยงเหวินเฟิง แต่หมิงเวยมองไปที่ยายหลานคู่หนึ่งที่อยู่นอกหน้าต่าง
หญิงชราลุกขึ้นยืนเด็กหญิงช่วยพยุงนางแล้วทั้งสองก็เดินออกไป
พวกนางสองคนทั้งแก่และเด็กมาก คนรอบข้างหลายคนก็หลีกทางให้ อีกทั้งยังให้พวกเขาสองคนเบียดตัวไปอยู่ด้านหน้า
ทางด้านเจี่ยงเหวินเฟิงที่ได้พบปะกับผู้คน ท่านเจ้าเมืองก็มาเชิญเขาให้ขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว
มันเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญ ท้ายที่สุดเจี่ยงเหวินเฟิงก็ขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว แล้วเกี้ยวของท่านเจ้าเมืองก็ตามมาทันที ส่วนเหล่าชนชั้นสูงไม่ขึ้นนั่งเกี้ยวก็นั่งรถม้าตามไป แล้วพวกเขากลุ่มนั้นก็มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองอย่างยิ่งใหญ่
เจ้าหน้าที่เปิดทางให้ ปิดกั้นฝูงชนทั้งสองฝั่ง
ขณะที่เจี่ยงเหวินเฟิงและคนอื่นๆ เข้ามาผู้คนก็ตะโกนเสียงดังลั่น “เจี่ยงชิงเทียน!” “ใต้เท้าเจี่ยง!” ไม่ขาดสาย
หมิงฮ่าวเห็นก็อดอิจฉาไม่ได้ “ถ้าวันหนึ่งข้าเป็นได้แบบนั้นบ้างก็คงดี”
“ฮ่าๆๆ” หมิงเซียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าน่ะหรือ รอให้เจ้าสอบประเมินผลประจำปีให้ได้ที่หนึ่งก่อนแล้วค่อยมาพูด!”
หมิงฮ่าวพอถูกนางเปิดโปงจึงหมดความมั่นใจ “ข้าแค่ไม่ผ่านวิชาปรัชญาเท่านั้น วิชาท่องจำมีความหมายอย่างไร”
“ก็ไม่หมายความว่าอย่างไร แต่ในการสอบขุนนางจำเป็นต้องสอบ!” หมิงเซียงทำหน้าทะเล้นใส่เขา
หมิงฮ่าวโกรธ “อย่ามาดูถูกข้านะ! ปีหน้าข้าจะพยายามสอบให้ได้”
“เอาเลย! แค่เข้าสอบเซี่ยนชื่อ[footnoteRef:1]ผ่าน ข้าจะคุกเข่าคำนับขอโทษเจ้า!” [1: ระดับต้น เรียกว่า ถงชื่อ ซึ่งจัดสอบเป็นประจำทุกปี รับสมัครผู้เข้าสอบตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น โดยเป็นการสอบในท้องถิ่น และมีการแบ่งระดับชั้นของถงชื่อ เป็นสามระดับตามลำดับคือ เซี่ยนชื่อ ฝู่ชื่อ และ ย่วนชื่อ ซึ่งการสอบย่วนชื่อ นี้จะจัดโดยขุนนางที่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่มาโดยตรง]
“ดี...”
ในขณะที่พี่สาวน้องชายกำลังทะเลาะกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังจากข้างนอกว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยมีเรื่องร้องทุกข์ ได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าน้อยด้วย!”
ผู้คนจำนวนมากพากันตกตะลึง และรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะดูคึกคัก เพราะตอนนี้เจี่ยงชิงเทียนอาจทำการสืบสวนคดีให้ดูแบบต่อหน้า!
……………………………………………………………