...
เมื่อลอดอุโมงค์หนีมดที่กำลังตามล่า ตามที่อาจารย์บอก ออกมาพ้นจากถ้ำ ( สมมุติ ) นายหมู่ก็ได้นำพากำลังพลที่มีอยู่อันน้อยนิดเดินตามป้ายลูกศรต่อไป...
ตอนนี้ถึงตาหมู่อู่ทอง นายหมู่โชเดินนำ พาเหล่าเพื่อนๆลูกเสือของเขาผ่านด่านไปและเดินตามลูกศรที่มีอยู่เป็นระยะๆ จึงได้พบเจอกับด่านแรกที่เป็นด่านลอดอุโมงค์ พอพ้นปากอุโมงค์ก็ได้ประทับตราด้วยแป้งและสีตามระเบียบ คราวนี้พวกเขาจึงได้ขึ้นไปบนอาคารสี่ตามที่ลูกศรชี้นำทาง ทางอาจารย์ได้นำผ้ามากั้นขึงเป็นลักษณะของทางเดินทำให้เหมือนกับกำลังเดินอยู่ในตรอกซอกซอยแคบๆ พวกลูกเสือจะมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ทางด้านหลังของผ้าที่ถูกขึงไว้ ทำให้ดูลึกลับไม่เหลือเค้าเดิมของอาคารเรียนเลยสักนิด พวกเขาเดินตรงไปที่บันไดและก้าวเท้าย่างขึ้นไปทีละขั้น.. ทีละขั้น.. จนสุดทางนั่นก็ถึงที่ชั้นสี่ของอาคารสี่พอดี พอถึงชั้นบนทางด้านขวามือถูกปิดกั้นโดยผ้าผืนใหญ่ที่ถูกขึงไว้เพื่อปิดกั้นเหล่าลูกเสือมิให้เดินไปตรงที่ตรงนั้น เหมือนเป็นการบังคับกรายๆ ว่าจะต้องเดินไปตามทาง ทางด้านซ้ายมือเท่านั้น!!
พวกเขาเดินไปตามลูกศรที่ชี้บอกให้เลี้ยวเข้าห้องๆหนึ่ง พอเข้าไปถึงภายในห้องมีอาจารย์และรุ่นพี่ ม. 3 รออยู่ในห้อง 3 คน ( อาจารย์ 1 คน รุ่นพี่ ม. 3 อีก 2 คน ) ภายในห้องเรียนนั้นดูโล่งมากมีแค่โต๊ะของอาจารย์ 1 ตัวกับเก้าอี้ให้นั่งแค่ 3 ตัว ( เฉพาะรุ่นพี่ ม. 3 นั่งเท่านั้น ) เพราะฉนั้นเหล่าลูกเสือทั้ง 14 คนจึงต้องยืนทั้งหมด บนกระดานดำมีตัวหนังสือเขียนบอกไว้ว่า ' ด่านที่ 1 ตอบคำถาม '
" เอาล่ะ ทีนี้.. ด่านนี้คือด่านที่ 1 นะ เพราะฉนั้นตรงตามที่เขียนไว้บนกระดานดำ ( ในสมัยนั้นเป็นกระดานไม้สีเขียวเข้มใช้ชอลค์เขียน ) ครูจะมีคำถามให้พวกเธอตอบโดยพวกเธอจะต้องจับฉลากของคำถามมา 1 ข้อ และต้องตอบให้ถูกต้องเท่านั้นถึงจะผ่านไปด่านต่อไปได้ และครูมีเวลาให้พวกเธอคิด 15 นาที เท่านั้น!! ถ้าพวกเธอตอบไม่ได้หรือตอบผิดจะต้องโดนเขียนกากบาทด้วยสีแดงบนป้ายที่ครูจะให้พวกเธอไป และต้องตอบคำถามใหม่ในทันทีคือจับฉลากคำถามและตอบภายใน 15 นาทีแต่ถ้าตอบถูกในข้อเดียวจะได้ปั๊มตราดาวนี้ไปครองและผ่านไปด่านต่อไปได้เลย เข้าใจไหม ? มีใครไม่เข้าใจบ้าง "
" เข้าใจครับ " ลูกเสือทั้งหมดตอบรับอาจารย์พร้อมเพรียงกัน
" ดีมาก!! ทีนี้.. ป้ายใบนี้ครูจะให้หัวหน้าหมู่ของพวกเธอเก็บรักษาไว้นะ ครูทำเชือกไว้ให้คล้องคอได้ เพราะพวกเธอยังต้องใช้ป้ายใบนี้ในทุกๆด่าน และการรับคะแนนก็มีผลต่อการเก็บรักษาป้ายของพวกเธอด้วย เอาล่ะ.. ส่งตัวแทนมาจับฉลากได้ "
โชมองหน้าเพื่อนๆ ทุกคนให้หัวหน้าจับฉลากก่อนคนแรก โชได้คำถามจากอาจารย์
" โอ้.. คำถามนี้ง่ายมาก.. พวกเธอจะต้องตอบได้แน่ๆ คำถามมีอยู่ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะลำดับที่เท่าไหร่ของระบบสุริยะ ? นี่ถ้าพวกเธอตอบกันไม่ได้นะ ครูจะจูนสมองให้พวกเธอกันใหม่ เข้าใจไหม ? " อาจารย์แกล้งทำเสียงเข้ม
" โลกเป็นดาวเคราะอันดับที่สามจากดวงอาทิตย์ครับอาจารย์ " โชและไก่ช่วยกันตอบแทนเพื่อนๆ
" โชคดีของพวกเธอจริงๆนะที่ได้คำถามง่ายๆไป ยังไม่ถึง 5 นาทีเลยตอบคำถามเสร็จและ เอ้า.. เอาตราปั๊มรูปดาวไป ผ่านด่านไปได้เลยครับ " อาจารย์ปั๊มตราลงบนป้ายกระดาษแล้วเอามาคล้องคอให้กับหัวหน้าหมู่อู่ทอง
พวกเขาออกจากด่านแรกและเดินไปตามทางของลูกศรที่ชี้บอก ลูกศรชี้ให้พวกเขาเดินลงบันไดไปที่ชั้นสามของอาคารที่สี่ พอมาถึงจะเจอป้ายบอกให้เลี้ยวขวา พวกเขาก็เดินตามป้ายไปจนไปถึงห้องๆหนึ่งที่ประตูเปิดเอาไว้ให้เข้าไปได้ ที่ห้องนี้มีกล่อง ปี๊บ และไหวางอยู่บนโต๊ะ อาจารย์ที่อยู่ในห้องกับรุ่นพี่ ม.3 อีก 3 คน ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
" เข้าแถวๆ รายงานตัวด้วย " อาจารย์บอกให้ลูกเสือทั้งหมดเข้าแถว
" หมู่อู่ทอง แดงเหลือง ชั้น ม. 1 ครับ " พวกเขาตอบรับเสียงดังพร้อมกัน
" ดีมาก!! ที่นี่คือด่านที่ 2 ด่านปิดตา ครูจะให้พวกเธอปิดตาทุกคนโดยจะให้รุ่นพี่ ม. 3 ของพวกเธอเป็นคนปิดตาให้ จะไม่มีใครเห็นอะไรกันนะ แล้วครูจะให้พวกเธอเอามือล้วงเข้าไปจับหรือสัมผัสสิ่งของที่อยู่ในกล่องหรือไหพวกนี้ทีละคน เสร็จแล้วให้ตอบว่ามันคืออะไร และยังห้ามเปิดตาอยู่นะ เพราะจะต้องจับอีก 2 อย่างแล้วค่อยเฉลยตอนท้าย เข้าใจใช่ไหม ? ใครไม่เข้าใจให้ยกมือ "
" เข้าใจครับ " ทุกคนตอบพร้อมกัน
แล้วพวกลูกเสือก็ถูกปิดตาด้วยผ้าพันคอของพวกเค้าเองโดยรุ่นพี่ ม. 3 ที่มาเป็นผู้ช่วยอาจารย์เป็นคนจัดแจงและจัดการให้ ทุกคนมองไม่เห็นแต่ด้วยความพยายามของเด็กในวัยนี้จึงพยายามขยับบ้าง เงยหน้าบ้าง เพื่อที่จะแอบมองแอบดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นให้ได้ แต่มันก็ไม่มีผล เพราะสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นถูกปิดมิดชิด และมีเพียงแค่รูเล็กๆที่สามารถเอามือสอดเข้าไปได้แค่มือข้างเดียว โชล้วงเข้าไปก่อนเป็นคนแรก เขารู้อยู่แล้วว่าอาจารย์ใส่อะไรลงไปข้างในนั้น อาจารย์ให้รุ่นพี่ ม. 3 นำกล่องไปให้ลูกเสือทุกคนเอามือล้วงลงไป เสร็จแล้วอาจารย์ก็ถามคำถาม
" มันคืออะไรนักเรียน ? "
" กล้วยครับ " ทุกคนตอบเกือบจะพร้อมกัน
" อย่าเพิ่งแกะผ้าปิดตานะ เอาล่ะอันดับต่อไปของที่อยู่ในปี๊บ!! มา!! ลองมาจับกัน "
รุ่นพี่ ม. 3 นำพวกลูกเสือให้เดินมาทีละคนแล้วให้พวกเขาเอามือล้วงใส่ในปิ๊บ ในตอนแรก โชก็สะดุ้งเล็กน้อยถึงจะรู้ว่าของที่อาจารย์นำมาให้จับนั้นไม่ได้เป็นของอันตรายแต่อย่างใด แต่มันมีน้ำเย็นๆอยู่ในนั้นและของข้างในก็มีลักษณะนิ่มๆ ลื่นๆสั้นบ้างยาวบ้าง จนไก่ร้องแบบตกใจคิดว่ามันคือตัวอะไรแปลกๆ ทุกคนต่างสะดุ้งและรู้สึกขยะแขยง และคิดไปต่างๆนานาแตกต่างกัน
" เอาล่ะ.. พวกเธอคิดว่าสิ่งนี้คืออะไร ? "
" ลอดช่อง " โชตอบ
" ใส้เดือน " " หนอน " พวกเด็กๆเริ่มตอบไม่เหมือนกัน อาจารย์และรุ่นพี่ ม. 3 เริ่มหัวเราะคิกคัก
" เอ้าๆ จะเอายังไง จะตอบอะไรกันแน่ " อาจารย์ถามพวกเค้าซ้ำอีกครั้ง
โชปรึกษากับเพื่อนๆในกลุ่มหมู่อู่ทองของเขาว่า
" สิ่งนี้คือลอดช่องอย่างแน่นอน "
" ทำไมคิดว่าเป็นลอดช่องล่ะ เราว่ามันคือใส้เดือนนะ " ดำโต้แย้ง
" ฉันว่ามันเป็นหนอนชัดๆ หนอนตัวใหญ่ๆด้วย อี๋.. " ไก่ดูท่าทางจะวิตกจริตไปมากๆ
" มันไม่ใช่ทั้งหนอน และใส้เดือนหรอกนะเพื่อน เพราะถ้าเป็นใส้เดือนหรือหนอนมันจะต้องขยับเองได้ แต่ฉันลองจับดูแล้วมันไม่ได้ขยับเองแต่พวกรุ่นพี่ ม. 3 แกล้งขยับปี๊บ อีกอย่างมันอยู่ในน้ำมันเลยมีลักษณะลื่นๆ พวกนายโดนอาจารย์หลอกแล้วล่ะ "
และแล้วพวกเค้าก็เชื่อสิ่งที่หัวหน้าหมู่ของพวกเขาพูด
" ลอดช่องแน่นอนครับอาจารย์ " เสียงโชพูดดังๆอีกครั้ง
อาจารย์ได้ให้พวกเขาเดินมาจับสิ่งของที่อยู่ในไหต่อไป โดยให้รุ่นพี่ ม. 3 เป็นคนพามาล้วงไหทีละคน โชล้วงเข้าไปก่อนเป็นคนแรก ความรู้สึกแรก เขารู้สึกถึงความเปียกแบบเละๆและแฉะๆ ข้นๆ เหมือนของเละๆติดมือน่าขยะแขยง แต่อันสุดท้ายนี้มีความพิเศษตรงที่อาจารย์ให้พวกเขาทุกคนดมกลิ่นด้วย ซึ่งกลิ่นที่ได้มันมีกลิ่นเหม็นเหมือนกันจึงทำให้เด็กๆเริ่มโวยวาย
" เฮ้ย!! ขี้!! ขี้เหรออาจารย์ ? "
" ไม่ใช่!? มันคือกะปิที่ใส่น้ำปลาร้าผสมลงไปต่างหาก "
อาจารย์ทนไม่ไหว หัวเราะออกมาเสียงดังจนพวกรุ่นพี่ ม. 3 ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
" เอาล่ะ เอาล่ะ เอาผ้าปิดตาออกได้ แล้วมาดูกัน.. ว่า!! ของที่อยู่ในภาชนะทั้งสามอย่างนี้คืออะไรกัน "
ทุกคนเปิดผ้าปิดตาออก ต่างก็อยากรู้ว่าของที่อยู่ในกล่องคืออะไร ของที่อยู่ในกล่องนั้นพวกเขาตอบถูกทุกคนมันคือกล้วยหอมนั่นเอง ส่วนของที่อยู่ในปี๊บคือลอดช่องสิงคโปร์ที่โชบอกได้ถูกต้อง ส่วนอันที่อยู่ในไหนั้นคือ กะปิที่ใส่น้ำปลาร้าจริงๆด้วย มันจึงเหม็นติดนิ้วติดมือของทุกคน อาจารย์ให้เด็กๆทุกคนเอามือไปล้างน้ำที่อยู่ในถังที่เตรียมเอาไว้หลังห้อง แล้วอาจารย์ก็ปั๊มดาวลงไปในแผ่นป้ายที่หัวหน้าหมู่โชห้อยคออยู่
" เอาล่ะ ทีนี้เชิญพวกเธอออกจากด่านในห้องนี้ได้เลยครับ พวกเธอผ่านด่านแล้วไปด่านต่อไปได้เลย "
และแล้วพวกเด็กๆเหล่าลูกเสือก็เดินทางตามลูกศรอีกต่อไป..
พวกเขาเล่นด่านผจญภัยไปจนครบ 5 ด่านแล้วในภาคเช้า อาจารย์ก็ได้ประกาศให้ลูกเสือทุกคนไปรวมตัวกันที่โรงอาหาร และร่วมรับประทานอาหารกันได้เลย มีเวลาพักแค่ 1 ชั่วโมง พอพักเที่ยงเสร็จแล้วให้ไปรวมตัวกันที่หอประชุมอีกครั้ง พวกเด็กๆหน้าตายังขมุกขมอมกันอยู่ จึงทำให้พวกเขาไปล้างหน้าล้างตากัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย พวกลูกเสือทั้งหลายก็ไปนั่งรอที่หอประชุม อาจารย์บอกกับลูกเสือทุกคนว่าคืนนี้จะมีการเล่นรอบกองไฟขอให้แต่ละหมู่เตรียมการแสดงมาเล่นโชว์เพื่อนๆลูกเสือทุกคนด้วย และในวันนี้เนื่องด้วยจะมีการละเล่นกองไฟในตอนเย็นของวันนี้จึงงดทำอาหารกินเองแต่ทางโรงเรียนจะจัดอาหารให้ลูกเสือทุกคนโดยไม่ต้องทำกันเองอีก และต่อจากนี้จะต้องไปผจญภัยด่านบังคับคือ ด่านปีนป่าย ด่านคลานมุด และด่านข้ามเชือก ที่ทาง ผอ. ได้ให้ภารโรงและอาจารย์ช่วยกันจัด ด่านบังคับนี้ลูกเสือทุกคนรวมถึงชั้น ม. 3 ด้วยจะต้องทำภารกิจนี้กันด้วยทุกคน ซึ่งมันจะเละเทะและเปรอะเปื้อนแต่พวกเด็กๆจะสนุกกันมาก
ด่านบังคับด่านแรกคือ ด่านปีนป่าย อาจารย์จะให้เด็กๆปีนขึ้นต้นไม้ที่ไม่ได้สูงมากจนเกินไปและลงมาโดยบันไดเชือก ซึ่งด่านนี้สนุกและง่ายมากๆสำหรับพวกเค้า เสร็จแล้วก็ต้องพากันเดินไปที่ด้านหลังอาคารสี่ที่เป็นกองเนินดินซึ่งตรงนั้นมีคูที่ขุดเอาไว้เป็นทางเดินของน้ำ แต่ตอนนี้ปิดทางน้ำเอาไว้ให้น้ำขังอยู่ในบ่อแต่เพียงอย่างเดียว ก็จะเจอ
ด่านบังคับที่สองคือ ด่านคลานมุด ลูกเสือทุกคนจะต้องคลานและมุดลงไปในคูที่ถูกใบไม้และกิ่งไม้ปิดกั้นด้านบนอยู่ และข้างในของคูดินนั้นบางพื้นที่จะแห้งแต่บางพื้นที่จะยังคงแฉะอยู่นิดหน่อย จึงทำให้เวลาที่มุดลงไปจะเปื้อนดินได้โดยง่าย เด็กๆก็จะทุลักทุเลกันบ้างเล็กน้อยแต่ก็ยังสนุกกันอยู่ เสร็จจากด่านนี้ก็ต้องเดินต่อไปที่ต้นไม้ข้างบ่อน้ำ จะ
พบกับอาจารย์และเชือกที่ขึงกับต้นไม้สองฟากฝั่งของบ่อน้ำ นั่นคือ
ด่านบังคับด่านสุดท้ายคือ ด่านข้ามเชือก อาจารย์จะให้ลูกเสือทุกคนขึ้นไปยืนบนเชือกที่ขึงพาดไว้สองเส้น จากต้นไม้ฝั่งหนึ่งของบ่อน้ำตื้นไปยังต้นไม้อีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามของบ่อน้ำ โดยลูกเสือจะต้องเหยียบเชือกเส้นที่อยู่ด้านล่าง และใช้มือจับเชือกเส้นที่อยู่ด้านบน พยายามประคองตัวเองให้รอดและเดินจับเชือกไปแบบนี้จนถึงฝั่งตรงกันข้ามให้ได้โดยไม่ตกลงน้ำในบ่อเสียก่อน ซึ่งจะเป็นไปได้ยากเหลือเกิน เพราะอาจารย์ที่อยู่กำกับที่เชือกทั้งสองฝากฝั่งเพื่อความปลอดภัยนั้น จะคอยช่วยแกล้งเขย่าและแกว่งเชือกให้เชือกที่ขึงไว้อยู่นั้นแกว่งไปแกว่งมา ทำให้บรรดาลูกเสือทั้งหลายเสียศูนย์ และตกลงในบ่อน้ำจนในที่สุด ( แต่ก็เพื่อความสนุกเท่านั้น ไม่ได้มีอันตรายใดใด ) ด่านปีนเชือกนี้จึงทำให้ทุกคนได้เปียกปอนกันไป เละเทะไปหมด แต่มันก็.. สนุกมาก
พอเละเทะกันได้เต็มที่แล้ว อาจารย์ก็ให้เด็กๆทุกคนไปเตรียมตัวอาบน้ำ และก็ให้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเมื่อครบเวลาตามกำหนดให้มารวมตัวกันที่โรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารในตอนเย็น
อาจารย์ให้ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จแล้วให้ลูกเสือทุกคนไปพักที่ห้องพักเพื่อเตรียมตัวคิดเรื่องโชว์การแสดงของแต่ล่ะหมู่เพื่อเล่นรอบกองไฟ และให้ทุกคนมาพร้อมกันในเวลา สองทุ่ม
ถึงเวลาสองทุ่มแล้ว ลูกเสือทั้งน้อยและใหญ่ต่างก็เดินทางมาพร้อมเพรียงกัน โดยอาจารย์ให้พวกเค้านั่งล้อมเป็นวงกลม ล้อมรอบกองไฟ ที่ตรงกลางของวงนั้นจะมีกองฟืนวางไว้อยู่ และอาจารย์ก็ให้ลูกเสือยืนตรงและทำพิธีอันเชิญไฟศักดิ์สิทธิ์มาที่กองฟืนที่อยู่ตรงกลาง โดยอาจารย์จะเทน้ำมันสำหรับให้จุดไฟได้ง่ายที่กองฟืนกองนั้น และนำคบไฟศักดิ์สิทธิ์มาใส่ในกองฟืนจนไฟนั้นลุกโชติช่วงชัชวาล และอาจารย์ก็ได้ให้ลูกเสือรุ่นพี่ชั้น ม. 3 ทำการตีกลองทอมที่คณะครูอาจารย์ได้นำมาให้เด็กๆได้ใช้ในการเล่นกิจกรรมรอบกองไฟนี้
ส่วนทางด้านเนตรนารีก็ได้มีกิจกรรมเล่นรอบกองไฟเหมือนกันกับของลูกเสือ แต่ทางคณะครูอาจารย์ที่ดูแลกลุ่มของเนตรนารีนั้น ให้พวกเนตรนารีจัดกิจกรรมเล่นรอบกองไฟกันที่หอประชุมของทางโรงเรียน เพราะจำนวนของเนตรนารีมีจำนวนน้อยกว่าลูกเสือถึง หนึ่งในสาม เลยให้เนตรนารีจัดกิจกรรมกันในหอประชุมไป โดยกองไฟของเนตรนารีนั้นจะเป็นกองไฟสมมุติ ( คือเอากองฟืนมาวางเฉยๆและนำเชือกฟางสีแดงทำการคลี่ออกมามัดที่ตรงกองฟืนในหลายๆจุดและฉีกเชือกฟางที่มัดกับฟืนเรียบร้อยแล้วให้ฉีกออกเป็นเส้นฝอยๆ แล้วจึงนำพัดลมมาวางไว้ข้างใต้กองฟืนโดยวางหงายหน้าพัดลมขึ้นแล้วเปิดสวิทให้พัดลมเป่าเส้นเชือกฟาง เชือกฟางที่ถูกลมพัดจะลอยตัวและขยับปลิวไปมาคล้ายกับเปลวไฟและอาจารย์ก็ใช้สปอร์ตไลท์ส่องไปที่กองฟืนนั้นด้วยเพื่อให้ดูสว่างขึ้น
พวกเด็กๆทุกคนรวมถึงคณะครูอาจารย์ได้มีส่วนร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ทั้งเหนื่อยและสนุกปะปนกันไป เด็กๆได้ทำการร้องเพลงบ้าง แสดงละครบ้าง เต้นโชว์ก็มี หรือแม้กระทั่งเล่นตลก มุขอาจจะกร่อยๆ แต่ก็เรียกความสุขได้ คืนนั้นกว่าจะจบงานก็ห้าทุ่มกว่าๆ ดึกมากแล้ว.. อาจารย์ให้ทุกคนแยกย้ายกันเข้านอน วันนี้ไม่มีใครเล่นกันในตอนกลางคืนอีกเลยเพราะเด็กๆทุกคนต่างก็หลับผลอยกันไปอย่างง่ายดาย….