ตอนที่ 1142 ดูดกลืน
ขนของนกอมตะปีศาจตั้งชูชันทั่วร่าง
เปลวไฟไม่มีสิ้นสุดทะยานออกไปอย่างป่าเถื่อน
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเต็มใจเป็นสัตว์ขี่ของข้าหรือไม่” เซี่ยเต้าหลิงถาม
นกอมตะปีศาจพ่นลมออกจมูกก่อนตะโกนว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไร”
ทันทีที่สิ้นเสียง มันกลายเป็นเงาก่อนหลบหนีจากวงล้อมของเซี่ยเต้าหลิงจำนวนมหาศาลทันที
เซี่ยเต้าหลิงส่ายหน้าก่อนเผยยิ้มออกมา ทันใดนั้น นางหายไปจากที่ที่เคยอยู่
สกิลเทพ ก้าวพริบตา!
ครืนนนน…
เปลวไฟและอสนีปะทะกันกลางอากาศ
เซี่ยเต้าหลิงจำนวนมากตวัดแส้ยาวออกไปขณะสู้กับนกอมตะปีศาจ
นอกสมรภูมิ กู่ฉิงซานหลับตาขณะดูดกลืนพลังมังกรคู่ที่เหลือ
ผ่านไปราวสิบห้านาที
ด้วยความช่วยเหลือของเซี่ยเต้าหลิง เขากำลังจะเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงพละกำลัง
นี่คือสถานการณ์ที่นับว่าแปลกประหลาดเช่นกัน
เซี่ยเต้าหลิงไม่คาดคิดว่าเขาจะมีพลังมังกรคู่ ดังนั้นนางจึงต้องลงมืออย่างระมัดระวัง
เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าความระแวดระวังทั้งหมดของเซี่ยเต้าหลิงเป็นเพราะอยากสำรวจความลับ
โชคยังดี เมื่อทั้งสองมาพบกันตอนนี้ เซี่ยเต้าหลิงได้สอนวิชาลับเพื่อที่กู่ฉิงซานจะไม่ต้องเจ็บปวดเวลาดึงพลังออกมา จากนั้น กู่ฉิงซานจะสามารถปกป้องเซี่ยเต้าหลิงเพื่อช่วยนางสำรวจความลับระหว่างทางได้ ถ้าเป็นแบบนั้น เซี่ยเต้าหลิงจะไม่มีเรื่องให้กังวลใจ
ตอนนี้ กู่ฉิงซานได้สติและมีเวลาว่างเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ข้อความแจ้งเตือนเต็มหน้าจอยังคงไม่ขยับ หลังจากอ่านแล้ว มันค่อย ๆ หายไปก่อนข้อความแจ้งเตือนย่อยจะปรากฏขึ้น
“คำเตือน โปรดหยุดการหลอมรวมพลังนี้ทันที ไม่อย่างนั้น…”
กู่ฉิงซานเลื่อนผ่านข้อความแจ้งเตือนที่คล้ายกันก่อนเจอกับข้อความแจ้งการต่อสู้โดยตรง
“ท่านสังหารปีศาจจำนวนมากแล้วฝืนเปลี่ยนพวกมันเป็นแหล่งกำเนิดพลังของขุนเขาศักดิ์สิทธิ์”
“ผลที่ได้ พลังเหนือธรรมชาติระดับราชาแห่งอิสรภาพของท่าน ‘หอกส้ม’ พัฒนาขึ้น”
“กำราบมาร หอกส้ม”
“พลังเหนือธรรมชาติระดับราชาแห่งอิสรภาพนี้สามารถใช้งานล่วงหน้าได้”
“พลังเหนือธรรมชาตินี้จะต้องติดกับอาวุธด้ามจับยาว”
“เมื่อท่านใช้พลังเหนือธรรมชาตินี้ อาวุธด้ามจับยาวของท่านจะได้รับความสามารถ ‘ล่องหน’ ทำให้ไม่ถูกพบโดยศัตรูที่มีพละกำลังต่ำกว่าท่าน”
“นอกจากนี้ พลังเหนือธรรมชาตินี้สามารถช่วยให้ท่านกำราบมารเพื่อเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นแหล่งกำเนิดพลังที่มาจากขุนเขาเซียวหมีได้”
“คำเตือน: ยิ่งกำราบมารเท่าไหร่ รางวัลที่ขุนเขาเซียวหมีมอบให้จะยิ่งมากตามไปด้วย”
“หากเจาะจงให้ละเอียด ขุนเขาเซียวหมีจะดูความดีที่ท่านทำแล้วช่วยทำให้พลังเหนือธรรมชาติระดับราชาแห่งอิสรภาพพัฒนาขึ้นทีละขั้นจนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ”
กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากหอกส้มก็เป็นเงาส้ม
ดูท่าการเติบโตของพลังเหนือธรรมชาตินี้ยังมีที่ว่างให้ค้นพบอีกมาก
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาได้รับฉายา “แมวลายตัวใหญ่” มา
หากตัวตนกับฉายาของเขาเป็น “ผู้ครอบครองสวรรค์และปฐพี” หรือ “ดาราอัคคีเทพสงคราม” เกรงว่าเขาจะแข็งแกร่งมากกว่านี้
แฉ่
ช่างเถอะ การมีพลังเหนือธรรมชาติระดับราชาแห่งอิสรภาพก็ดีกว่าไม่มีอะไร
บางที หาก “เงาส้ม” เติบโตขึ้น มันจะกลายเป็นพลังเหนือธรรมชาติที่ดีเหมือนกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่เสียดายอีกต่อไป
เขามองออกไปไม่ไกล
เซี่ยเต้าหลิงยังต่อสู้กับนกอมตะปีศาจ
นกอมตะปีศาจเพิ่งหลบแส้ได้หลายสิบครั้ง มันสั่นไหวก็บินขึ้นท้องนภา
เซี่ยเต้าหลิงจำนวนมากยิ้มก่อนกล่าวพร้อมกันว่า “ความเร็วใช้ได้ คล่องตัวมาก ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเต็มใจเป็นสัตว์ขี่ของข้าหรือไม่”
นกอมตะปีศาจตะโกนอย่างเหยียดหยันว่า “เหอะ เจ้าพวกสุนัขทั้งหลาย ถึงแม้จะมีวิชามากมาย แต่ยังคิดว่าจะเอาชนะข้าด้วยการใช้คำพูดโง่เง่าหว่านล้อมงั้นหรือ ”
ทันทีที่กล่าวเช่นนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกทันทีว่าบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยเต้าหลิงค่อย ๆ หายไป
“ปีศาจตนนี้ ไม่มีใครสอนมารยาทการพูดเลยหรือไง” นางกล่าวอย่างแผ่วเบา
กู่ฉิงซานยืนไว้ทุกข์ให้กับนกอมตะปีศาจเงียบ ๆ เขาเก็บความผันผวนของพลังเข้ากับร่างกายก่อนถอยออกมา
มันจบแล้ว
อาจารย์โกรธแล้ว
เขายืนห่างออกมาเล็กน้อย
แน่นอนว่าวินาทีต่อมา เขาได้ยินเซี่ยเต้าหลิงพึมพำกับตัวเองว่า “ขนสวยดีนี่ เดิมทีแล้วข้าไม่อยากทำลายพื้นผิวสัมผัส แต่ดูท่าแล้วข้าจะคิดมากเกินไป คงต้องให้รู้ซะบ้างว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง…”
ความผันผวนพลังวิญญาณที่มองไม่เห็นพุ่งออกมาจากตัวนาง
กู่ฉิงซานมองสีหน้าของเซี่ยเต้าหลิงก่อนถอยออกมาไกลอย่างรวดเร็ว
…อาจารย์ไม่ได้แปลงเป็นสาวน้อยเพื่อตัดสินใจที่จะตรวจสอบข้อมูล ตอนนี้นางอยู่ในสภาพต่อสู้จริง ๆ และตัดสินใจว่าจะจัดการนกอมตะปีศาจอย่างโหดเหี้ยม
อยู่ให้ห่างไว้ดีกว่า จะได้ไม่โดนลูกหลงโทสะของอาจารย์
เขาไม่กังวลเรื่องการต่อสู้ของเซี่ยเต้าหลิงเลย ขณะยังคงดูดกลืนพละกำลังมังกรคู่หลังจากฝึกฝนไปแล้ว เขามองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ข้อมูลการตัดศีรษะนับไม่ถ้วนปรากฏบนหน้าต่างระบบ
“ติ๊ง ๆ !”
กู่ฉิงซานชี้ไปที่บันทึกการต่อสู้แล้วถามว่า “ทำไมครั้งนี้ข้าถึงใช้พลังวิญญาณสองล้านแต้ม”
หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบว่า “เพราะท่านฆ่าซากศพแปลกประหลาดทรงพลังด้วยการตัดสินใจของพิภพ”
“ทำมข้าถึงจำเรื่องนี้ไม่ได้กันนะ” กู่ฉิงซานถามด้วยความสับสน
“ตอนนั้นท่านได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัสน่ะ” หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบ
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างละเอียด ดูท่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
พลังวิญญาณสองล้านแต้ม!
เขายิ้มเหยเก รู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย
โชคยังดี การสังหารซากศพแปลกประหลาด ประกอบกับปีศาจตนอื่น ๆ ทำให้พลังวิญญาณกลับมามากกว่าสี่ล้านแต้มในท้ายที่สุด
การสูญเสียเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ข้อความแจ้งเตือนใหม่ผุดขึ้นมา
“ท่านเชี่ยวชาญพลังเหนือธรรมชาติ จุติเป็นมังกรมาร”
“เพราะท่านคือเผ่าพันธุ์มนุษย์และมีวิธีการต่อสู้ที่พิเศษ ท่านสามารถจุติเป็นมังกรมารได้ตามที่ต้องการ”
“ท่านได้รับพละกำลังทั้งหมดของมังกรฟ้า”
“พลังเหนือธรรมชาติของท่าน: คำสาปเงามังกรฟ้า พันธนาการ ได้รับการเสริมสร้าง ทำให้ยากที่จะสังเกตเห็น”
“ท่านได้ดูดกลืนพลังมังกรคู่จนหมดแล้ว”
“พลังของท่านทรงพลังในฐานะการผสานระหว่างมังกรมารและมังกรฟ้า”
“ตามมาตรฐานของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ ท่านกลายเป็นชายหนุ่มแข็งแกร่งแสนดีแล้ว”
“เมื่อรากฐานการฝึกฝนของท่านไปถึงระดับจ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมี ท่านจะสามารถเริ่มฝึกฝน ‘วิชาดาบสังหารศัตรู’ ได้”
“โปรดพยายามอย่างหนักต่อไปเพื่อเติบโตให้มากขึ้น!”
กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากอ่านจนหมด
วิชาดาบสังหารศัตรู!
นี่คือวิชาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ แม้กระทั่งเซี่ยเต้าหลิงก็ยังไม่ได้ฝึกฝน
น่าเสียดายที่เขาต้องรอจนกว่าจะไปถึงระดับจ้าวแห่งขุนเขาเซียวหมี
กู่ฉิงซานก้มศีรษะขณะรวบรวมพลังในร่างกายเงียบ ๆ
พลังไม่มีสิ้นสุดไหลหลั่งเข้าสู่ร่างกายทันที ขอเพียงแค่ใช้ความคิด มันจะทะลักออกมาราวกับภูเขาไฟ
กู่ฉิงซานรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองจนแอบที่จะพิจารณาพละกำลังของวิญญาณกรีดร้องไม่ได้
ในยุคโบราณ กู่ฉิงซานเปลี่ยนตัวเองเป็นยักษ์อมตะเพื่อสู้กับมังกรมารและวิญญาณกรีดร้อง
ด้วยพละกำลังของมังกรมาร เขาไม่สามารถเอาชนะวิญญาณกรีดร้องได้
แต่ถ้าเพิ่มพลังของมังกรฟ้าเข้าไป กู่ฉิงซานคงไม่ได้ด้อยไปกว่าวิญญาณกรีดร้องในยุคนั้น
ตอนนี้ วิญญาณกรีดร้องกลายเป็นเทพสำเร็จแล้ว พลังของมันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
…บางทีเขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่ยังไงเสีย เขาก็มีคุณสมบัติที่จะต่อสู้แล้ว!
กู่ฉิงซานมีกำลังใจขึ้นมาก
เขามองไปที่ลาน
เขาเห็นว่านกอมตะปีศาจถูกเซี่ยเต้าหลิงจัดการจนลงไปนอนกองกับพื้น ปีกของมันกุมศีรษะ ไม่กล้าขยับไปไหน
เซี่ยเต้าหลิงหยิบแส้อสนีออกมาก่อนฟาดใส่ศีรษะของนกอมตะปีศาจดัง “เพี้ยะ”
ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เส้นขนของนกอมตะปีศาจตั้งชูชันทั่วร่าง
เซี่ยเต้าหลิคนที่สามเดินเข้ามาก่อนฟาดใส่พร้อมกัน
ครืนนน…
อสนีบาตฟาดใส่นกอมตะปีศาจจนได้กลิ่นเนื้อโชยมา
เซี่ยเต้าหลิงคนที่สิบเดินเข้ามาก่อนฟาดใส่!
เซี่ยเต้าหลิงคนที่ยี่สิบอยู่ห่างจากนกอมตะปีศาจหลายสิบเมตรก่อนฟาดใส่!
คนที่สามสิบ…
“เดี๋ยว!” นกอมตะปีศาจหอบหายใจ
“เจ้าอยากพูดอะไรหรือ” เซี่ยเต้าหลิงถามอย่างแผ่วเบา
นกอมตะปีศาจหอบหายใจหลายครั้งแล้วกล่าวด้วยเสียงคมปลาบว่า “ช่างน่าละอายใจยิ่งนักที่ให้ข้าเป็นสัตว์ขี่ของเจ้า!”
เซี่ยเต้าหลิงคนที่สี่สิบเดินเข้ามาพร้อมกับชูแส้ยาวขึ้น…
นกอมตะปีศาจยังคงกล่าวต่อจนรัวเหมือนกระสุนปืนว่า “เจ้าอย่าดูถูกข้าจนเกินไป! พูดตามตรง ข้าไม่เพียงรับใช้เจ้าในฐานะกองกำลังภาคพื้นดินเท่านั้น แต่ยังสามารถเสิร์ฟชาและน้ำล้างมือ ทำความสะอาดและหาวัตถุดิบ เล่นแร่แปรธาตุ ทำอาหารและทำนายได้ทุกวัน ตั้งตารอไว้เลย ข้าคือสัตว์ขี่สารพัดประโยชน์ที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้!”
เซี่ยเต้าหลิงนิ่ง หลังจากนั้น แส้ยาวก็ไม่ได้ฟาดลงไป
นกอมตะปีศาจถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “นายท่าน ไม่สิ ท่านเทพ ท่านอยากจะสั่งอะไรหรือ”
เซี่ยเต้าหลิงครุ่นคิดสักพักก่อนมองกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานกล่าวว่า “พวกเราไปกันได้เลย ข้าดูดกลืนพลังมังกรคู่เรียบร้อยแล้ว”
เซี่ยเต้าหลิงนำมือวางบนศีรษะของนกอมตะปีศาจเพื่อกำหนดข้อจำกัดที่ร้ายแรงที่สุดเพียงชั่วอึดใจ
“ปีศาจทั้งหมดในโลกนี้มาจากไหน” เซี่ยเต้าหลิงถาม
นกอมตะปีศาจตอบว่า “เป็นกลุ่มคนที่ไม่สามารถไปสู่ข้างบนได้ พวกเขาจึงลงเอยอยู่ที่ตีนเขาเซียวหมี ตอนนี้พวกเขาหวาดกลัวที่จะหนีกลับไปข้างบน”
เซี่ยเต้าหลิงเห็นมันตอบคำถามได้ดีจึงหยิบบางอย่างแล้วโยนออกไป
“เอาล่ะ ในเมื่อนับจากนี้เจ้าจะติดตามข้า เช่นนั้นข้าจะไม่ปฏิบัติกับเจ้าแย่จนเกินไป กินนี่เข้าไปสิ”
นกอมตะปีศาจถูกจำกัดเอาไว้ มันจึงทำลายเหยือกก่อนกินเข้าไปในคำเดียว
หวาน
นุ่มนิ่มหนึบหนับ
…นี่มันของดีอะไรกัน
มันชำเลืองมองเซี่ยเต้าหลิง แต่ไม่กล้าถามอะไรอีก
แต่สิ่งนี้มาจากศัตรูที่ทรงพลังขนาดนั้น…ไม่สิ มาจากนายท่าน ต่อให้ใช้เท้าคิดมันก็ต้องเป็นของดีแน่ ๆ
อย่างไรก็ตาม นกอมตะปีศาจรู้สึกซาบซึ้งและยำเกรงอยู่ในใจ
กู่ฉิงซานกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า “อาจารย์ ท่านให้มันกินอะไรน่ะ”
“ถั่วเยลลี่น่ะ” เซี่ยเต้าหลิงตอบ
“ถั่วเยลลี่หรือ”
“อืม ถั่วเยลลี่นั่นแหละ เมื่อกี้มันเรียกเจ้ากับข้าว่าสุนัข คิดว่าข้าจะให้มันกินยาเม็ดแสนอร่อยจริง ๆ หรือ ฝันไปเถอะ”
เซี่ยเต้าหลิงกล่าวขณะเดินไปที่แผ่นหลังของนกอมตะปีศาจ
นกอมตะปีศาจเอนตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับเซี่ยเต้าหลิงด้วยปีกอย่างระวังด้วยเกรงว่านางจะเดินไม่สะดวก
กู่ฉิงซานมองท่าทางประจบสอพลอของนกอมตะปีศาจจนอดที่จะพึมพำไม่ได้ “อย่าพูดจาหว่านล้อม ใช้กำลังเข้าว่า ความจริงของโลกประจักษ์ชัดกับปีศาจแล้ว ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลย”
เขายืนอยู่บนหลังของนกอมตะปีศาจเช่นกัน
ต้องบอกว่าถึงแม้ขนจะไหม้เพราะถูกฟ้าผ่าแต่รวม ๆ มันก็ยังอุ่นและนุ่ม
ด้วยเสียงแจ่มชัด นกอมตะปีศาจสยายปีกสู่ท้องนภาก่อนตรงเข้าส่วนลึกของหมู่เมฆ
..............................